May 12, 2024   7:26:11 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องนั่งเล่น > หุ้น..ภาษาชาวบ้าน
 

Toon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 973
วันที่: 24/04/2008 @ 10:24:38
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บทความ โดย สุกิจ อุดมศิริกุล

ทิศทางผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/51

สวัสดีครับทุกท่าน สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ก่อนสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายนแล้วน่ะครับเร็วมาก
เลย สำหรับวันเวลา ในขณะที่ในช่วงนี้ผมเชื่อว่านักลงทุนหลายท่านคงจะใจจดใจจ่ออยู่กับเรื่องราคาสินค้าที่
มีแต่แพงขึ้นๆ เดิมในเรื่องราคาน้ำมันเองก็เป็นปัญหาอยู่แล้ว มาวันนี้ยังมีเรื่องข้าวเข้ามาอีก ผมไม่แน่ใจว่า
นักลงทุนได้ติดตามในเรื่องราวเกี่ยวกับตลาดหุ้นมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ เพราะตั้งแต่หลังเทศกาลสงกรานต์
เป็นต้นมา พบว่า ตลาดหุ้นไทยมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างเด่นชัด ท่านทราบหรือไม่ว่า SET Index ในเดือนนี้ได้
สร้างจุดสูงสุดในรอบปีนี้ไปแล้วที่ 853.50 จุด
นั่นคือความจริงที่เกิดขึ้น ในส่วนของความเห็นของผมต่อแนวโน้มตลาดหุ้นในสัปดาห์หน้า และ ต่อ
เนื่องถึงเดือน พฤษภาคม ผมเรียนว่า ผมมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นมากขึ้น และถือเป็นการมองในเชิง
บวกครั้งแรกในรอบ 10 เดือนของผม สาเหตุเนื่องมาจาก ผมสังเกตเห็นว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นทั่ว
โลกลดลงแล้ว เริ่มจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยที่ปัญหาวิกฤตการเงินเริ่มปรับตัวดีขึ้น ผลการขาดทุนของสถาบัน
การเงินจากการตั้งสำรองมีปริมาณที่ลดลง ถึงแม้ปัญหาการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯจะยังคงเป็นปัญหาที่
กดดันตลาดหุ้นต่อไปก็ตาม แต่ผมคาดว่า ราคาหุ้นได้มีการสะท้อนภาพดังกล่าวไปแล้ว โดยอาจจะดูได้จากผล
การสำรวจผู้จัดการกองทุนมีการถือเงินสดมากขึ้นในไตรมาสที่ 1/51
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นเดือนพฤษภาคม คือ ผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 1/51 ซึ่งผม
ประเมินว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% ใน
ขณะที่กลุ่มธนาคารประกาศผลการดำเนินงานออกมาแล้วเพิ่มขึ้นประมาณ 20% ด้านการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1/51 คาดว่า GDP จะเพิ่มขึ้นได้ 5.5% โดยมีปัจจัยเรื่องการบริโภคในประเทศ
และ การส่งออกเป็นปัจจัยสนับสนุน โดยเฉพาะ การส่งออกสินค้าเกษตร ผมมั่นใจว่าผลการดำเนินงานของ
ไทยในไตรมาสที่ 1/51 จะเติบโตดีในอันดับต้นๆของภูมิภาคได้
นอกจากนี้สิ่งที่ผมคาดการณ์ว่าจะเห็นต่อไป คือ การแยกตัวของตลาดหุ้นในโลกออกเป็น 2 กลุ่ม
คือ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสหรัฐฯ และ กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยผมมั่นใจว่า
ตลาดหุ้นไทยไม่ได้รับผลกระทบแน่นอน
สำหรับประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งในสัปดาห์หน้า คือ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ผมคาด
ว่า เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% โดยประเมินได้จากสัญญาซื้อขายดอกเบี้ยล่วงหน้า (Fed fund
future) หลังจากการอีดฉีดเงินเข้าระบบของเฟดช่วยให้ภาคสถาบันการเงินดีขึ้น ดังนั้น สิ่งที่ผมคาดว่าจะ
เห็นต่อไป คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯมีโอกาสแข็งค่าขึ้น แต่การแข็งค่าขึ้นในรอบนี้จะต้องเลือกว่าจะแข็งค่า
กับเงินสกุลอะไร โดยในระยะสั้น ผมคาดว่า ดอลลาร์สหรัฐฯจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน แต่อ่อนค่า
เทียบกับยูโร เนื่องจาก มีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรปมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนธนาคาร
กลางญี่ปุ่นยังคงไม่มีท่าทีในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ สำหรับ ค่าเงินบาท ผมประเมินว่าจะ
ทรงตัว เนื่องจากคาดว่าธปท.จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเหมือนกัน แต่ในระยะสั้นมีความเป็นไป
ได้ที่ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นบ้าง เนื่องจากอาจมีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ผมคาดว่า เราได้ผ่านจุดต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ย
ไปแล้ว หากพิจารณาจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในปัจจุบัน และ อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงมีความเสี่ยง

กลยุทธ์การลงทุน

ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ ผมแนะนำ ให้นักลงทุน ซื้อสะสม หุ้นที่คาดว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส
ที่ 1/51 จะออกมาดี รวมถึงมีปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวด้วย ได้แก่ PTTEP PTTCH TSTH TVO AMATA
HMPRO BANPU ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มโรงกลั่น (TOP) ถ่านหิน (BANPU LANNA) และ
เดินเรือ (TTA) โดยเฉพาะ ถ่านหินในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ คาดว่า ราคาถ่านหินจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หลัง
จากปริมาณสำรองถ่านหินในจีนลดลงเหลือ 12 วัน จากระดับปกติที่ 15 วัน[/size:faa1944398">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com