May 18, 2024   5:38:11 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้น..ภาษาชาวบ้าน
 

Toon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 973
วันที่: 20/05/2008 @ 11:39:17
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

สวัสดีครับ นักลงทุนทุกท่าน สัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่
ของปี 2551 ไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ SET Index ยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 7 เดือน
บทความในวันนี้ผมจะอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวในความเห็นของผม และ แนวโน้มต่อไปของ SET Index
แต่ในส่วนของการประชุม กนง.สัปดาห์นี้ ผมคาดว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิม เพื่อเป็นการ
รักษา Momentum ของการเติบโตไว้ให้มั่นคง หลังจากตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มปรับตัวลด
ลงอีกครั้ง

สำหรับสาเหตุที่ตลาดฯปรับตัวเพิ่มขึ้น New high ในสัปดาห์ที่แล้ว ผมประเมินว่ามีเหตุผลหลักที่
สนับสนุน คือ การปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น โดย
สัปดาห์ที่แล้วผมเริ่มเห็นกองทุนต่างประเทศกลับมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียมากขึ้น หลังจากที่
ก่อนหน้านี้มีการถือเงินสดในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก

ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศกลับมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะ
ตลาดหุ้นไทยนั้น ผมประเมินว่าเป็นผลจาก ความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯลดลง โดยล่าสุดในสัปดาห์ที่แล้ว
VIX Index ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 8 เดือน และเข้าใกล้จุดต่ำสุดก่อนเกิดวิกฤต Subprime แล้ว
ปัจจัยนี้เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่มีความผูกผันกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น

การปรับพอร์ตออกจากตลาดพันธบัตร ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่เดือนเมษายนแล้ว หลังจากทิศทางอัตรา
ดอกเบี้ยทั่วโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากแรงกดดันของอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นกว่าคาดการณ์ โดยเฉพาะ
ตลาดพันธบัตรในสหรัฐฯซึ่งเป็นตลาดพันธบัตรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ล่าสุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี
ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุด 1.3% ในเดือนมีนาคม เป็น 2.47% ในสัปดาห์ก่อน

การเริ่มลดพอร์ตจากตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ก่อนเกิดภาวะฟองสบู่ หากสังเกตดีๆนักลงทุนจะพบว่า
ความร้อนแรงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงนี้ ลดลงจากช่วงไตรมาสที่ 1/51 ค่อนข้างมาก ถึงแม้เรายัง
คงเห็นราคาน้ำมันดิบ หรือ ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ก็ตาม โดยในความเห็นของผมยังคงเหมือนเดิมว่า
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กำลังจะเกิดการปรับตัวลดลงในไม่ช้านี้ โดยเฉพาะ ทองคำ น้ำมันดิบ โดยได้รับผล
กระทบทั้งจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และ อุปสงค์ที่คาดว่าจะลดลงจากเดิมอย่างแน่นอน โดย
เฉพาะ น้ำมันดิบ และ อาหาร หลังจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้สร้างแรงกดดันให้กับเงินเฟ้อสูงมาก และทำ
ให้ภาวะเศรษฐกิจมีความเสี่ยงสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เรื่องต่อมา คือ เกิด Earnings Surprise ในตลาดหุ้นไทย โดยหากพิจารณาจากตัวเลข
กำไรสุทธิงวดไตรมาสที่ 1/2551 ที่เพิ่งประกาศเสร็จสิ้นไปในสัปดาห์ก่อน พบว่า บริษัทจดทะเบียนมีกำไร
สุทธิเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 38% และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเท่าตัว ผมประเมินว่าระดับอัตรา
การเติบโตดังกล่าวน่าจะเป็นระดับที่สูงที่สุดในภูมิภาคหรือในโลกได้ โดยตลาดหุ้นที่มีการเติบโตมากอย่าง
เช่น จีน ยังคงมีการเติบโตของผลการดำเนินงานเพียง 25%

U.S. de-couple ในความเข้าใจของผมต่อคำนี้ คือ การที่เศรษฐกิจและผลการดำเนินงาน
ของประเทศต่างๆไม่เป็นไปตามทิศทางของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือ พูดให้ง่ายขึ้น คือ ไม่ได้รับผลกระทบจาก
เศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯนั่นเอง ผมคิดว่าอาจจะยังคงเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าประเทศต่างๆในโลก โดย
เฉพาะ ในเอเชีย จะไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากยังคงมีปัจจัยเสี่ยงอีกหลายอย่างที่
ต้องติดตาม ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันดิบ หรือ ราคาบ้านในสหรัฐฯที่ยังคงลดลง แต่การประกาศตัวเลข GDP
ไตรมาสที่ 1/51 ของหลายประเทศยังคงมีการเติบโตได้อย่างน่าประทับใจ เริ่มจาก เศรษฐกิจยักษ์ใหญ่
อย่างจีนมีการขยายตัวของ GDP 10.6% รัสเซีย (หนึ่งใน BRIC) +8% อินโดนีเซีย เพื่อนบ้านของเรา
+6.3% สิงคโปร์ +7.2% เกาหลีใต้ +5.7% ฮ่องกง 7.1% สำหรับ ไทยไม่น้อยหน้าคาดว่าจะเติบโตได้
6% (ติดตามการประกาศสัปดาห์นี้) ส่วนกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อย่างเช่น ญี่ปุ่นยังคงมี GDP เพิ่มขึ้นถึง
3.3% และ กลุ่มประเทศยุโรป +2.2% ผมคาดว่า ประเด็นข่าวความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจต่างๆที่ไม่ได้
ชะลอตัวมากเท่าที่คาดการณ์ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้นอย่างแน่นอน

ทิศทางตลาดหุ้นไทย

ผมคาดว่า ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นต่อได้ในระยะสั้น เนื่องจาก คาดว่า การซื้อสุทธิของนักลง
ทุนต่างชาติยังคงไม่หมดลงในสัปดาห์นี้ ผมคาดว่า มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะซื้อสุทธิได้อีก 1 หมื่นล้าน
บาท หากพิจารณาจากมูลค่าขายสุทธิรวม 134,628 ล้านบาท ตั้งแต่เกิดวิกฤต Subprime เปรียบเทียบ
กับมูลค่าการซื้อสุทธิถึงสัปดาห์ล่าสุด 53,188 ล้านบาท โดยจากสถิติการฟื้นตัวของตลาดฯเวลาที่นักลง
ทุนกลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธินั้นสามารถซื้อสุทธิต่อเดือนได้มากกว่า 1 หมื่นล้าน เทียบกับมูลค่าซื้อสุทธิสะสมใน
เดือนนี้ที่ 5,099 ล้านบาท

ในแง่แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/51 ผมคาดว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงจะสามารถรักษา
อันดับต้นๆในแง่ของการเติบโตได้อีก โดยผมประเมินว่า กำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2/51 จะเติบโตขึ้นไม่ต่ำ
กว่า 38% YoY ที่เติบโตในไตรมาสแรก ทั้งนี้เนื่องจากไตรมาสที่ 2 ปี 2550 เป็นปีที่ผลการดำเนินงานอยู่
ในเกณฑ์ต่ำ แต่หากเทียบกับไตรมาสที่ 1/51 ผมคาดว่ามีแนวโน้มชะลอตัว เพราะ ผลการดำเนินงานไตร
มาสที่ 1/51 ส่วนใหญ่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นผลจากการปรับราคาสินค้าและบริการในไตรมาสที่ 1 ซึ่งไม่ได้มี
การปรับขึ้นในไตรมาสที่ 4/50

ลงทุนในหุ้น Big Cap และมี Surprise growth

เนื่องจากผมคาดว่า ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นจากอิทธิของนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้น จึงแนะนำ ให้ซื้อ
หุ้นที่มีขนาดใหญ่ ได้แก่ กลุ่มธนาคาร พลังงาน หรือ TDEX (ในกรณีที่ไม่อยากจะเสี่ยงกับตัวหุ้น) แต่ผมคิด
ว่า กลุ่มธนาคารมีแนวโน้มดีกว่าพลังงานเล็กน้อยในระยะสั้น เนื่องจากกลุ่มพลังงานปรับขึ้นมามากแล้วมี
โอกาสถูกขายทำกำไร สำหรับกลุ่มที่มี Surprise growth และน่าลงทุน ได้แก่ กลุ่มเดินเรือ สื่อสาร
โรงพยาบาล ส่วนกลุ่มเหล็ก ที่ผมเคยแนะนำมาตลอดว่าจะมี Surprise growth ผมคิดว่าราคาหุ้นปรับขึ้น
มาพอสมควรกับแนวโน้มกำไรแล้ว สัปดาห์นี้แนะนำ ให้ทยอยขายทำกำไรระยะสั้นครับ

โดย สุกิจ อุดมศิริกุล [/size:2bde13b5f1">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com