May 20, 2024   9:49:48 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > วอแรนต์ 5 เดือนแรก 2551
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 30/06/2008 @ 15:11:22
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

GJS-W1 ราคาพุ่งแรงกว่า 150%

ภาพรวมการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา ถือว่ายังไม่น่าพอใจเท่าใดนัก เพราะจากประเด็นความวุ่นวายทางด้านการเมือง และปัญหาภายนอกต่างประเทศที่กดดันตลาดมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ก็ยังไม่จางลง ดังนั้นภาวะการลงทุนในช่วงนี้จึงพบว่าส่วนใหญ่นักลงทุนเทขายหุ้นมากกว่าการเข้าซื้อ

ขณะเดียวกันในช่วงที่ภาวะตลาดปรับตัวลงแรง นักลงทุนต่างก็เทขายหุ้นออกมา เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยไม่ได้สนใจว่าหุ้นตัวนั้นจะมีพื้นฐานที่น่าพอใจมากน้อยขนาดไหน และยิ่งเป็นวอแรนต์ซึ่งไม่มีพื้นฐานอะไรมารองรับ ความเสี่ยงที่จะถูกนักลงทุนขายทำกำไรออกมายิ่งเป็นไปได้สูง

ที่สำคัญนักลงทุนทราบดีว่า ปัจจัยที่จะทำให้วอแรนต์ปรับตัวขึ้น-ลง ต้องอาศัยปัจจัยบวกจากหุ้นแม่เข้ามาช่วยสนับสนุนเพียงอย่างเดียวก็ว่าได้

ด้วยเหตุนี้ ถึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยว่า ราคาหุ้นวอแรนท์ส่วนใหญ่ในช่วงระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2550 ถึง 31 พฤษภาคม 2551 จึงอ่อนตัวลงมาก จากที่สำรวจวอแรนต์ทั้งหมด 82 ตัว พบว่าสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แค่ 20 ตัว ส่วนอีก 33 ตัว เป็นวอแรนต์ที่ราคาปรับตัวลดลง และอีก 3 ตัวราคาไม่เปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ยังมีวอแรนต์อีก 26 ตัว ที่ราคาไม่ได้เคลื่อนไหวไปตามภาวะตลาด ดังนั้นการสำรวจข้อมูลครั้งนี้ จึงมีเพียงหุ้น 56 อันดับ เท่านั้น

สำหรับอันดับ 1 ซึ่งเป็นวอแรนต์ที่มีราคาเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นมากสุด คือ GJS-W1 ซึ่งเป็นหุ้นลูกของ GJS หรือ บริษัท จี เจ สตีล จำกัด (มหาชน) โดยราคาปรับตัวแรงที่ระดับ 157.14% มาอยู่ที่ 0.18 บาท จากเดิม 0.07 บาท การปรับตัวขึ้นของวอแรนต์รายนี้รายถือเป็นเรื่องปกติที่ราคาจะวิ่งได้ตามหุ้นแม่

เนื่องจากหุ้นเหล็กถือว่าได้รับปัจจัยหนุนที่ดีจากราคาเหล็กโลกที่ปรับตัวขึ้น ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเหล็กวิ่งกันอย่างหน้าชื่นตาบาน อีกทั้งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นรายได้จากการขายสำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2551 และ 2550 คิดเป็นจำนวนเงิน 6,276 ล้านบาท และ 5,129 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งสูงขึ้นเนื่องมาจากปริมาณและราคาขายของสินค้าสำเร็จรูปสูงขึ้น

อันดับ 2 SECC-W1 หุ้นลูกของ SECC หรือ บริษัท เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) โดยราคาปรับตัวแรงถึง 117.48% มาอยู่ที่ 2.24 บาทจากเดิม 1.03 บาท ซึ่งพบว่า ช่วงวันที่ 7-8 ก.พ. มีการเปลี่ยนแปลงของราคาและมูลค่าการซื้อขายทั้งแม่และลูกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยมีการซื้อขายในลักษณะเก็งกำไรอย่างมากและไม่มีสารสนเทศใดรองรับการเปลี่ยนแปลง

กระทั้งตลาดหลักทรัพย์ ได้ใช้มาตรการสั่งห้ามซื้อขายในลักษณะหักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน(Net Settlement) และห้ามโบรกเกอร์ให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (MarginTrading) หุ้น SECC และ SECC-W1 ตั้งแต่วันที่ 11 ก.พ.-24มี.ค.51

อย่างไรก็ตาม SECC ยังมีข่าวดีอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับยอดขายรถยนต์จากงานมอร์เตอร์โชว์ที่กำลังมีขึ้น อีกทั้งการที่รัฐบาลมีการลดหย่นภาษีเงินได้นิติบุคคล ผู้บริโภคจะสามารถเพิ่มกำลังซื้อมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจการเช่าซื้อขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยหนุนในตัวแม่ อาจจะหนุนให้ลูกพุ่งขึ้นอีกรอบก็เป็นได้

โดย SECC ยังมีแผนที่จะก่อสร้างโชว์รูมแห่งใหม่ ซึ่งจะจัดตั้งอยู่ในบริเวณถนนรามอินทรา โดยจะเปิดเป็นลักษณะช็อปปิ้งมอลล์ที่จะนำเข้ารถยนต์ เพื่อจัดจำหน่ายได้ถึง 200

กว่าคัน และมีศูนย์บริการช่องซ่อมบำรุงที่รองรับถึงจำนวน 100 ช่อง ทั้งนี้ปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงร่างแบบก่อสร้าง และจะสามารถรับรู้รายได้ทันทีเมื่อเปิดให้บริการ โดยไม่จำเป็นต้องรอก่อสร้างให้เสร็จครบทุกส่วน

อันดับ 3 หุ้น GEN-W1 หุ้นลูกของ GEN หรือ บริษัท เจนเนอรัลเอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) โดยราคาปรับตัวขึ้น 110.87% มาอยู่ที่ระดับ 0.97 บาท จากเดิม 0.46 บาท ซึ่งช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นลูกปรับตัวขึ้นมาก แต่ก็ยังถือว่ายังน้อยกว่าราคาหุ้นแม่ เพราะหลังจากได้แรงกระตุ้นจากแผนล้างขาดทุนสะสม ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้หุ้นมาร์เก็ตแคปเล็กๆ กลับมาได้รับความสนใจ

อีกทั้งการเพิ่มทุนครั้งนี้ของ GEN จะเกิดไดลูทประมาณ 17% ซึ่งถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่บริษัทจะได้ในอนาคต โดยประเมินว่าราคาหุ้นเพิ่มทุนจะอยู่ที่ประมาณ2.50 บาท จากราคาเฉลี่ยย้อนหลัง บริษัทจะได้เงินเพิ่มทุนประมาณ 250 ล้านบาท จะทำให้มีส่วนล้ำมูลค่าหุ้นเกิดขึ้น 150 ล้านบาท สามารถนำไปล้างขาดทุนสะสม 27 ล้านบาทได้หมด และพลิกกลับมามีกำไรสะสมประมาณ 200 ล้านบาท

นอกจากนี้การเพิ่มทุนจะทำให้มูลค่าทางบัญชีของ GEN เพิ่มเป็น 1.20 บาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.13 บาท และการกระจายธุรกิจไปสู่พลังงาน น่าจะช่วยกระจายฐานรายได้ในอนาคต ส่งผลดีต่อบริษัทมากกว่าการทำธุรกิจก่อสร้างเพียงอย่างเดียว ซึ่งปัจจุบันแนวโน้มไม่ดีนัก จากต้นทุนที่สูงขึ้น และหากได้พาร์ทเนอร์ที่ซื้อหุ้น PP เข้ามาหนุนธุรกิจพลังงาน จะทำให้แนวโน้มของบริษัทดีขึ้น

อันดับ 4 TSTH-W1 หุ้นลูกของ TSTH หรือ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดยราคาปรับตัวแรงถึง 75.47% อยู่ที่ระดับ 0.93 บาท จากเดิม 0.53 บาท ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นเป็นไปตามสัญญาณเทคนิคที่อยู่ในช่วงขาขึ้น โดยนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไร เหตุจากราคาหุ้นมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นไปอีก จากราคาเหล็กที่อยู่ในระดับสูง และการลงทุนด้านซอฟต์แวร์ในประเทศไทย

อีกทั้งได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/51 (สิ้นสุด 31 ธ.ค. 50)

มีกำไรสุทธิ 616.56 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.07 บาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 439.43 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.05 บาท

ขณะที่แนวโน้มของผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/51 (ม.ค.-มี.ค. 51) มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นกว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/51 เนื่องจากยังคงได้รับผลดีจากต้นทุนในส่วนของเศษเหล็กที่ราคาถูกจากการเก็บสต๊อก สวนทางกับราคาขายเหล็กที่กระทรวงพาณิชย์ปรับราคาขายเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือน ม.ค. และเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อบริษัทฯในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก และ TSTH ก็ได้รับประโยชน์จากประเด็นดังกล่าวมากที่สุด

อันดับ 5 TCC-W1 ซึ่งถือเป็นหุ้นลูกของ TCC หรือ บริษัท ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยราคาปรับตัวแรงที่ระดับ 117.48% มาอยู่ที่ 2.24 บาท จากเดิม 1.03 บาท

การปรับตัวแรงของวอแรนต์รายนี้ น่าจะมาจากการเข้าเก็งกำไรของนักลงทุนตามหุ้นแม่ เนื่องจากราคาหุ้นแม่ถูก รวมถึงการหันมาทำธุกิจใหม่ คือธุรกิจถ่านหิน ทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรกันเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม“วอแรนต์” หรือที่เรียกสั้นๆว่า"ลูก" ซึ่งราคาจะผันแปรไปตามหุ้น “แม่”นั้น แม้จะให้ผลตอบแทนที่นับว่าคุ้มค่า แต่อย่าลืมว่ามีความเสี่ยงมากเช่นกัน

:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com