May 4, 2024   9:35:22 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นเก็งกำไรครองตลาด
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 07/05/2008 @ 12:15:29
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ภาวะการลงทุนช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ถือว่ายังเป็นช่วงทองของหุ้นเล็กเก็งกำไรเป็นสำคัญ เนื่องจากนักลงทุนยังหวั่นต่อภาวะตลาดที่ค่อนข้างผันผวน และเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงที่จะเข้าลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่และหันมาซื้อขายหุ้นขนาดเล็กที่มีราคาไม่สูงมากนัก

โดยเห็นได้จากผลการสำรวจราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสูงสุด 50 อันดับแรกของเดือนนี้ จากจำนวนหุ้นทั้งหมดใน SET 491 ตัว มีหุ้นที่สามารถปรับตัวขึ้นเพียง 197 ตัว และ 139 ตัว

เป็นหุ้นที่ไม่มีการเคลื่อนไหวไปตามภาวะตลาด หรือขาดสภาพคล่อง ส่วนอีก 21 ตัว เป็นหุ้นที่ไม่มีราคาเปลี่ยนแปลง หรือยังคงเคลื่อนไหวในระดับเดิม และอีก 134 ตัว เป็นหุ้นที่มีราคาปรับตัวลดลง

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า หุ้นจำนวน 50 ตัวที่นำมาแสดงในตาราง พบว่ามีหุ้นขนาดใหญ่เพียงรายเดียวที่ปรับตัวขึ้นนั่นก็คือ PS หรือ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)

ราคาปรับตัวอยู่อันดับเพิ่มขึ้น 21 % อยู่ที่ระดับ 12.10 บาท จากเดิม 10.00 บาท แม้จะเป็นหุ้นน้องใหม่ แต่ก็คงไว้ด้วยศักยภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง และเป็นที่ดึงดูดใจนักลงทุนมากที่สุดในกลุ่มก็ว่าได้

สำหรับหุ้นที่วิ่งแรงสุดในระหว่างเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้ ได้แก่ EWC หรือ บริษัท อีสเทิร์นไวร์ จำกัด (มหาชน) ราคาปรับตัวขึ้นสูงถึง 120.92% มาอยู่ที่ระดับ 16.90 บาท

จากเดิม 7.65 บาท ซึ่งการปรับตัวขึ้นแรงของหุ้นรายนี้น่าจะมาจากการเข้ามาเล่นเก็งกำไรของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะในเรื่องปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเกี่ยวกับการล้างหนี้สูญ ล้างขาดทุนสะสมและมีการแตกพาร์ รวมถีงประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลประกอบการในไตรมาสที่ 1/2551 น่าจะออกมาดีและมีความโดดเด่นกว่าทุกไตรมาสที่ผ่านมา

หลังจากบริษัทเตรียมบันทึกรายได้จากกรณีที่บริษัท สยามเจเนอรัล แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SGF ได้โอนทรัพย์ชำระหนี้ให้กับ EWC แล้วทั้งสิ้น 91.22 ล้านบาท จากหนี้ทั้งหมด 310 ล้านบาท ในไตรมาสดังกล่าว นอกจากนี้ยังยืนยันว่าจะชำระหนี้ตามสัญญาประณีประนอมด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ EWC จะมีข่าวดีมาสนับสนุนราคาหุ้นดังกล่าว แต่การปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงเกินไป ทำให้โบกเกอร์หลายรายออกมาแนะให้ระวังแรงขายทำกำไรที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะขึ้นชื่อว่าหุ้นเก็งกำไร ยังไงก็ไม่น่าไว้ใจอยู่ดี

ส่วนหุ้นที่วิ่งแรงมาเป็นอันดับ 2 คือ THL หรือ บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน)ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงระดับ 2.84 บาท จากเดิม 1.30 บาท หรือ เพิ่มขึ้น 118.46% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง

หลังช่วงก่อนหน้านี้มีประเด็นข่าวว่า THL จะเตรียมปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้บริษัทย่อยในเครือใหม่โดยเพิ่มวงเงินกู้เป็น 35 ล้านดอลลาร์จากเดิม25 ล้านดอลลาร์ เพื่อเตรียมใช้รองรับการปรับขยายงานของบริษัทใหม่

พร้อมเตรียมเปลี่ยนโครงสร้างราคาขายทองคำเพิ่ม หลังจากการผลิตทองคำเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากงวดเดียวกันปีก่อนและคาดว่าตั้งแต่ช่วงเม.ย.จะผลิตทองคำได้มากกว่า 3 พันออนซ์ต่อเดือนเมื่อได้รับอนุมัติเปิดเหมืองใหม่

อย่างไรก็ตามพฤติกรรมหุ้น THL มักจะกลับมามีสีสันช่วงที่ตลาดหุ้นโดยรวมซบเซา ด้วยสตอรี่เหมืองทองคำเป็นหลัก และจะใช้เวลาดันราคาเฉลี่ยไม่เกินสัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะเงียบหายไป ซึ่งเฉลี่ยแล้วจะมีลักษณะเช่นนี้ปีละ 2-3 ครั้งเท่านั้น

อันดับ 3 PERM หรือ บริษัท เพิ่มสินสตีลเวิร์ค จำกัด(มหาชน) ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 114.29% มาอยู่ที่ระดับ 4.20 บาท จากเดิม 1.96 บาท การปรับขึ้นอย่างร้อนแรงของหุ้นรายนี้ น่าจะมาจากการเข้ามาเล่นเก็งกำไรอย่างต่อเนื่องของนักลงทุน

หลังมีข่าวเกี่ยวกับราคาเหล็กปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังคว้างานโครงสร้างหลังคาเหล็กอีก 120 ล้านบาท ที่จะรับรู้รายได้ทันทีไตรมาส 3 พร้อมขยายโรงงานรับลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์พุ่ง เผยสัดส่วนเพิ่มเป็น40% จากปีก่อนอยู่ที่ 25% ส่งผลให้แนวโน้มผลประกอบการปี 51 อาจขึ้นแตะ 2,100 ล้านบาทเติบโต 10% จากราคาเหล็กที่สูงขึ้น

อันดับ 4 YNP หรือ บริษัท ยานภัณฑ์ จำกัด(มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 105.62% มาอยู่ที่ระดับ6.95 บาท จากเดิม 3.38 บาท เนื่องจาก YNP มีสตอรี่ที่น่าใจให้กับนักลงทุน หลังบอร์ดเห็นพร้องแนวคิดแตกพาร์เหลือ 1 บาท แถมมีการแจกวอร์แรนต์ฟรี เพื่อเป็นการตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นบริษัท ชดเชยจากปีที่ผ่านมาบริษัทไม่สามารถจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้

ประกอบกับมีข่าวการเจรจาพันธมิตรใหม่จากสหรัฐ ซึ่งหากเจรจาสำเร็จจะทำให้คำสั่งซื้อ(ออร์เดอร์) เพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกทั้งผลประกอบการไตรมาสแรก รายได้จะเติบโตได้ประมาณ 1,400 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/50 ที่มีรายได้ 1,100 ล้านบาท

เป็นผลมาจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ารายใหญ่ อย่างโตโยต้าและฮอนด้า โดยไตรมาส 2/51 บริษัทก็เริ่มเดินเครื่องจักรการผลิตโรงงานแห่ง 3 ส่งผลให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นอีก 30% เป็น 620 ล้านสโตรกต่อปีจากเดิมอยู่ที่ 450 ล้านสโตรกต่อปี โดยกำลังการผลิตที่เพิ่มเป็นการรองรับคำสั่งของโตโยต้าทั้งหมด โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนชุดท่อไอเสีย ขาคันเร่ง เบรค คลัชและการขึ้นรูปโลหะรถยนต์ต่างๆ

อันดับ 5 IEC หรือ บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด(มหาชน) ราคาหุ้นพุ่งขึ้นกว่า 98% มาอยู่ที่ระดับ 4.24 บาท จากเดิม 2.14 บาท การปรับตัวขึ้นแรงของหุ้นรายนี้ ล้วนเป็นฝีมือจากกลุ่มก๊วนขาใหญ่ที่เข้ามาไล่ล่าเก็งกำไรอย่างต่อเนื่อง

ประกอบกับมีเรื่องธุรกิจการลงทุนในพอร์ตลงทุนหลักทรัพย์ของ IEC ในช่วงไตรมาส1/2551 ถือว่ามีมูลค่าเติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยขณะนี้คาดว่า IEC มีมูลค่าพอร์ตการลงทุนอยู่ที่ 1,000 ล้านบาทแล้ว จากสิ้นปี 2550 มีมูลค่าพอร์ตการลงทุนอยู่ที่ 302 ล้านบาทเท่านั้น

รวมถีงแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสนี้ มีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งจากการเข้าไปลงทุนพอร์ตหลักทรัพย์ และธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องลูกข่าย เนื่องจาก IEC มีความสามารถในการบริการการลงทุนในพอร์ตดังกล่าวที่ถือหุ้น ด้วยเหตุนี้จีงเป็นประเด็นน่าสนใจให้กับนักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นกันอย่างต่อเนื่อง

เหล่านี้ สะท้อนภาพการลงทุนในภาวะตลาดที่ขาดปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ซึ่งหุ้นที่สามารถครองใจนักลงทุนได้อย่างดี หนีไม่พ้นหุ้นเล็กเก็งกำไร ซึ่งอาจจะให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจแก่นักลงทุน แต่อย่าลืมว่าความเสี่ยงที่รับกลับก็คุ้มค่าไม่ต่างจากค่าตอบแทนเหมือนกัน

ดังนั้น นักลงทุนที่จะเข้าไปเล่นในหุ้นกลุ่มนี้ ทางที่ดีจะต้องศึกษาที่มาที่ไปให้ถ่องแท้ จะได้แน่ใจว่าไม่พลาดท่าเสียทีภายหลัง

:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com