May 21, 2024   1:27:31 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > แชมป์หุ้นวิ่งแรง
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 24/06/2008 @ 13:26:05
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

แม้ภาพรวมการซื้อขายในตลาด MAI ช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา ดูแล้วจะไม่น่าประทับใจนัก เนื่องจากภาวะการลงทุนส่วนใหญ่ยังคงได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะความวุ่นวายทางการเมืองที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมากในเวลานี้

ที่สำคัญเกณฑ์ใหม่ที่ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้กำหนดขึ้นเพื่อดูแลในการซื้อขายหลักทรัพย์ นับว่าสร้างความกดดันให้กับหุ้นเล็กอย่างมาก เพราะหากปรับตัวขึ้นลงหวือหวา อาจจะเป็นเป้าสายตาทำให้เป็นหุ้นที่เข้าข่าย หุ้นเทิร์นโอเวอร์ลิสต์ได้

หากแต่ในที่นี้ แม้จะมีแรงกดดันหลายอย่างในช่วงระยะเวลาดังกล่าว แต่ก็ยังมีเรื่องน่ายินดี ที่ผลการสำรวจราคาหุ้นช่วงดังกล่าว พบว่ามีหุ้นหลายตัวที่สามารถปรับตัวขึ้นท่ามกลางภาวะการลงทุนที่ซบเซาได้อย่างน่าประทับใจ แม้จะมีจำนวนไม่มากนัก เมื่อเทียบกับหุ้นที่ปรับตัวลดลง 20 ตัว แต่หุ้นที่ปรับตัวขึ้นทั้งหมด 14 ตัว ล้วนเป็นเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่นักลงทุนมาตลอด

อย่างไรก็ตาม ตารางที่แสดงราคาหุ้นดังกล่าวไม่สามารถนำหุ้น BSM, CRANE และ DIMET มานำเสนอได้ เพราะเป็นหุ้นเข้าใหม่ รวมถึงหุ้นที่ไม่มีนัยสำคัญกับตลาดฯ อย่าง ACAP, CHUO,CPR, DM,MACO,MBAX,PICO,PR124,SLC,STEEL,SWC และ YUASA เนื่องจากเป็นหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่องทำให้การซื้อขายไม่เป็นไปตามปกติ

ทั้งนี้ หากสังเกตดี ๆ จะเห็น KASET หรือ บริษัท ไทยฮา จำกัด (มหาชน) เป็นหุ้นที่สามารถครองแชมป์หุ้นวิ่งแรงมาเป็นอันดับหนึ่งตลอด ทั้งในช่วงเดือน 3 เดือนแรก และช่วงเดือนเมษายน รวมถึง 5 เดือนแรก 2551 นี้ ที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นสูงกว่า 480% โดยวิ่งมาอยู่ที่ระดับ 7.25 จากเดิม 1.23 บาท การที่ราคาหุ้นวิ่งยาวมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ล้วนเป็นผลดีมาจากปีทองของสินค้าเกษตรที่นับวันความต้องการในสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นหุ้นทองที่นักลงทุนมีโอกาสเมื่อไหร่เป็นต้องเข้าจับจองทันที

นอกจากนี้ การลดภาษีการนำเข้า ทำให้บริษัทถือเป็นโอกาสดีที่จะเข้าไปยังตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ อย่างไนจีเรียและเม็กซิโก โดยล่าสุดมีการลดภาษีการนำเข้ากว่า 100%

จากจัดเก็บปัจจุบัน หลังจากเกิดการขาดแคลนในประเทศอย่างหนัก

รวมทั้งได้มีลูกค้าใหม่ๆเข้ามาอีกกว่า 10 ราย ในแถบตะวันออกกลาง ออสเตรีย จัดว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่ในด้านค้าปลีกทั้งอันดับ 1 และ 2 รวมถึงที่แอฟริกา ทวีปยุโรป และสหรัฐอเมริกา ที่มีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 2 คาดว่าจะเติบโตเกือบเท่าตัว เมื่อเทียบกับปีก่อนเกือบ 100% จากมูลค่าและปริมาณของสินค้าที่อยู่ในเกณฑ์สูงแต่เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ที่ได้รับผลดีจากสินค้าเกษตรตั้งแต่ช่วงเดือนมี.ค.ขณะที่ไตรมาส 3 มีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

อันดับ 2 UKEM หรือ บริษัท ยูเนี่ยน ปิโตรเคมีคอล จำกัด (มหาชน) ปรับตัวแรงกว่า 102.70% อยู่ที่ระดับ 3.00 บาท จากเดิมอยู่ที่ 1.48 บาท ซึ่งการปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงของหุ้นรายนี้ น่าจะเป็นผลจากข่าวที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)รายงานว่าน.ส.ปรีชญา วงศ์ไพฑูรย์ปิยะ ได้เข้ามาสลับซื้อและขายหุ้นตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงเดือนนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อจิตวิทยาการลงทุน

นอกจากนี้นักลงทุนยังเข้ามาเก็งกำไร จากกระแสข่าวเดิมที่ระบุว่า จะมีการเทกโอเวอร์จากนักลงทุนต่างชาติจะส่งผลให้มีการทำคำเสนอซื้อ(Tender offer) ในราคาประมาณ 3.50-4 บาท ซึ่งทั้งสองประเด็นน่าจะเป็นผลผลักดันให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

อันดับ 3 TRT หรือ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 83.21% อยู่ที่ระดับ 12.00 บาท จากเดิม 6.55 บาท ซึ่งสาเหตุการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นรายนี้น่าจะเกิดจากแรงซื้อเก็งกำไรของนักลงทุน

หลังได้รับข่าวดีสนับสนุน จากประเด็นการเตรียมเข้าร่วมประมูลงานติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่กำลังผลิต 300 เมกะโวลต์แอมแปร์ (MVA) แรงดันไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ (kV) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มูลค่าโครงการ 180-200 ล้านบาท

โดยบริษัทมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเป็นไปตามเป้า 2,300 ล้านบาท เติบโต 60% จากปีก่อน ซึ่งมาจากแบ็กล็อกที่ปัจจุบันบริษัทมีแล้วประมาณ 1,500-1,600 ล้านบาทกำหนดส่งมอบภายในเดือนธ.ค.51 ทั้งหมด

นอกจากนี้ในช่วงครึ่งหลังบริษัทยังคงเข้าร่วมประมูลงานต่างๆ ต่อเนื่อง คาดว่าจะได้งานประมาณ 700-800 ล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้ได้ภายปีนี้ประมาณ 200-300 ล้านบาท

ส่วนที่เหลือจะทบไปเป็นปีหน้า

ส่วนแนวโน้มรายได้ปี 52 บริษัทยังคงตั้งเป้าเติบโตไว้ที่10% จากปีก่อน ขึ้นอยู่กับปริมาณงานที่เข้ามา ขณะที่บริษัทยังไม่มีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่ม หรือสร้างโรงงาใหม่เพิ่มในช่วง 2-3 ปีนี้ จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 70-75% ของกำลังการผลิตทั้งหมด หากมีปริมาณงานเพิ่มขึ้นก็อาจเดินเครื่องผลิต 100%

อันดับ 4 CIG หรือ บริษัท ซี.ไอ.กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 64.50% อยู่ที่ระดับ 7.60 บาทจากเดิม 4.62 บาท ซึ่งการปรับตัวขึ้นของหุ้นรายนี้ น่าจะเกิดจากแรงสนับสนุนที่ดีปัจจัยบวกหลาย ๆ อย่าง ๆ

ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงโรงงานแห่งที่ 3 ตั้งอยู่ที่เทพารักษ์จากที่เป็นโกดังกระจายสินค้า ขณะนี้ได้ย้ายเครื่องจักรเข้าไปทำการผลิตแล้วบางส่วน เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้นและสะดวกในการเดินทางเนื่องจากอยู่ใกล้กับลูกค้า ช่วยลดค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะค่าน้ำมันและค่าขนส่งได้ประมาณ 60-70%

ขณะที่โรงงานแห่งที่ 1 และ 2 มีการดำเนินการผลิตอย่างเต็มที่ตามออเดอร์ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทก็ศึกษาและหาเพิ่มที่ใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี และเป็นโอกาสดีที่จะมีการผลิตเพิ่มมากขึ้น

โดยบริษัทมั่นใจว่ารายได้และกำไรจะเติบโต 100% จากแบ็กล็อก 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปีนี้ นี่จึงเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ราคาวิ่งได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

อันดับ 5 LVT หรือ บริษัท แอล.วี.เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ราคาปรับตัวขึ้น 32.38% อยู่ที่ระดับ 2.78 บาท จากเดิม 2.10 บาท สาเหตุที่ปรับตัวขึ้นน่าจะเกิดจากแรงซื้อของนักลงทุน หลังพบว่าหุ้นรายนี้มีปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างดี

โดยเป็นบริษัทที่ทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ ยิ่งล่าสุดกำไรสุทธิเติบโตสูงถึง 43.92 ล้านบาท ขณะเดียวกันสัญญาณทางเทคนิคที่นับสนุนเป็นซื้อ ยิ่งทำให้นักลงทุนสนใจหุ้นรายนี้มากขึ้น

อย่างไรก็ตามการลงทุนในตลาดหุ้น mai ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำมาก เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องมานั่งกังวลกับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยลบตัวฉกาฬทำให้ตลาดฯใหญ่ผันผวนในเวลานี้ ที่สำคัญราคาหุ้นใน MAI ไม่แพงมากนัก.. ทำให้นักลงทุนทั้งขาเล็ก ขาใหญ่ ก็สามารถเข้าเล่นได้

ล้อมกรอบ

ทั้งนี้ ?รายงานพิเศษ?ฉบับวันที่ 19 มิถุนายน 2551 ต้องขออภัย บริษัท อีเอ็มซี จำกัด(มหาชน) หรือ EMC และนักลงทุนทุกท่าน เนื่องจากวันและเวลาดังกล่าว ได้เสนอข้อมูลราคาหุ้น 5 เดือนแรก 2551 เทียบกับราคาหุ้นวันที่ 30 ธันวาคม 2550

โดยข้อมูลที่เสนอ ?ผิด? ออกไปนั้น คือราคาหุ้น EMC ร่วงกว่า 76% อยู่ที่ระดับ 1.03

บาท จากเดิม 4.40 บาท ซึ่งระดับ 4.40 บาท เป็นราคาที่อยู่ในช่วงวันที่ 30 ธันวาคม

2550 ที่ยังไม่ได้แตกพาร์ และเมื่อแตกพาร์แล้วราคาหุ้นจะอยู่ที่ระดับ 0.44 บาท

จุดนี้เอง เป็นข้อผิดผลาดสร้างความเข้าใจผิดให้กับนักลงทุน เพราะแท้ที่จริงแล้วราคาหุ้น EMC จะอยู่ระดับ 1.03 บาท เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2551 ขณะที่ วันที่ 30 ธันวาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 0.44 บาท นั่นแสดงว่าในช่วง 5 เดือนแรก 2551 ราคาปรับตัวแรงถึง 134.09% โดยขึ้นมาเป็นอันดับ 6 ของหุ้นทั้งหมดเกือบ 500 ตัว ในตลาด SET

ดังนั้น การนำเสนอข้อมูลที่ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงไปในครั้งนั้น จึงขออภัยมา ณ โอกาสนี้

:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com