May 10, 2024   7:44:52 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ถึงตลาดไม่สดใส แต่หัวใจยังซาบซ่า
 

Tom
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 33
วันที่: 01/07/2008 @ 18:06:44
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

[b:b2941c2407">หากคุณถามผมถึงรสชาติของการเป็นขอทาน
ผมบอกได้เพียงว่า
มันคือน้ำตาที่ขมปร่าที่สุดในชีวิตมนุษย์
หากคุณถามผมถึงรสชาติของความสุข
ผมก็จะบอกว่า
มันคือการไม่ต้องทนหิว ไม่ต้องทนหนาว
คนในครอบครัวได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้า
อย่างร่มเย็นเป็นสุข
แค่อยากแสดงให้เห็นว่า...
แม้ชีวิตจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้
ขอเพียงมุมานะอดทนเท่านั้น
ที่สุดก็จะต้องมีวันได้ดีเช่นกัน[/color:b2941c2407">[/b:b2941c2407">

นี่คือ บทเรียนชีวิตของ ขอทานคนนึงที่ไม่เคยย่อท้อต่อชะตาชีวิต ใครที่คิดว่าโลกนี้จะมีใครแย่กว่าเราไหมหนอ ลองอ่านเรื่องนี้ดูครับ ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต

 กลับขึ้นบน
Tom
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 33
#1 วันที่: 01/07/2008 @ 18:08:22 :
ขออนุญาติ ลงเป็นตอนๆ นะครับ อิอิ

ตอนที่ 1
เรื่องของผม

22 ธันวาคม ปี 1999 ผมยืนอยู่บนเวทีในพิธีมอบรางวัล 10 เยาวชนยอดเยี่ยมแห่งปี หลังจากที่ผมรับรางวัลแล้วกล่าวคำปราศรัยยาว 40 นาทีสิ้นสุดลง เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องขึ้น ข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างก็ลุกขึ้นปรบมือให้ผม ในนาทีนั้นแม่กับน้องชายคนโตก็นั่งอยู่ในห้องโถงพิธีด้วยเช่นกัน ผมมองพวกเขาที่นั่งอยู่หน้าเวที นึกถึงเรื่องราวในอดีตที่เราได้ฟันฝ่าร่วมกันมาแล้ว ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวจริง ๆ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้รับรางวัลหรือใบประกาศเกียรติคุณหรอกครับ ตั้งแต่เล็กจนโตผมเคยได้รับรางวัลและใบประกาศต่าง ๆ เป็นร้อย ๆ ใบ สิ่งเหล่านี้นับเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับ “ชีวิตสวะ” ของเด็กขอทานอย่างผม ผมขอขอบคุณด้วยใจจริง แด่ทุกคนทั้งที่เคยเป็นกำลังใจและเคยช่วยเหลือผม มองย้อนกลับไป ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นช่างเหมือนภาพยนตร์ที่ฉายไปตัดมาอย่างรวดเร็วในหัวของผม ช่วงระยะเวลา 40 ปีของผมช่างยาวนานเสมือนเวลา 80 ปีของคนอื่น เพราะแต่ละก้าวนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและโศกเศร้า แต่ละก้าวที่ย่างไปข้างหน้านั้น ราวกับก้าวเดินบนถนนก้อนกรวด เลือดไหลซิบ ๆ แต่ก็ยังต้องฝืนยกเท้าก้าวต่อไป

ยังดีที่ผมไม่ล้มลง ยังดีที่ผมยืนหยัดมาได้จนถึงวันนี้ ยังดีที่ผมไม่เคยละทิ้งชีวิตนี้ไป

กระผม นายไล่ตงจิ้น เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 1959 พ่อเป็นขอทาน แม่เป็นคนปัญญาอ่อน

“บ้านฉันช่างน่ารักจริงเอง สะอาด สดใส มีพลานามัย และเปี่ยมสุข” เมื่อได้ยินเด็ก ๆ ร้องเพลงนี้ทีไร ใจผมกลับรู้สึกว่า “บ้านผมช่างแปลกเหลือเกิน” ก็ตอนที่พ่อตาแม่ยายผมห้ามลูกสาวเขาไม่ให้แต่งงานกับผม บ้านนั่นน่ะเป็นบ้านที่โคตรซวย บรมซวยที่สุดในโลกเชียวนะ” แล้วผมจะมีหน้าไปเถียงอะไรเขาได้เล่า ในเมื่อบ้านผมก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ พ่อผมไม่ได้เป็นเพียงขอทานธรรมดา ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นขอทานตาบอดอีกด้วย แถมแม่ผมยังเป็นคนปัญญาอ่อนที่มีภาวะอารมณ์ผิดปกติ หมอบันทึกลงในใบวินิจฉัยโรคว่าแม่ไอคิวต่ำเพียงระดับ 58 เท่านั้น

นี่คือเรื่องราวการเติบโตของผม เป็นบันทึกชีวิตคลุกเลือดเคล้าน้ำตาที่พวกเราทั้งครอบครัวได้ช่วยประคับประคองกันมา ผมเลือกที่จะนำเรื่องราวเหล่านี้มาบันทึกเป็นหนังสือในวันนี้ เพื่อระลึกถึงคืนวันในช่วงนั้น

พ่อผมเกิดที่หมู่บ้านเฉียนจู๋ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่แสนจะยากจนในอำเภออูรื่อ จังหวัดไถจง ปู่ย่ามีอาชีพรับจ้างทำนา เมื่อพ่ออายุได้สี่ขวบ ปู่ก็ป่วยตาย ย่าเลี้ยงดูลูกทั้งสาม (ได้แก่ พ่อผม ลุงและป้า) แต่เพียงลำพัง ในสมัยนั้นแค่การเป็นหญิงม่ายก็ลำบากพออยู่แล้ว แต่นี่ยังมีลูกติดอีกถึงสามคน จึงทำให้ทั้งครอบครัวต้องอดมื้อกินมื้ออยู่บ่อย ๆ ซ้ำยังต้องโดนดูถูกเหยียดหยามสารพัดด้วยเหตุนี้ อีกสามปีต่อไป ย่าจึงยอมแต่งงานใหม่ไปอยู่หมู่บ้านซิ่วซาน อำเภอต้าหย่า โดยที่ลูกทั้งสามไม่ได้ติดตามไปด้วย ทุกคนยังอยู่ที่อู่เรือ ทำงานรับจ้างทั่วไป เลี้ยงวัว เลี้ยงควายบ้าง พอประทังชีวิตไปวัน ๆ

เมื่อพ่ออายุได้ 17 ปี ย่าก็เสีย ดังนั้นนอกจากพี่ชายกับพี่สาวแล้ว พ่อจึงไม่มีญาติที่ไหนอีก แต่กระนั้นสวรรค์ก็ยังไม่ปรานี สองปีต่อมา จู่ ๆ ตาของพ่อก็เริ่มมีอาการผิดปกติ ในตอนนั้นทั้งลุงและป้าต่างก็แต่งงานแยกครอบครัวออกไปแล้ว ครอบครัวของแต่ละคนก็ลำบากมาก ไม่สามารถดูแลน้องชายคนนี้ได้ ประกอบกับแพทย์ในสมัยนั้นก็ยังไม่พัฒนา ตาของพ่อจึงค่อย ๆ บอดลงในที่สุด ที่น่าแปลกก็คือ อีกสิบกว่าปีต่อมา ลุงกับป้าก็ตาบอดทั้งสองข้างเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าเพราะตั้งฮวงซุ้ยบรรพบุรุษไม่ถูกต้อง หรือเป็นเพราะความผิดปกติทางพันธุกรรมกันแน่ คงไม่มีใครตอบได้ สรุปก็คือเมื่อพ่ออายุได้ 22 ปี ตาก็บอดสนิททั้งสองข้าง

จากนั้นท่านจึงเริ่มใช้ชีวิตวณิพก หากินด้วยการเป็นหมอดูบ้าง หมอนวดบ้าง แต่เนื่องจากกิจการไม่ค่อยดีนัก โดยส่วนใหญ่แล้วพ่อจึงมักจะไปดีดพิณขอทานตามตลาดสดบ้างตลาดโต้รุ่งบ้าง ชีวิตพ่อมีเพียงแค่ไม้เท้าหนึ่งอัน ชามบิ่น ๆ หนึ่งใบกับพิณอีกหนึ่งตัว ระหกระเหินไปทั่ว ค่ำไหนนอนนั่น ในใจพ่อคิดอะไรอยู่นั้น ผมไม่เคยเข้าใจ บางทีชีวิตเร่ร่อนขอทานของชายตาบอด อาจจะมีสิ่งน่าพอใจอยู่บ้างก็ได้

พ่อซัดเซพเนจรไปเรื่อยจนอายุ 32 ปี วันหนึ่งพ่อเดินลัดเลาะไปจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำหมู่บ้านจ้างฮว่าเอ้อหลิน กะว่าจะนั่งพักขาใต้ร่มไม้ให้พอหายเหนื่อยเสียก่อน พอนั่งลงก็ได้ยินเสียงคล้ายกับคนร้องครวญครางดังขึ้นใกล้ ๆ ตัว แม้พ่อจะมองไม่เห็น แต่ฟังจากเสียงก็รู้ว่าเป็นเสียงของเด็กผู้หญิง เสียงโอดโอยนั้นบอกถึงความทรมานสุดทน พ่อสงสัยว่าเธออาจจะป่วย จึงยื่นมือออกไปแตะดู ตั้งใจจะถามเธอว่าเป็นอะไร แต่เด็กหญิงดูเหมือนจะไม่เข้าใจถึงจะถามแล้วไม่ได้คำตอบ แต่ในสถานการณ์นั้น พ่อก็ไม่ใจดำพอจะทิ้งเด็กหญิงไว้ตามลำพังได้ จึงนั่งลงที่พื้นใกล้ ๆ คอยอยู่เป็นเพื่อนเธอ

ไม่รู้ว่านั่งไปนานเท่าไร พอดีมีชาวบ้านเดินผ่านมาเห็นเด็กหญิงนอนร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น แกถอนใจยาว เล่าให้พ่อฟังว่า “จะว่าไปแล้วก็น่าสงสารนะเด็กคนนี้น่ะ บ้านแกอยู่ที่หมู่บ้านหยวนหลิน แต่ฐานะยากจน พอเกิดมาก็ถูกยกให้เป็นลูกบุญธรรมตระกูลเฉิงที่เอ้อหลิน หยวนโต้ง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ พอตระกูลเฉิงรู้ว่าเด็กคนนี้ปัญญาอ่อนแต่กำเนิด แล้วยังเป็นโรคลมบ้าหมูอีก อย่าว่าแต่เรื่องค่ารักษาพยาบาลเลย แค่เลี้ยงดูพ่อแม่บุญธรรมแกยังไม่ใส่ใจดูแล ได้แต่ปล่อยแกตามยถากรรม จะอยู่จะกินอย่างไรก็ช่าง พอเด็กมันหิวก็จับมดจับแมลง ผลไม้ ผักหญ้าใส่ปากไปตามแต่จะเก็บได้ เหนื่อยก็ล้มลงนอนกับพื้นสะเปะสะปะไปทั่ว พอป่วยก็ได้แต่มานอนโอดโอยอย่างที่เห็นนี่แหละ” พอพูดจบ ชาวบ้านคนนั้นก็ถอนใจยาวอีกเฮือกหนึ่ง แล้วส่ายหน้าเดินจากไป

พ่อคิดว่า คนเราเกิดมาใต้ฟ้าผืนเดียวกัน พ่อเองก็ไม่มีพ่อแม่ ส่วนเด็กคนนี้ก็ถูกทอดทิ้ง ทำไมในโลกนี้จึงมีคนน่าสงสารมากมายนักนะ แม้ตัวพ่อเองจะตาบอด แต่อวัยวะส่วนอื่นก็สมบูรณ์ดี ยังพาตัวไปขอทานได้ แม้จะต้องทนอดอยู่บ่อย ๆ แต่ลมหายใจก็ยังไม่สิ้น หากว่าพ่อใจดำจากไปในวันนี้ ไม่รู้ว่าเด็กที่น่าสงสารคนนี้จะมีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้หรือเปล่า พอคิดได้อย่างนี้แล้ว พ่อก็ตัดสินใจว่าจะพาเด็กหญิงนี้กลับไปรักษาที่อูรื่อบ้านเกิดตัวเอง

ดังนั้นทั้งสองจึงอยู่กินกันเป็นสามีภรรยากันมา

ในสมัยนั้นยังไม่มีอะไรที่เรียกว่า “พิธีแต่งงาน” เพียงคนสองคนอยู่ด้วยกันก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากันได้แล้ว และเด็กผู้หญิงปัญญาอ่อนที่ผมกำลังกล่าวถึงอยู่นี้ก็คือแม่ผมเอง ตอนหลัง เวลาพ่อเล่าถึงเรื่องนี้ทีไร จึงมักจะพูดว่าพ่อไป “เก็บ” แม่มา ที่จริงจะว่าอย่างนี้ก็คงไม่ผิดนัก เพราะตอนนั้นพ่ออายุ 32 ปีแล้ว ส่วนแม่อายุเพียง 13 ปีเท่านั้น ทั้งคู่อายุห่างกันถึง 19 ปี ก็เหมือนเก็บเด็กมาเลี้ยงจริง ๆ นั่นแหละ

คำพังเพยกล่าวว่า “หงส์คู่หงส์ มังกรคู่มังกร คางคกงี่เง่าคู่กับเต่าเฒ่าหลังตุง คนหลังค่อมคู่กับคนปัญญาอ่อน” ไม่รู้อย่างนี้ควรจะเรียกว่าสวรรค์บันดาลหรือสวรรค์กลั่นแกล้งดี
 กลับขึ้นบน
ChennyVI
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 84
#2 วันที่: 02/07/2008 @ 14:04:27 :
ติดตามคับ
 กลับขึ้นบน
Tom
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 33
#3 วันที่: 02/07/2008 @ 17:11:58 :
บทที่ 2 ต่อครับ เรื่องมันยาวหน่อยนะครับ แต่อ่านแล้วได้ข้อคิดเยอะเลยครับ ชีวิตจริงที่ต่อสู้จนได้ดี

ตอนที่ 2
ลูกยกโหล

บ้านเรามีลูกทั้งหมด 12 คน ผมเป็นคนที่สอง มีพี่สาวหนึ่งคน ปีที่ผมเกิดนั้นพ่อผมอายุได้ 42 ปีแล้ว ตอนนั้นพวกเราร่อนเร่ไปถึงหมู่บ้านตงซื่อในไถจง ผมจึงเกิดที่ศาลเจ้าในสุสานแถว ๆ นั้น ศาลเจ้าในสุสานก็คือคฤหาสน์ในยมโลกของพวกคนตายนั่นเอง ฮวงจุ้ยเลยไม่เลวนัก ด้านหน้ามีแม่น้ำ ด้านหลังมีภูเขา หมอตำแยที่มาช่วยทำคลอดให้ แต่เช้าตรู่ยังบอกด้วยว่า ตอนที่แกทำคลอด แกเห็นมังกรเขียวตัวหนึ่งปรากฏตัวบนท้องฟ้าด้วย พ่อดีใจใหญ่ จึงตั้งชื่อผมว่า “ตงจิ้น” หรือบางทีก็เรียกว่า “ตงสุ่ย”

หลังจากผมเกิด แม่ก็ตั้งท้องอีกท้องแล้วท้องเล่า คลอดต่อ ๆ กันจนครบ “หนึ่งโหล” ครอบครัวที่ยากจนเพียงนี้ แถมยังมีลูกมากขนาดนี้ ลำพังที่พ่อหามาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนั้นก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว จึงแทบจะไม่ต้องพูดถึงเรื่องเลี้ยงดูพวกเราเลย ผมจำได้ว่าทุกครั้งที่ผมออกไปขอทานกับพ่อ พ่อจะต้องผูกแม่ไว้กับต้นไม้ด้วยเชือกหรือโซ่ เพื่อป้องกันไม่ให้แม่หนีไปเล่นน้ำ เพราะหากว่าแม่เกิดหลงทางขึ้นมา พ่อตาบอดของผมก็ไม่รู้ว่าจะไปตามแม่ได้ที่ไหน

เมื่อไม่มีพ่อแม่คอยอุ้มชูดูแล เด็ก ๆ ทุกคนในบ้านเราจึงต้องช่วยดูแลกันเอง เล่นดิน กินทรายมาจนเติบโตขึ้น แต่ที่แสนจะโชคร้ายไปกว่านั้นก็คือ น้องชายคนโตปัญญาอ่อนและภาวะอารมณ์ผิดปกติแต่กำเนิด เพราะกรรมพันธุ์จากแม่ นับแต่นั้น คนที่ถูกผูกติดกับต้นไม้จึงไม่ใช่แม่เพียงคนเดียว แต่ยังมีน้องชายคนโตเพิ่มมาอีกคน

สำหรับพวกเรานั้น เนื่องจากพ่อมองไม่เห็น ท่านจึงต้องหาเชือกสีแดงมาร้อยลูกกระพรวนผูกไว้ที่คอลูกทุกคน เพื่อจะได้ฟังเสียงดูว่าพวกเราคลานเล่นกันไปถึงไหนแล้ว ถ้าใครไปไกลหน่อย พ่อก็จะรีบไปลากกลับมา

เรื่องที่เกิดขึ้นตอนอายุได้ 5 – 6 ขวบนั้น ผมจำได้แม่นยำ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนสี่ขวบ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่พ่อกับพี่สาวเล่าให้ฟังภายหลัง

พี่สาวเล่าว่า ตอนแรกที่มีเธอคนเดียว พ่อจะมีไม้คานสำหรับหาบของไว้บนบ่า มีถุงย่ามอยู่ที่ปลายทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งไว้สำหรับใส่ทารกน้อย อีกข้างไว้สำหรับใส่ผ้าห่ม เท่านี้ก็ไปได้ทั่วปฐพีแล้ว พอมีผมเพิ่มมาอีกคนก็เท่ากับว่ามีภาระเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งปากท้อง จะอาศัยแต่การขอทานของพ่อคนเดียวก็เริ่มจะไม่พอเสียแล้ว อีกอย่าง จะขนย้ายทั้งครอบครัวใหญ่ไปโน่นมานี่คงไม่ใช่วิธีที่ดีนัก

ดังนั้นเมื่อผมอายุได้ขวบกว่า พอเริ่มเดินได้ก็เตาะแตะตามพี่สาวออกไปขอทาน ผมจำได้ว่า พ่อแทบจะไม่เคยแสดงความชื่นชมหรือยินดีต่อใบประกาศนียบัตรใด ๆ ที่ผมได้มาจากการร่ำเรียนหนังสือเลยสักครั้ง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่พ่อมักจะพูดติดปากอยู่เสมอ และในน้ำเสียงนั้นบอกถึงความภูมิใจว่า “ตอนที่อาจิ้นเพิ่งจะสองขวบน่ะ มันเดินขอทานตั้งแต่หมู่บ้านเฉ่าตุนถึงหมู่บ้านผูหลี่เชียวนะ ระยะทางห่างกันตั้งสี่สิบกิโลเมตรแน่ะ”

ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมพ่อถึงชื่นชมกับเรื่องนี้หนักหนา แต่พอมาคิดดูอีกทีก็คงเหมือนกับครอบครัวคหบดีที่หวังให้ลูกชายมีความสามารถในวิชาคำนวณ ครอบครัวขุนนางข้าราชการที่หวังให้ลูกชายรู้จักการเข้าสังคมต่าง ๆ และเมื่อเกิดในครอบครัวยากจน พ่อจึงหวังให้ผมมีกำลังขาที่ดี และมีความอดทนสูงกระมัง ระยะทางตั้ง 40 กิโลเมตร แล้วผมก็เพิ่งสองขวบเท่านั้น คิดดูแล้วก็น่าหดหู่เสียจริง

ตอนผมห้าขวบ แม่ก็คลอดลูกติดต่อกันอีกถึงสามคน เนื่องจากพี่สาวเป็นผู้หญิงจึงต้องคอยดูแลน้อย ๆ อยู่ที่ศาลเจ้าในสุสาน ส่วนผมต้องเริ่ม “ขึ้นแท่น” ไอ้เสือปืนเดี่ยว ออกไปขอทานเพียงลำพัง

แม้จะอายุเพียงห้าขวบ แต่ “ประสบการณ์” ที่สั่งสมใน “พรรคกระยาจก” มาเป็นระยะเวลาถึงสามปีครึ่ง ทำให้การออกขอทานไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรนักสำหรับผม เพียงแต่การขาดความรู้เรื่องการคุมกำเนิดของพ่อแม่ ทำให้แม่ตั้งท้องและคลอดลูกต่อเนื่องกันอย่างไม่หยุดหย่อน ทุกครั้งที่มีชีวิตใหม่ลืมตาขึ้นมา ไม่มีความปีติ ไร้ซึ่งการยินดี จะมีก็แต่ความกังวลใจในภาระที่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งปากท้อง และภายหลังผมต้องเป็นผู้รับภาระหนักอึ้งที่จะต้องดูแลครอบครัวที่มีถึงสิบสี่ปากท้องเพียงลำพัง มันช่างเป็นเสมือนโศกนาฏกรรมที่ดูจะไม่มีวันจบสิ้นสำหรับผม เสมือนถนนขรุขระที่ไม่มีปลายทาง

ก่อนผมสิบขวบ ครอบครัวเราไม่มีบ้านช่องเป็นหลักแหล่ง หรือแทบจะเรียกได้ว่าเราต้องนอนกลางดินกินกลางทรายกันจริง ๆ ผมผ่านวัยเด็กท่ามกลางลมหนาว น้ำค้าง แสงแดด พายุโหมกระหน่ำ มีต้นไม้เป็นหลังคา ผืนดินเป็นเตียงนอน และมีสุสานเป็นบ้านของเรา

พวกเราเคยอาศัยพักพิงมาแล้วแทบทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นใต้ต้นไม้ ใต้สะพาน ตลาดสด ใต้เวทีโรงงิ้ว ป่าร้าง ตามแต่สภาพอากาศที่ผันแปรไปตามฤดูกาล พูดได้ว่าไม่มีที่ไหนเลยที่เราอยู่ไม่ได้ ถ้าไปตามเมืองเล็ก ๆ เราก็อาศัยกันตามโรงเรียนบ้าง ศาลาตามสวนสาธารณะบ้าง สถานีรถไฟบ้าง หรือถ้าเป็นหมู่บ้านชนบท เราอาจพักกันตามสวนกล้วย ไร่อ้อย โรงเพาะเห็น หลุมหลบภัย หรือแม้แต่ในเล้าหมูก็ยังเคย แต่ที่ที่เราอาศัยกันบ่อยที่สุดคงจะเป็นศาลเจ้าในสุสาน เพราะการนอนอยู่กับคนตายนั้นไม่ต้องถูกมองด้วยสายตาดูแคลน และที่สำคัญคือ คนตายไม่ไล่ตะเพิดพวกเราแน่

เคยมีคนถามว่า ทำไมผมจึงจำเรื่องราวในอดีตได้ละเอียดชัดเจนนัก ผมคิดว่าคงเป็นเพราะว่าชีวิตผมลำบากและสะเทือนใจมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะการดูถูกเหยียดหยามอย่างไรก็เคยได้รับมาหมดแล้ว เรื่องแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนเข็มแต่ละเล่มที่คอยทิ่มแทงใจผม แล้วผมจะลืมมันลงได้อย่างไร เพียงหลับตาลงครั้งใด เรื่องราวในอดีตก็แจ่มชัดขึ้นมาในความทรงจำ เหมือนแผลสด ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาในหัวใจกระนั้น

แล้วจะให้ผมลืมมันลงไปได้อย่างไรเล่า
 กลับขึ้นบน
ChennyVI
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 84
#4 วันที่: 03/07/2008 @ 02:07:07 :
ขุดไว้ เผื่อกระทู้ตก (ไม่มีเวลาอ่าน เศร้า...)
 กลับขึ้นบน
Tom
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 33
#5 วันที่: 03/07/2008 @ 13:31:01 :
ขอบคุณมิตรรักแฟนเพลง ที่ติดตามเรื่องราวครับ จุ๊บๆ
 กลับขึ้นบน
nga
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 50
#6 วันที่: 03/07/2008 @ 15:17:56 :
เศร้าด้วย..น้ำตาจะเป็นสายเลือดแระ...แงงงงงงงงงงงงง๊..
 กลับขึ้นบน
Tom
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 33
#7 วันที่: 03/07/2008 @ 17:18:39 :
มาต่อกันบทที่ 3 ครับ มาเศร้ากันต่อ ฮือๆๆๆ

ตอนที่ 3
คนจรจัดไม่มีสิทธิเจ็บไข้ได้ป่วย

ตั้งแต่เริ่มจำความได้ ชีวิตผมก็เร่ร่อนไปไม่มีที่สิ้นสุด

ในช่วงที่เราซัดเซพเนจรกันนั้น เนื่องจากพ่อมองไม่เห็น แต่เพื่อปกป้องพวกเรา พ่อจึงต้องพกอาวุธประจำกายไว้เสมอ ซึ่งได้แก่ ไม้คาน ไม้เท้า ก้อนหิน ตะปู และฆ้องที่ยามสมัยก่อนใช้ตีเพื่อบอกเวลา

ประสบการณ์จากการพเนจรมาหลายปี ทำให้พ่อกลายเป็นคนที่หูไวมาก แม้เพียงเสียงลมพัดใบไม้ไหว เสียงกระซิบเบา ๆ ลอยมาแต่ไกล หรือกระทั่งเสียงงูเลื้อยในพงหญ้า พ่อพร้อมจะยกไม้เท้าขึ้นมาป้องกันภัยทันทีที่ได้ยิน คราใดที่พบกับโจร คนจรจัด หรือพวกขี้เมาเข้า พ่อก็จะมีเทคนิคสามอย่างคือ

ข้อแรก ตีฆ้องสุดแรง ให้ดังจนคนแปลกหน้าตกใจวิ่งหนีไป

ข้อสอง ทำเป็นตั้งท่ามาตรฐานมวยจีน ให้ดูเหมือนว่าตัวเองนั้นเป็นนักบู๊มือหนึ่ง แล้วแกล้งทำหน้าตาให้ถมึงทึงขึงขังเข้าไว้ เหมือนจะขู่ว่า “อย่ามายุ่งกับข้า”

ถ้าสองวิธีนี้ยังไม่ได้ผลอีก พ่อก็จะเปลี่ยนมาใช้เทคนิคข้อที่สามคือ หยิบก้อนหินสามสี่ก้อนในถุงย่ามออกมาปาไปทางคู่ต่อสู้ พ่อบอกว่าท่านี้มีชื่อว่า “ท่าลิงเด็ดลูกท้อ” เคล็ดลับอยู่ที่การเคลื่อนไหวต้องรวดเร็วเป็นพิเศษ ภายหลังพ่อสอน “ท่าลิงเด็ดลูกท้อ” นี้ให้ผมและพี่สาวด้วย ดังนั้นในถุงย่ามของเราจึงมีหินสองสามก้อนพกไว้เพื่อป้องกันตัวเสมอ

ทุกครั้งที่ครอบครัวเราเดินไปถึงหมู่บ้าน ก็มักจะเป็นที่ดึงดูดความสนใจแก่ชาวบ้านที่ได้พบเห็นเสมอ บางคนเห็นครอบครัวเราแล้วก็เวทนา จนต้องนำอาหารมาให้ตั้งแต่พวกยังไม่ทันได้เอ่ยปากขอเสียด้วยซ้ำไป ส่วนตัวผมก็เหมือน “พ่อวัว” ตัวหนึ่งที่ลากลูกวัวข้างหลังอีกเจ็ดตัวให้คอยเดินตาม และแน่นอนพวกเราทุกคนเดินเท้าเปล่า

ชาวบ้านนอกส่วนใหญ่มีสัตว์เลี้ยงกันทั้งนั้น ถ้าเดินไม่ระวังก็อาจเหยียบโดนขี้วัว ขี้ควาย ขี้หมา หรืออาจเป็นขี้ของสัตว์อื่นเลอะติดเท้าของเราได้ เวลานั้นผมยังเด็กมาก ไม่รู้ว่าเหม็นหรือหอมอย่างไร รู้แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าขำมาก แต่พอหัวเราะขึ้นมา ถึงพ่อจะตาบอด ไม้เท้าของพ่อก็จะลอยมาฟาดผมดังเผียะเข้าทันที แล้วพ่อก็จะให้ผมเอาขันไปตักน้ำตามบ่อมาล้างให้สะอาดก่อน จึงค่อยเดินทางกันต่อ

การเดินทางด้วยเท้าเปล่าทุกวัน ทำให้ฝ่าเท้าของเราด้านจนเป็นชั้นหนา ๆ หนาขนาดที่ว่าถ้าหากพลาดไปเหยียบโดนเศษกระจกเข้า ก็ไม่แน่ว่าเศษกระจกนั้นจะแทงทะลุเนื้อได้หรือเปล่า แต่ถึงจะพลาดไปเหยียบโดนตะปูหรือของแหลมคมอื่น ๆ เข้า พ่อก็มีวิธีรักษาแปลก ๆ เฉพาะตัวคือ ถ้าเหยียบโดนตะปูหรือถูกเศษกระจกบาด ให้ใช้ดินทรายปิดปากแผลไว้ แต่ถ้าถูกหมากัดก็ให้ใช้ขี้หมูมาทาแทนยา ไม่มีอะไรที่เรียกว่าอนามัยหรือไม่อนามัยเลยสำหรับพวกเราที่คลานเล่นกับพื้นดินมาตั้งแต่เล็ก ๆ หิวเมื่อไรก็หยิบดินหยิบทรายยัดใส่ปาก ใครให้อะไรมาก็กินลงไป บางครั้งเม็ดข้าวหล่นลงพื้นก็ยังเอามาใส่ปาก ไม่สนใจเรื่องสะอาดเรื่องสกปรก ได้แต่กลืนลงท้องไปเหมือน ๆ กัน

คนจรจัดไม่มีสิทธิเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะพวกเรายังต้องเดินทางกันตลอด

ระหว่างที่เร่ร่อนไป พ่อก็จะคอยสอนให้ผมเก็บเอาพวกก้อนหิน เศษกระจกและตะปูที่ตกอยู่ตามทางเดินออกไปทิ้ง หรือหากเป็นหลุมขนาดใหญ่ ให้ใช้ไม้ผูกผ้ามาปักไว้เป็นสัญลักษณ์ เพื่อไม่ให้คนที่รีบเดินตอนกลางคืนอาจไม่ทันระวังสะดุดล้มเป็นอันตรายได้ พ่อบอกว่า “เมื่อตัวเองเคยเจ็บมาแล้วก็อย่าให้คนอื่นมาเจ็บซ้ำรอยเดินอีก”

พ่อเป็นคนไม่มีการศึกษา แต่เรื่องราวมากมายที่พ่อได้สอนให้แก่พวกเราล้วนเป็นเรื่องที่ออกมาจากใจจริงทั้งสิ้น
 กลับขึ้นบน
Tom
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 33
#8 วันที่: 03/07/2008 @ 17:27:00 :
คนจรจัดไม่มีสิทธิเจ็บไข้ได้ป่วยฉันใด นักลงทุนผู้มีความมุ่งมั่นอยู่เต็มหัวใจก็ไม่มีสิทธิยอมแพ้ฉันนั้น อิอิ
 กลับขึ้นบน
innocent
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 729
#9 วันที่: 03/07/2008 @ 21:20:09 :
ไว้ว่าง ๆ ค่อยอ่านนะ ... :wink:
 กลับขึ้นบน
Tom
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 33
#10 วันที่: 04/07/2008 @ 20:45:25 :
ตอนที่ 4
รู้ที่จะปรับเปลี่ยน รู้ที่จะอยู่รอด

ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ผมกับพ่อก็ต้องเตรียมตัวออกจากที่พักกันแล้ว

จากที่พักของเราคือศาลเจ้าในสุสาน เดินออกจากสุสาน ข้ามเขาเตี้ย ๆ ลูกหนึ่ง ตัดผ่านทางเดินตามคันนาเล็ก ๆ ทะลุถนนเส้นเกษตรกรรม กว่าจะมาถึงหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดก็เป็นระยะทาง 1 – 2 กิโลเมตร ทางเดินก็แสนจะขรุขระ ผมต้องคอยจูงพ่อเดินด้วยความระมัดระวังไปตลอดทาง

พอมาถึงหมู่บ้าน พ่อก็จะพาผมไปเดินเคาะประตูตามบ้านทีละหลัง ๆ ตอนนั้นผมยังเล็กมาก แล้วพ่อก็ตาบอดด้วย จึงทำให้มีเรื่องวุ่น ๆ เกิดขึ้นกันอยู่หลายครั้งทีเดียว เช่น ครั้งหนึ่งที่เรามาเคาะประตูบ้านหลังหนึ่ง พอประตูเปิดออกมา เจ้าของบ้านก็ถ่มน้ำลายใส่หน้าเราทันที พร้อมกับตะโกนด่าเสียงลั่นว่า “เคาะหาอะไร ตาบอดเรอะ ไม่เห็นหรือไงว่าเรากำลังจัดงานศพกันอยู่น่ะ! หา!” โธ่! ก็ผมมองไม่เห็นจริง ๆ ตอนนั้นผมยังสูงไม่ถึงร้อยเซนติเมตรดีเลย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามีงานศพ พ่อรีบขอโทษขอโพยเขายกใหญ่ แล้วเราสองคนก็รีบหลบออกมา

เมื่อมาถึงบ้านอีกหลัง ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปใกล้สักเท่าไร หมาตัวโตตัวหนึ่งเห่าเสียงดังขึ้นพร้อมกับกระโจนออกมาทันที เราตกใจใส่เกียร์ถอยหลังหนีแทบไม่ทัน คนหนึ่งตาบอด อีกคนหนึ่งก็เด็กเล็ก ไม่รู้จะวิ่งไปทางไหนดี ลุกลี้ลุกลนวิ่งชนกันเองเข้า ผมโดนพ่อล้มทับเอาอย่างจัง เจ็บจนร้องไห้จ้า แถมยังถูกพ่อด่าซ้ำอีกว่า “หนอย! ข้าตาบอดแล้วแกก็เลยไม่มีตาด้วยหรือไง”

ผมเอามือนวดหัวเข่าข้างที่เจ็บ ร้องไห้พลางจูงพ่อเดินต่อไป พ่อก็ยิ่งโมโหหนักเข้า ตะเบ็งเสียงดุผมอีกว่า “แล้วแกจะร้องไห้หาอะไรอีก หา!”

ผมไม่กล้าส่งเสียงอีก พอน้ำมูกไหล ก็ได้แต่เบะปากเดินต่อด้วยความน้อยใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีคนนำอาหารเหลือที่บูดจนเริ่มส่งกลิ่นเปรี้ยวมาให้เรา กระนั้นเราก็ยังซาบซึ้งใจยิ่ง เฝ้าขอบคุณแล้วขอบคุณเล่า จากนั้นก็มาเคาะประตูบ้างข้าง ๆ พอเจ้าของบ้านเปิดประตูผัวะออกมา ก็จ้องหน้าเราแล้วว่า “จนจนผีจะมารับไปอยู่แล้ว ยังต้องมาทำบุญทำทานให้พวกแกอีกหรือไงวะ ว่าแต่น้องชาย ไอ้กับข้าวของพวกแกนั่นน่ะ เอามาเผื่อแผ่ให้พวกเรากินบ้างได้ไหม!”

ผมรู้สึกตกใจมากที่เขาอยากได้อาหารของเรา จึงรีบจูงพ่อเดินหนีไป นึกไม่ถึงเลยว่า ในโลกนี้จะยังมีคนที่อยากได้แม้แต่ข้าวของขอทานด้วย ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ

ใกล้เที่ยงแล้ว อาหารในขันใบเล็กของผมเพิ่งจะได้มาแค่สองส่วนเท่านั้นเอง ไหนเลยจะพอกินกันทั้งบ้าน พอนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดของหมู่บ้านกำลังเก็บแผงกันพอดี ผมก็รีบจูงพ่อดิ่งไปขอทานที่แผงผลไม้ทันที พวกเด็ก ๆ กลุ่มที่อยู่ไกล ๆ โน่นเห็นเราเข้า ต่างพากันตะโกนล้อเลียนว่า “เร็วเข้า! รีบมาดูนี่เร็ว ขอทานมาแล้ว ไอ้ตัวสกปรก ไอ้ตัวน่ารังเกียจ แหวะ ไอ้ขอทานตัวเหม็นมาขอข้าวเขากิน แหวะ”

พ่อค้าเจ้าของแผงคงจะสมเพชพวกเรา จึงหยิบเอาผลไม้ที่ช้ำจนขายไม่ได้แล้วยื่นให้แก่พวกเราจำนวนหนึ่ง แม้ว่าผลไม้ที่พ่อค้าหยิบยื่นให้จะช้ำจนแทบจะเน่าแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันช่างหวานหอมเหลือเกิน

พอได้ผลไม้มา ผมก็นำมาคัดส่วนดีเก็บไว้ให้สำหรับพ่อกับแม่ก่อน จากนั้นตัวเองค่อยกินส่วนที่เหลือ เมื่อหวนคิดถึงสมัยนั้นแล้ว ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาชนะความอยากของตัวเอง ยอมกินน้อยและกินแต่ส่วนที่แย่นี้ได้อย่างไร ไม่รู้ว่าความรู้สึกกตัญญูกตเวทีเหล่านี้ผมไปเรียนมาจากไหน ผมไม่รู้เลยจริง ๆ

ช่วงปี 1960 นั้น ไต้หวันยังเป็นสังคมเกษตรกรรมเล็ก ๆ ประเทศหนึ่ง ประชากรทุกครัวเรือนไม่ว่าจะเป็นเจ้าของที่ดินหรือชาวนาก็ต้องพึ่งพาฟ้าฝนเป็นหลัก ฝนตกมากเกินไป พายุเร็วเข้าเกินไป หรือแล้งเกินไป ก็ล้วนแต่เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อการเก็บเกี่ยวทั้งนั้น และในช่วงที่ประสบปัญหาภัยธรรมชาตินี้ ชาวบ้านก็จะหน้าดำคร่ำเครียด พวกเราก็ยิ่งขอทานได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อทุกชีวิตก็ยังต้องอยู่ต่อไป ด้วยเหตุนี้พ่อจึงลงทุนซื้อสิงโตผ้ามาหนึ่งชุด ให้พี่สาวซึ่งตัวสูงกว่าอยู่ด้านหน้าเป็นหัวสิงโต ส่วนผมตัวเล็กกว่าอยู่ด้านหลังเป็นหางสิงโต แล้วเอาถุงใส่เงินเล็ก ๆ มามัดที่เอวกางเกงของเราสองคนไว้

ผมกับพี่สาวช่วยกันเชิดสิงโต ทั้งร้องทั้งเต้นไปแทบทุกบ้าน ไม่ว่าชาวบ้านจะต้องการโชคลาภจริง ๆ หรือว่าต้องการจะไล่พวกเราก็ตาม แต่ก็ยอมควักเศษสตางค์จ่ายให้พวกเรามากบ้างน้อยบ้าง มีอยู่ครั้งหนึ่งเราสองพี่น้องพากันเชิดสิงโตอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เชิดอยู่นาน แต่เจ้าของบ้านก็ไม่ยอมเหลียวแลพวกเราสักที อากาศก็ร้อนจัด พวกเราอยู่ใต้ผ้าคลุมเหงื่อแตกชุ่มเสื้อไปหมด แต่เมื่อยังไม่ได้สตางค์ เราก็ไม่ยอมจากไปง่าย ๆ

ผมกับพี่สาวยิ่งเชิดก็ยิ่งมัน เต้นจนชนกันเอง ต่างคนต่างล้มลง แล้วก็ช่วยพยุงกันลุกขึ้นมาใหม่ เสียงกระดิ่งที่ติดอยู่กับผ้าคลุมสิงโตก็พลอยกระทบกันเกิดเสียงดังกรุ๋งกริ๋งน่ารำคาญ แต่ไม่นึกเลยว่าเจ้าของบ้านจะโมโหมากจนเข้าไปปล่อยหมาออกมาไล่พวกเรา และเพราะพี่สาวเป็นหัวสิงโต เธอจึงมองเห็นเขี้ยวอันแหลมคมของเจ้าหมาตัวนั้นก่อน เธอตกใจกลัวรีบหมุนตัวกลับหลังวิ่งหน้าตั้ง แต่ผมสิ ผมเป็นหางสิงโตอยู่ด้านหลัง มองไม่เห็นอะไรเลย เราสองคนจึงชนกันเต็มรัก จนสิงโตแทบจะพังหมด

ผมกับพี่สาวไม่เคยได้รับ “การเข้าคอร์ส” ฝึกฝนใด ๆ ทั้งสิ้น จะทำอะไรก็อาศัยแต่ครูพักลักจำเอาเท่านั้น ที่พากันเชิดสิงโตก็ไม่เคยลงเท้าได้เข้าจังหวะเลย เอาแต่ว่าไม่ต้องหกล้มหัวคะมำก็ต้องถือว่าบุญโขแล้ว ความจนสอนให้เราเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยน และการปรับเปลี่ยนทำให้ผ่านอุปสรรคไปได้ และที่คือปรัชญาของการอยู่รอด
 กลับขึ้นบน
ChennyVI
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 84
#11 วันที่: 07/07/2008 @ 21:43:36 :
:cry:
 กลับขึ้นบน
Tom
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 33
#12 วันที่: 08/07/2008 @ 18:30:23 :
เอาตอนที่ 5 ไปต่อ อิอิ

ตอนที่ 5
ปรัชญาจากศพ

ความกดดันในชีวิตสอนให้ผมโตเร็วกว่าเด็กทั่วไป พออายุได้สี่ขวบ ผมก็เริ่มรู้จักหาเลี้ยงครอบครัวได้ด้วยตัวเองแล้ว

เพราะเราต้องซัดเซพเนจรไปทั่ว เราจึงรู้ได้ไม่ยากว่าบ้านไหนมีคนตายบ้านไหนกำลังจัดงานศพ ขอให้เรารู้ เราจะแล่นไปถึงทันที เพื่อจะไปถามดูว่าทางบ้านนั้นขาดลูกมือบ้างไหม ต้องการคนแบก “เหลียนจู๋” หรือ “เหลียนจง” บ้างหรือเปล่า ที่เรียกว่า “เหลียนจู๋” และ “เหลียนจง” คืออุปกรณ์ที่บ้านเจ้าภาพงานศพใช้เป็นเครื่องนำขบวนในพิธีเคลื่อนย้ายศพ เดินอยู่หัวแถวถือธงแดงและธงขาว “เหลียนจู๋” คือการเอาก้านไม้ไผ่ผูกธงแดง ส่วน “เหลียนจง” คือการเอาก้านไม้ไผ่ผูกธงขาว ให้สองคนถือข้างละอัน ตามปกติคนที่ยืนหัวแถวถือเหลียนจู๋ เหลียนจงนั้นจะเป็นลูกชายของผู้ตาย แต่ถ้าผู้ตายไม่มีลูกชายก็จะต้องเชิญผู้อื่นมาช่วยถือให้

หลายคนอาจกลัวที่จะช่วยทำหน้าที่นี้ แต่สำหรับเด็กที่โตมาในสุสานอย่างผมแล้ว การแบกเหลียนจู๋ถือเหลียนจงไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอะไรนัก ก่อนอื่นเจ้าภาพงานศพก็ต้องห่ออั่งเปาให้เรา ค่าแรงก็ประมาณ 2 – 3 เหมา รับเงินแล้ว เจ้าภาพยังจัดหาชุดกระสอบไว้ทุกข์ให้กับเราอีก ในพิธีศพจะมีนักบวชนำสวด แล้วญาติ ๆ ในบ้านเจ้าภาพจะสวดตามทีละวรรค สวดมนต์เสร็จแล้วยังมีการแสดงกายกรรมอีกด้วย

การแสดงนี้ บางครั้งมีคนขี่ม้าเหล็กล้อเดี่ยว บางครั้งก็เป็นการโยนรับลูกบอลหลาย ๆ ลูกพร้อม ๆ กัน นักแสดงบางคนใช้จมูกเป่าเครื่องดนตรี บางคนเหยียบกระดานไม้ที่วางบนลูกกลม ๆ ลื่นไปลื่นมา การแสดงเหล่านี้นี้พอดูบ่อยเข้าก็ชักไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือในบางตอนของการแสดง นักแสดงจะโยนขนมและลูกอมต่าง ๆ ให้เด็ก ๆ ที่มาดูการแสดงอยู่รอบ ๆ และที่ผมทนยืนขาแข็งเป็นชั่วโมงก็เพื่อนาทีนี้ละ เป็นนาทีที่ผมรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่สุด ผมกับพี่สาวต่างก็หยิบได้ขนมบิสกิตคนละชิ้น พี่สาวกัดคำเล็ก ๆ คำหนึ่ง เธอหันมาส่งยิ้มหวานให้ผม ถามว่า

“อาจิ้น ของเธออร่อยไหม” ชิ้นที่พี่สาวหยิบได้นั้นเป็นขนมบิสกิตที่มีน้ำตาลกรวดสีชมพูโรยหน้า ส่วนของผมเป็นบิสกิตไส้เนย

“อืมม...อร่อย อร่อยมาก ๆ” ผมพูดพลางยัดขนมที่เหลืออีกครึ่งเข้าปาก พอเห็นพี่สาวกำลังกัดขนมทีละคำเล็ก ๆ ราวกับกลัวขนมจะหมดไป ผมก็ได้แต่กลืนน้ำลายดังเอื๊อก

“งั้นพี่แบ่งให้เธอครึ่งนึงก็แล้วกัน” พี่คงมองออกว่าผมอยากกินอีก เธอบิบิสกิตให้ผม แต่บิสกิตนั้นกรอบร่วน มันจึงแตกง่าย พอเริ่มบิเท่านั้น เศษขนมปังก็ร่วงลงมา ผมรีบเอามือเข้าไปรองเศษขนมปังไว้ด้วยความเสียดาย จะกินทิ้งกินขว้างไม่ได้หรอก แล้วเราสองพี่น้องก็มองหน้ากันพร้อมกับหัวเราะออกมา

รสหวาน ๆ ของขนมและลูกอมพวกนั้น ผมยังจำได้ไม่รู้ลืมมาตราบจนกระทั่งวันนี้

พองานศพสิ้นสุดลง โดยทั่วไปเจ้าภาพก็มักจะจัดโต๊ะกินเลี้ยง เพื่อเชิญญาติ ๆ และแขกที่มาร่วมงานรับประทานอาหารกัน ผมก็รอจนกว่าพวกเขาจะกินเสร็จ จากนั้นก็ขอ “ของเหลือ” ที่เทรวมกันมากิน แม้จะเป็นเพียงเศษอาหารที่มีทั้งรสเผ็ดเปรี้ยวหวานเค็มมัน ทุกรสชาติผสมรวมกันก็ตาม แต่นี่คืออาหารมื้อที่ดีที่สุดในประวัติการเร่ร่อนขอทานของเราเลยทีเดียว ในบางครั้งถ้าเศษอาหารมีมากพอ เราก็อาจจะมีเหลือไว้กินถึงพรุ่งนี้ได้ ไม่ว่ามันจะเย็นจะเปรี้ยวแค่ไหน เราก็กินกันได้ไม่ตะขิดตะขวง หากต้องการมีชีวิตต่อไปก็ต้องมีกระเพาะอาหารที่ทนทานเช่นนี้แหละ

สิ่งที่เราต้องระวังที่สุดคือ บางครั้งที่เจ้าภาพเทเศษอาหารรวมกัน ก็อาจเอาก้างปลาเทลงไปด้วย และหากบังเอิญน้องเล็ก ๆ กำลังหิวโหยอยู่ พอเห็นอาหารก็กระโจนเข้ามาตั้งหน้าตั้งตากิน ไม่ดูให้ดีเสียก่อน ผลของการไม่ระวังก็คือก้างปลาติดคอ เจ็บจนพวกเขาร้องไห้กันจ้าละหวั่น เราต้องช่วยกันทั้งตบหลังทั้งล้วงคอ กว่าจะเอาก้างปลาออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ข้อดีของการร่วมงานศพยังไม่จบเท่านี้ ทั้งชุดเสื้อขาวกางเกงขาวที่เราสวมอยู่นั้น พอถอดออก เจ้าภาพก็ให้เอากลับบ้านได้ เอาเถอะ ถึงจะเป็นชุดไว้ทุกข์ แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรใส่เลยไม่ใช่หรือ และโดยทั่วไปเมื่อฝังศพผู้ตายแล้ว เจ้าภาพก็จะเอาเสื้อผ้าเครื่องใช้ของผู้ตายไปเผาหรือทิ้ง ผมเห็นแล้วก็แสนจะเสียดาย จึงรี่ไปขอเสื้อผ้าเหล่านั้น โดยไม่เลือกสีหรือขนาด (แน่นอนว่า เมื่อเทียบกับเด็กอย่างเราแล้ว เสื้อผ้าเหล่านั้นใหญ่กว่ามาก) เอาแค่ให้ความอบอุ่นได้ก็พอแล้ว ถ้าเสื้อตัวใหญ่เกินไป เราก็พับแขนขึ้นหลาย ๆ ทบ แต่ถ้าขากางเกงยาวเกินไป ก็ได้แต่ปล่อยมันลากพื้นไปอย่างนั้น บางมีมันก็พันแข้งพันขาจนสะดุดล้มไปก็มี

สิบปีมานี้ ทุกคนในบ้านเราได้ใส่แต่เสื้อผ้าเหล่านี้ ไม่เคยแบ่งว่าตัวไหนเป็นของใคร ใครหยิบได้ตัวไหนก็ใส่ตัวนั้น แล้วก็ยังมีเรื่องที่แสนจะน่าอายอยู่อีกเรื่องคือ เสื้อผ้าของผู้ตายที่เขาทิ้งเป็นชุดชั้นนอกเท่านั้น ไม่มีชุดชั้นใน ดังนั้น ตลอดระยะเวลาที่เราเร่ร่อน ผมจึงไม่เคยใส่กางเกงในเลย!

ในช่วงที่ผมได้รับจ้างถือเหลียนจงเหลียนจู๋นั้น ทำให้ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมในพิธีกรรมตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งพิธีปิดฝาโลง พิธีเซ่นไหว้ ตลอดจนพิธีการฝังศพด้วย ผมได้เห็นภาพการลาจากกันทีละฉาก ๆ โดยเฉพาะตอนตอกฝาโลง หรือตอนขุดดินเพื่อฝังศพนั้น นับเป็นฉากที่เศร้าอาดูรที่สุด เพราะเหมือนเป็นการตอกย้ำว่าจะไม่ได้เจอผู้ตายอีกตลอดไป ญาติพี่น้องของผู้ตายก็จะยิ่งร่ำไห้คร่ำครวญหนักยิ่งขึ้น บางคนถึงกับกระโดดลงไปกอดโลงไว้ ไม่ให้เอาดินกลบโลงก็มี หรือที่ร้องไห้จนเป็นลมล้มพับไปก็หลายคน พอเห็นความรักความอาลัยอย่างสุดซึ้งนี้แล้ว แม้คนนอกอย่างผมก็ยังอดร้องไห้ตามไปด้วยไม่ได้

เมื่อมาคิด ๆ ดู แม้พ่อกับแม่ผมจะเป็นคนพิการทั้งคู่ แต่อย่างไรท่านก็ยังอยู่เคียงข้างผม เทียบกับพวกเขาที่ต้องเสียญาติมิตรไป ผมยังโชคดีกว่ามาก ผมบอกกับตัวเองว่า การตอบแทนพระคุณพ่อแม่นั้นควรจะทำให้ทันเวลา และควรจะทะนุถนอมสิ่งที่มีในตอนนี้ให้ดีที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาตราบจนกระทั่งวันนี้ ผมไม่เคยโกรธหรือคิดที่จะกล่าวโทษพ่อแม่เลย อาจเป็นเพราะผมได้ข้อคิดนี้ตั้งแต่อายุสี่ขวบก็เป็นได้
.....................................................................
 กลับขึ้นบน
Tom
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 33
#13 วันที่: 09/07/2008 @ 16:58:55 :
ตอนที่ 6
แม่หายไปไหน

เช้าวันหนึ่งเมื่อผมและพี่สาวจูงมือกันเดินกลับจากออกไปขอทาน ตอนนั้นเกือบ ๆ สิบโมง ทันทีที่พ่อได้ยินเสียงเรากลับมาก็รีบหยิบไม้เท้าเดินออกมาหา สีหน้าพ่อดูซีดเผือด บอกกับเราว่า “เร็วเข้า! แม่กับอาไฉหายไปไหนก็ไม่รู้”

พอผมหันกลับมาดูก็พบว่าใต้ต้นไม้นั้นเหลือเพียงแต่เชือกและโซ่เปล่า ๆ ไม่มีแม้เงาของแม่กับน้องชาย ผมกับพี่สาวรีบวิ่งออกมาข้างนอก แล้วแยกย้ายกันออกไปตามหาแม่กับน้องชายคนโต เราต่างก็เดินไปตะโกนไป “แม่-อาไฉ! อยู่ไหนกันน่ะ แม่!!!”

ทุกซอกทุกมุมของหมู่บ้านก็ค้นหากันจนทั่วแล้ว แต่ยังไม่พบแม้แต่เงาของทั้งคู่ ทั้งหวั่นใจว่าพวกเขาจะหายตัวไป ทั้งกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น พี่สาวร้อนใจจนร้องไห้ออกมา กระนั้นขาทั้งคู่ก็ยังไม่ยอมผ่อนแรงวิ่งตามหา เสียงเรียกหาปนเสียงสะอื้นสะท้อนทั่วทั้งหมู่บ้านที่แสนยากจนแห่งนี้ ฟังแล้วให้ความรู้สึกวังเวงยิ่งนัก ฟ้าก็ยังไม่วายให้ฝนตกมาเวลานี้อีก เนื้อตัวเสื้อผ้าเปียกชุ่มทั้งน้ำฝนและเหงื่อ ใบหน้าสกปรกของเราโดนฝนชะล้าง ก็เลยดูมอมแมมเหมือนกับลูกแมวลายจรจัดยังไงยังงั้น

เมื่อตามหาจนทั่วหมู่บ้านแล้วยังไม่พบ เราจึงเริ่มออกตามหาด้านนอกหมู่บ้าน ตะโกนกู่ร้องจนเสียงแทบไปหมด แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของแม่กับน้องชายคนโตเลยแม้แต่น้อย ทั้งคู่ต่างก็สติไม่สมประกอบ หากเดินออกไปไกลจริง ๆ กลัวว่าจะกลับมาไม่ได้ โธ่! สวรรค์ แล้วผมควรจะทำอย่างไรดีล่ะนี่ ขณะที่ผมกำลังหวั่นใจอยู่นี่เอง สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นเงาคนเคลื่อนไหวอยู่ในพงหญ้า ผมรีบกระโจนเข้าไปหาทันที ฮ้า! ใช่แม่จริง ๆ ด้วย! ขอบคุณสวรรค์ แม่! ใช่แม่ผมจริง ๆ ด้วย! ผมตะโกนลั่นออกมาด้วยความยินดี ตอนนี้ผมถึงได้เห็นว่าแม่ตกลงไปในบ่อน้ำข้างคันนา

ดีนะที่โซ่ยังไม่หลุดออกจากข้อมือแม่ ผมก็ออกจะไร้เดียงสาไปหน่อยที่เข้าใจว่า แค่คว้าโซ่เหล็กได้ก็จะช่วยเอาตัวแม่ขึ้นมาได้ แต่ในความเป็นจริง แม่กลับไม่ได้ให้ความร่วมมือกับผมเลยสักนิด มีแต่จะใช้แรงดึงดันกับผมเท่านั้น ต่างก็ยื้อยันกันไปมา ตูม! ตัวผมหล่นลงไปในน้ำ แถมหล่นลงไปก็ไม่เบานักทำเอาผมเปียกโชกไปทั้งตัวเลยทีเดียว แต่ผมก็ยังไม่ยอมแพ้ ยังออกแรงดึงแม่ขึ้นจากบ่อน้ำ ตอนนี้แม่เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว จึงต่อต้านผมสุดแรง แล้วก็ผลักผมลงไปในน้ำ ผมตะเกียกตะกายขึ้นมาใหม่อีก สองคนต่างก็ล้มลงไปในบ่อนั่นเอง ดีที่บ่อน้ำไม่ลึกนัก เราจึงไม่เป็นอะไรมาก แค่กินน้ำโสโครกไปหลายสิบอึก กับน้ำเข้าตาจนแสบจะลืมไม่ขึ้นเท่านันเอง

แม่ต้องเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นคนร้ายแน่นอน จึงไม่ยอมกลับบ้านกับผม ผมจึงตะโกนบอกแม่ว่า “แม่! แม่ครับ! นี่อาจิ้นเองนะแม่ แม่มองผมสิครับ นี่อาจิ้นนะ!” แต่เสียงตะโกนก้องของลูกชายก็ไม่สามารถเรียกสติของแม่ให้กลับมาได้ แม่เพียงมองผมด้วยสายตาว่างเปล่าอยู่สองสามวินาทีก่อนที่จะตะโกนขัดขืนต่อ

ผมยืนอยู่กลางบ่อน้ำ ปล่อยโฮออกมาอย่างอดไม่ได้ แล้วโผเข้ากอดแม่ไว้แน่น แม่จะต่อยจะทุบอย่างไร ผมก็ไม่หลบไม่ถอย ปากก็ตะโกนร้องไห้ “แม่...แม่...นี่ผมเป็นลูกแท้ ๆ ของแม่นะ! แม่ ผมเป็นลูกที่แม่คลอดออกมานะ แม่ผมอาจิ้นนะแม่” มีบางครั้งที่ผมรู้สึกแค้นใจเหลือเกิน ในโลกนี้จะมีแม่สักกี่คนกันนะที่จำลูกตัวเองไม่ได้ แล้วทำไมคนคนนั้นถึงต้องเป็นแม่ผมด้วย

สักครู่ พี่สาวก็ตามมาพบเข้า เราสองคนช่วยกันทั้งปลอบทั้งขู่แม่อยู่นานกว่าจะพาแม่ขึ้นมาจากบ่อน้ำได้ และกว่าจะลากแม่กลับมาถึงสุสาน “บ้าน” เราได้ ก็แทบจะหมดเรี่ยวหมดแรงกันเลยทีเดียว

พอกลับถึง “บ้าน” ผมกับพี่สาวก็หมดแรงล้มตัวลงกับพื้น หอบฮัก ๆ จนหายใจหายคอแทบไม่ทัน ส่วนพ่อโมโหมาก คว้าไม้เท้าได้มือนึง มืออีกข้างก็ดึงโซ่ที่ข้อมือแม่ไว้ แล้วใช้ไม้เท้ากระหน่ำตีไม่ยั้งมือ แม่ที่น่าสงสารของผมเนื้อตัวเปียกชุ่ม ทรุดนั่งกองลงไปกับพื้น ได้แต่ร้องโอดโอย ผมกับพี่สาวตะโกนห้ามสุดเสียง “อย่าตีนะ อย่าตี” พ่อตีอย่างนี้เดี๋ยวแม่ก็ตายหรอก!” แต่พ่อกำลังโมโหจัด ไหนเลยจะยอมฟังเสียง เราไม่รู้จะห้ามอย่างไร เลยต้องคลานเข้าไปกอดแม่ไว้ คอยเอาตัวเองบังรับไม้เท้าของพ่อแทน จนพ่อรู้สึกตัวว่าที่ตีอยู่น่ะคือเราสองพี่น้อง ท่านก็ทั้งโกรธทั้งโมโหจนปาไม้เท้าทิ้ง แล้วพ่อก็ทนไม่ไหวร้องไห้ออกมา

ในที่สุดเราก็กอดคอร้องไห้กันทั้งบ้าน

จนพ่อหายโมโห เราจึงนึกขึ้นได้ว่าน้องชายคนโตก็ยังไม่กลับบ้าน โธ่! ถึงจะตามหาแม่เจอแล้ว แต่อาไฉล่ะ น้องไม่ได้อยู่ด้วยกันกับแม่นี่ แล้วน้องไปไหนเสียล่ะ

พอนึกได้ ผมกับพี่สาวก็รีบออกตามหาอาไฉทันที ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ผมได้แต่ภาวนาในใจให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองให้อาไฉปลอดภัย ถ้าคืนนี้หาน้องไม่พบ หากไม่เกิดอุบัติเหตุ น้องก็อาจจะเดินไกลออกไปเรื่อยและอาจจะไม่มีวันหวนกลับมาอีกเลยก็ได้ เมื่อคิดดังนี้ ผมกับพี่สาวก็รีบเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีก ขณะที่วิ่ง ในใจของเด็กหกขวบอย่างผมก็อดเตือนตัวเองไม่ให้ร้องไห้ไม่ได้ ผมกลัวว่าเสียงร้องไห้ของผมจะไปปลุกคนตายที่อยู่ในหลุมให้ตื่นขึ้น แล้วพวกเขาก็อาจจะพากันลุกขึ้นมาจากหลุมทีละศพ ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว รีบตัดใจวิ่งไปข้างหน้า ไม่กล้าหันกลับมามองข้างหลังอีกเลย

เราสองพี่น้องเหนื่อยจนแทบจะขาดใจ เราช่วยกันตามหาน้องจนทั่วหมู่บ้านอีกครั้ง แต่หมู่บ้านในยามค่ำคืนนั้นไม่มีแม้กระทั่งเงาของคน มีแต่เสียงหมาเสียงแมวเห่าหอนโต้ตอบกันไม่หยุดหย่อน และอาไฉก็ดูเหมือนจะถูกกลืนหายไปกับความมืดด้วย เราต่างก็อ่อนล้ากันมาทั้งวันแล้ว แม้แต่คำว่าเหนื่อยก็ยังพูดไม่ออก บังเอิญมองไปเห็นข้างหน้ามีศาลเจ้าเล็ก ๆ ศาลหนึ่ง จึงพากันเดินเข้าไป พี่สาวบอกว่าเข้าไปไหว้เจ้าเสียหน่อย เผื่อท่านจะช่วยดลให้เราหาน้องชายได้พบ

เราจึงเดินเข้าไปในศาลเจ้าด้วยกัน ขณะที่คุกเข่าลงกำลังจะคำนับ ก็มีเสียงประหลาดดังขึ้นมาจากใต้โต๊ะเซ่นไหว้ เป็นเสียงเหมือนคนพึมพำอยู่ ผมจึงลอกเลิกผ้าคลุมโต๊ะเปิดดู อ๋า! ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่แท้อาไฉก็มาหลบอยู่ใต้โต๊ะเซ่นไหว้นี่เอง เขามองหน้าเราอย่างใสซื่อ น้องผมสติไม่สมประกอบ เขาคงไม่มีวันรู้หรอกว่าวันนี้ผมกับพี่สาวต้องเสียน้ำตาด้วยความกังวลห่วงใยในตัวเขาไปมากมายเพียงไร

ในที่สุดครอบครัวของเราก็กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ทุกคนล้วนหิวโซมาแล้วทั้งวัน ยังดีที่เมื่อเช้าเรายังพอขอข้าวมาได้บ้าง ให้พวกเขากินกันไปเถอะ ส่วนผมกับพี่สาวไปที่ริมบ่อน้ำ นั่งยอง ๆ เอามือวักน้ำใส่ปาก กินทีละอึกใหญ่ ๆ เติมกระเพาะที่หิวโหยให้เต็มไปพลาง ๆ ก่อน และแม้ว่ามันจะเป็นน้ำขม ๆ ผมก็ยอมกินอย่างเต็มใจ

ผมอธิษฐานต่อฟ้าดินว่า ขอเพียงให้ครอบครัวเราปลอดภัยกันทุกคน ต่อให้อาจิ้นกับพี่สาวต้องกินน้ำในท่อประทังชีวิต หรือแม้จะต้องขื่นขมสักเพียงไรก็ให้เรารับภาระนี้เองเถิด

..................................................................
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com