May 20, 2024   10:29:00 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > Chart of the day
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 07/07/2008 @ 09:04:09
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บมจ.ซิกโก้

Distributor - Bisnews AFE

ราคาน้ำมันที่ส่งผลต่อเงินเฟ้อและSET ที่ผ่านมา

* ปัญหาการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อกำลังกลายเป็นวิกฤตของเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ จนประธานธนาคารโลกออกมาเรียกร้องให้กลุ่ม G 8 เตรียมรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าว การเพิ่มสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในยุโรปส่งผลให้ในการประชุมธนาคารกลางยุโรปล่าสุด ปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น0.25% เป็น 4.25%
นับเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบ 2 ปี นอกจากนั้นทางธนาคารกลางยุโรปยังส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกในเดือน ต.ค. การปรับขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้ นับเป็นการส่งสัญญาณว่าทิศทางดอกเบี้ยของโลกจะ
เป็นขาขึ้นรอบใหม่ ส่วนในฝั่งธนาคารกลางสหรัฐเดิมมีการคาดกันว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วง ก.ย. แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจยังเปราะบางทำให้คาดกันว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐอาจจะชะลอตัวไปช่วงปลายปีหรือผ่านการเลือกตั้งไปก่อน

* ราคาน้ำมันที่กำลังพุ่งขึ้นไปเกิน 145 และจ่อๆ 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล กำลังสร้างความ
วุ่นวายให้กับอุตสากรรมหลักๆในยุโรป และสหรัฐ จนทำให้เกิดการประท้วงทั่วทุกมุมโลก ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นในรอบนี้มีเหตุมาจากความวุ่นวายในตะวันออกกลางรอบใหม่ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านแม้ราคาน้ำมันยังมี
สิทธิพุ่งขึ้นไปอีก แต่ในระดับที่เป็นอยู่ถือว่าอยู่ในช่วงอันตราย และเปราะบางมาก เพื่อที่จะให้เห็นว่าราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นในอดีตมีผลอย่างไรกับอัตราเงินเฟ้อของโลกดูได้จากรูปบนซ้าย ซึ่งแสดงราคาน้ำมันเทียบกับ
เงินเฟ้อของโลก โดยในปี 1979 ราคาน้ำมันได้เริ่มพุ่งขึ้นจากเหตุการณ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน และลามมาถึงปี 1980 ที่อิรักบุกอิหร่าน ผลของการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันส่งผลให้เงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวขึ้นจาก 10 %
ต้น ๆ เป็นเกือบ 20% และในปี 1990 เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นแรงจากประมาณ 20 เป็น
42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากการที่อิรักบุกคูเวต ตอนนั้นเงินเฟ้อทั่วโลกพุ่งขึ้นทะลุ 30% อย่างไรก็ตามตั้งแต่
ปี 2001 เป็นต้นมาราคาน้ำมันค่อย ๆ ปรับขึ้นจาก 20 ไปจนถึงเกือบ 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปัจจุบัน แต่เงินเฟ้อทั่วโลกยังขึ้นไม่มาก ซึ่งมาจาก 2. เศรษฐกิจโลกในรอบนี้กำลังเติบโตอย่างแข้งแกร่ง
2.มีการใช้เทคโนโลยีในการประหยัดพลังงานได้ดีกว่าที่ผ่านมารวมทั้งการใช้พลังงานทดแทน และ
3. การ Outsource

* หากมาดูว่าเมื่อเกิดเงินเฟ้อจะมีภาคส่วนไหนบ้างที่ยังพอลงทุนหรือไม่ได้รับผลกระทบจากรูป
บนขวา เราแสดงอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกเทียบกับดัชนีCRB Commodity ซึ่งเป็นตัวแทนของการลงทุนในสินค้า
โภคภัณฑ์ต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าเมื่ออัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้น ดัชนี CRB มักจะดีดตัวขึ้นเสมอรวมทั้งในปัจจุบันที่เป็น
เช่นนี้ก็มาจากการเข้าไปลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ทั้ง น้ำมัน สินค้าเกษตรบางประเภท โลหะพื้นฐาน หรือแม้
แต่โลหะมีค่า สามารถที่จะหลีกหนีหรือประกันความเสี่ยงจากภัยของเงินเฟ้อได้พูดง่าย ๆ คือราคาสินค้า
เหล่านี้ไม่ได้ถูกลดค่าโดยเงินเฟ้อ แต่ทางตรงข้ามกลับทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้นอย่าง ทองคำ ดังจะเห็นได้จาก
ดัชนี CRB พุ่งขึ้นสูงมากในช่วงเงินเฟ้อโลกปรับตัวขึ้นในปี 1979-1980 และปัจจุบัน ดังนั้นในภาวะการณ์อย่างนี้คือ เงินเฟ้อทั่วโลกจะพุ่งขึ้นไปอีกการเข้าลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์บางอย่างจะยังได้รับผลตอบแทนที่สูงไม่ว่าจะเป็นทองคำ หรือสินค้าเกษตรที่นำไปใช้เป็นพลังงานทดแทน

* หากมาพิจารณาดูผลของเงินเฟ้อที่มีต่อประเทศไทย ในช่วงปี 1979-1980 จากรูปล่างซ้าย เราแสดงผลของเงินเฟ้อต่อดัชนี SET โดยช่วงนี้เงินเฟ้อ ของไทยพุ่งขึ้นจากระดับ 6-7% เป็นมากกว่า 20% ผลดังกล่าวนำไปสู่ภาวะข้าวยากหมากแพงการบริโภคและการลงทุนชะลอตัว ดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นที่สุดเศรษฐกิจชะลอตัว ดัชนี SET ปรับตัวลงจากประมาณ 160 จุดเหลือ 120 จุด ส่วนในปี 1990 ที่ราคา
น้ำมันปรับตัวขึ้นจาก 20 ถึง 42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปีนี้เงินเฟ้อของไทยกลับไม่สูงมาก แต่สิ่งที่น่าสนใจและคล้ายๆกับปัจจุบันคือ ลักษณะการขึ้นของราคาน้ำมัน ในปี 1990 ราคาน้ำมันพุ่งจาก 20 เป็น 30 ดอลลาร์หรือเพิ่มขึ้น 50% ในรอบแรกแล้วพัก แล้วมาขึ้นรอบ 2 จากประมาณ 25 ดอลลาร์ขึ้นไปสูงสุดที่ 42
ดอลลาร์หรือเพิ่มเกือบ 70% ระยะที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นรอบแรก ดัชนี SET ลงจากประมาณ 1100 จุดเหลือ 900 จุด (18%) ส่วนน้ำมันขึ้นรอบ 2ดัชนี SET ลงจากประมาณ 900 จุดเหลือ 600 ต้น ๆ

* ราคาน้ำมันในรอบปัจจุบันขึ้นจากประมาณ 50 ดอลลาร์ในต้นปี 50 เป็น 100 ดอลลาร์ในต้นปี
51 แล้วพักตัวช่วงสั้นๆ หลังนั้นก็ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีการพักถึง 145 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปัจจุบัน
หากเทียบเป็นเปอร์เซ็นกับปี 1990 ที่ราคาน้ำมันขึ้นรอบ 2 ที่ 70% ราคาน้ำมันในปัจจุบันน่าจะอยู่ที่ 160-170 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ดัชนี SET ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดที่ 884 จุดลงมาต่ำสุดที่ 742 จุด
หรือลงไป 16% หากราคาน้ำมันปรับขึ้นไปอีกถึง 160 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะทำให้ SET ปรับตัวลงไปลึกเหมือนปี 1990 หรือไม่??? เรามองว่าราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นไปอีกจะกระทบกับ SET ในรอบนี้ไม่มาก เนื่อง
จากในปี 1990 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีน้ำหนักในตลาดมาก ๆ จะเป็น ธนาคาร วัสดุก่อสร้าง และอสังหาริม
ทรัพย์ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้จะอ่อนไหวกับน้ำมันมากจึงปรับตัวลงแรงแต่ในปัจจุบันกลุ่มที่มีขนาดตลาดใหญ่กลับเป็นพลังงานถึง 30% นอกจากนั้นการที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปอีกไม่ได้กระทบกับหุ้นโรงกลั่นมาก เนื่องจากจะมีผลกำไรจาก Inventory gain ขณะที่ PTTEP/BANPU ก็ได้รับผลโดยตรงจากราคาน้ำมันอยู่แล้วส่วนหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ในขณะนี้ แม้พื้นฐานจะได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำมันแพงแต่ราคาหุ้นส่วนใหญ่ลงมารอรับแล้ว

* หากจะเกิดแรงขายหุ้นไทยออกมาอีกคงไม่ได้เป็นเพราะราคาน้ำมัน แต่จะมาจากภาวะการ
เมืองภายใน และทิศทางตลาดหุ้นในต่างประเทศ โดยในประเด็นแรกในสัปดาห์นี้ มีเหตุการณ์การตัดสินของศาลคดีนายยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งคงจะไม่เร็วเกินไปที่จะได้ข้อสรุป ส่วนในต่างประเทศยังคงต้องลุ้นกันว่าดัชนีดาวโจนส์จะยืนได้หรือไม่? แต่จากตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาในวันศุกร์ที่ผ่านมา ถือว่าอยู่ในความคาดหมายของตลาดส่วนการปรับตัวลงของดัชนีหุ้นในยุโรปในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการรับข่าวการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วแรงขายหุ้นในเอเชียแม้จะยังมีอยู่แต่ก็คงไม่มากอย่างที่ผ่านมาเพราะหากขายในระดับดัชนีที่เป็นอยู่ ถือว่าเป็นการตัดขายทุน

* การปรับตัวลงได้มากที่สุดในรอบนี้ยังคงอยู่ที่ 725-730 จุด (ภายใต้สมมุติฐานปกติ) แต่หากมาจากการเมือง ดัชนี SET จะลงมาต่ำสุดที่ 680-690 จุด ในทางตรงข้ามหากดัชนี SET ดีดตัวกลับได้จะ
อยู่ที่ 780 จุดหรือดีที่สุดที่ 800 จุดต้นๆ ในช่วงต้นถึงกลางเดือนนี้


:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 07/07/2008 @ 09:05:20 :
.--บมจ. หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส

Distributor - Bisnews AFE


การเมืองกดดันตลาดหุ้นไทย

ภาพวันวาน
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวบวกลบสลับกันในรายประเทศ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับบวก 0.12% จากแรงซื้อกลับในหุ้นพลังงาน อย่างไรก็ตามมูลค่าการซื้อขายกลับลดลงกว่า 48% เหลือเพียง 7,735 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,295 ล้านบาท

ประเด็นร้อนวันนี้
* ราคาน้ำมันทรงตัว ค่าการกลั่นแสดงสัญญาณการดีดตัวระยะสั้น
หลังการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบดูไบในระยะ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาราว 7.98% และสร้างจุดสูงใหม่ตลอดกาลอีกครั้งไว้ที่ระดับ 140 เหรียญฯต่อบาร์เรล จากการกลับเข้าเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ของกระแสการลงทุน ทั้งนี้การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วดังกล่าว ส่งผลให้ค่าการกลั่นยังทรงตัวในระดับต่ำด้วยการปรับตัวขึ้นตามไม่ทัน เนื่องจากการปรับตัวของราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ช้ากว่าการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดค่าการกลั่นเริ่มแสดงสัญญาณการดีดตัวขึ้นรอบใหม่ ล่าสุดอยูที่ระดับ
7.13 เหรียญต่อบาร์เรล ปรับขึ้น 131% ในระยะ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา และมีค่าเฉลี่ยจากต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 7.43 เหรียญต่อบาร์เรล สูงกว่าสมมุติฐานของฝ่ายวิจัยที่ระดับ 6.5 เหรียญฯต่อบาร์เรล และเมื่อพิจารณาถึงราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่น โดยเฉพาะโรงกลั่นที่เป็นบริษัทในเครือ ปตท.ทำให้ได้รับผลกระทบจากการเข้าอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลจากภาครัฐ ส่งผลให้ในระยะ 1 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้น TOP และ PTTAR ปรับตัวลงราว 30% และ 41% ตามลำดับ เชื่อว่าน่าจะสะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวไว้แล้ว แนะนำเป็นจังหวะสะสมเพื่อการลงทุน TOP(FV@B81.50), PTTAR(FV@B32.67)

* รัฐติดตามภาคอสังหาฯ พร้อมออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม
หลังการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคอสังหาฯ ในช่วงเดือน มี.ค.2551 ที่
ผ่านมา รัฐบาลยังคงติดตามความก้าวหน้าอย่างใกล้ชิด เพื่อดูความเป็นไปได้ถึงความจำเป็นในการออก
มาตรการเสริมเพิ่มเติมในช่วง 2H51 ซึ่งหากจะคาดการณ์ถึงมาตรการที่จะออกจากนี้ไป น่าจะเป็นเรื่อง
ของการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยเน้นหนักในส่วนของอัตราดอกเบี้ยต่ำคงที่ระยะยาว เนื่องจากเป็นการช่วยลด
ความกังวลของผู้ซื้อบ้านได้เป็นอย่างดีในสถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ในด้านของผลประกอบ
การงวด 2Q51 คาดว่าโดยภาพรวมกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย น่าจะมีการเติบโตของกำไรกว่า 50% YoY ราคา
หุ้นที่ปรับลดลงมามาก ทำให้หุ้นของบริษัทที่ดีหลายแห่งมีค่า P/E ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และให้ Dividend
Yield สูงแนะนำซื้อสะสมPS(FV@B14.12), SPALI(FV@B4.82), SC(FV@B20.18), PF(FV@B6.41)
รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการอาคารชุด จากปัจจัยบวกในการเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าของรัฐ แนะนำซื้อ
LPN(FV@B10.59)


INVESTORS PLUS

แนวรับ / แนวต้านใน 1 สัปดาห์ของดัชนีตลาด : 730/780 จุด
ตลาดวันนี้ : คาดวันนี้ดัชนีแกว่งตัวด้านข้าง แนวรับ 735 จุด แนวต้าน 755 จุด
กลยุทธ์วันนี้ : รอจังหวะอ่อนตัวซื้อที่แนวรับ และขายทำกำไรระยะสั้น TOP(50/54),
ESSO(8.2/8.8), KBANK(66/70), SCB(73/78)


:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com