บมจ. หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส

Distributor - Bisnews AFE

พลังงานยังไม่ฟื้น

ภาพวันวาน
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง 1.67% สวนทางตลาดหุ้นเอเชีย โดยมีแรงขายนำในหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่พบว่ามูลค่าการซื้อขายลดน้อยลงเหลือเพียง 9,610 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิ 1,379 ล้านบาท

ประเด็นร้อนวันนี้

* Dow Jones ทิศทางอ่อนตัว ขณะที่จีน และยุโรป แสดงสัญญาณฟื้นตัว
ความกังวลต่อปัญหาภาคการเงินในสหรัฐ กลับมากดดันตลาดอีกครั้ง เนื่องจากการประเมิน
สถานการณ์เกี่ยวกับลูกหนี้มีปัญหาในระดับที่ต่ำเกินไป บวกกับปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน ล้วนกดดันให้ดัชนี Dow Jones อ่อนตัวลงในระยะ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยปรับตัวลง 1.04% มาอยูที่
ระดับ 11,231.96 จุด แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าเริ่มสร้างฐานที่แนวรับระดับ 11,000 จุดได้ ในขณะที่ตลาดหุ้นทางด้านยุโรป และเอเชีย โดยเฉพาะจีน และอินเดียนั้น มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น โดยในระยะ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าดัชนีตลาดหุ้นจีนปรับเพิ่มขึ้น 2.06% และอินเดียปรับขึ้น 0.48% ทั้งนี้ คาดว่าอิทธิพลของการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดต่างประเทศเชื่อว่ายังมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยการเมืองในประเทศสัปดาห์นี้น่าจะมีความร้อนแรงและมีน้ำหนักมากกว่าปัจจัยต่างประเทศ

* การเมือง มุ่งไปที่ผลสรุปคดีนายยงยุทธฯ ซึ่งจะมีผลต่อเสถียรภาพรัฐบาล
วานนี้ ศาลแพ่งมีคำสั่งเพิ่มเติมให้กลุ่มพันธมิตรฯ เปิดเส้นทางจราจรถนนพิษณุโลกและพระราม 5 ทุกช่องจราจร ในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 05.00 - 18.00 น. และงดใช้เครื่องกระจายเสียงในเวลา 07.30 - 16.30 น. ส่งผลให้กลุ่มพันธมิตรฯ ตัดสินใจเคลื่อนย้ายการชุมนุมกลับไปที่สะพานมัฆวาน (ซึ่ง
เป็นที่ชุมนุมในวันที่ 25 พ.ค.2551 เป็นต้นมา จนกระทั่ง 20 มิ.ย.2551 ได้มีการเคลื่อนย้ายไปยังด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล) ในขณะที่วันนี้ศาลฯ จะมีคำตัดสิน เกี่ยวกับคดีของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ตามคำร้อง กกต. (เวลา 16.00 น.) เชื่อว่า การตัดสินในประเด็นหลังนี้จะมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล โดยหากนายยงยุทธฯ มีความผิดตามข้อกล่าวหาจริง (ได้รับใบแดง) คาดว่าอาจนำไปสู่การตัดสินใจยุบสภาของรัฐบาลได้ แต่หากไม่มีความผิด คาดว่าจะเห็นการปรับ ครม.สู่รัฐบาลสมัคร 2 ซึ่งน่าจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศให้กลับฟื้นตัวขึ้นมาได้

INVESTORS PLUS

แนวรับ / แนวต้านใน 1 สัปดาห์ของดัชนีตลาด : 720/780 จุด
ตลาดวันนี้ : คาดวันนี้ดัชนีแกว่งตัวด้านข้าง แนวรับ 725 จุด แนวต้าน 740 จุด
กลยุทธ์วันนี้ : ชะลอการลงทุนเพื่อติดตามความชัดเจนจากประเด็นการเมือง และกำหนดจังหวะ
ซื้อต่อไป

:lol:

.--บล. โกลเบล็ก

Distributor - Bisnews AFE

SET 730.56 -12.47 -1.68%
H / L : Day 744.98 / 730.32
H / L : Week 744.98 / 730.32
H / L : Year 886.57 / 728.58

มีโอกาสพักตัวลงต่อจากการทำจุดต่ำใหม่

ระยะสั้น ดัชนีปรับลงต่อทำจุดต่ำใหม่พร้อมกับแท่งเทียนอยู่ในแนวลงรูปแบบ V-SHAPE คว่ำ เป็นสัญญาณลบต่อเนื่องแนวโน้มลงต่อทดสอบแนวรับ NECK LINE ที่ 724
ระยะสั้น ดัชนีปรับตัวลงหลุดแนวรับจุดต่ำเดิมและแท่งเทียนอยู่ในแนวลงรูปแบบ V-SHAPE คว่ำ ทำให้แท่งเทียนเข้าสู่แนวโน้มลงรอบใหม่ เป้าหมายทดสอบแนวรับ NECKLINE ที่ 724 อย่างไรก็ตามการลงช่วงนี้เริ่มเกิดสัญญาณขัดแย้งขาขึ้นระหว่างดัชนีที่ทำจุดต่ำใหม่กับ RSI ที่ไม่ทำจุดต่ำใหม่และมีภาวะขายมากเกิดขึ้นเป็นสัญญาณบวก และการแกว่งตัวของดัชนีที่อยู่บริเวณเส้น BB BOTTOM ทำให้การลงหลังจากนี้
มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวและสร้างฐานเพื่อหาจุดกลับตัวรอบใหม่มีน้ำหนักมากขึ้น แต่การกลับตัวขึ้นทางเทคนิคยังมีกรอบจำกัดเนื่องจากการเกิดสัญญาณ DEAD CROSS ครั้งใหม่ และเส้น SMA 5 วันปรับลงมาใกล้ดัชนี
ทำให้เกิดแรงกดดันดัชนี ขณะที่ VOLUME เบาบางขาดแรงส่งดัชนีให้เกิดจุดกลับตัว ดังนั้นจากภาพที่เกิดขึ้นดัชนียังมีแนวโน้มปรับตัวลงต่อแต่จะเริ่มชะลอมากขึ้น กลยุทธ์ ซื้อเก็งกำไรระยะสั้นควรชะลอไว้ก่อน
ระยะกลาง ดัชนียังอยู่ในช่วงปรับตัวลง แต่ค่าสัญญาณ RSI เริ่มมีภาวะ OVER SOLD และเกิดสัญญาณขัดแย้งขาขึ้นกับดัชนี ขณะที่ VOLUME เบาบาง ทำให้ความเสี่ยงขาลงมีกรอบจำกัดมากขึ้น กลยุทธ์
ถือปรับตัวรอซื้อ
แนวรับ : 728 / 724***
แนวต้าน : 732 / 737

PROP 101.44 RSI
ความเห็น: ดัชนีใน WEEKLY CHART การแกว่งตัวเริ่มไม่ทำจุดต่ำใหม่อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ใน DAILY CHART มีสัญญาณขัดแย้งขาขึ้นระหว่างดัชนีกับ RSI ที่อยู่ในเขตขายมาก ทำให้มีแนวโน้มยืนแนวรับที่
96.00 มากขึ้น มีโอกาสเกิดจุดกลับตัวทางเทคนิคตามมา
กลยุทธ์ ปรับตัวรอซื้อถือแนวรับ
แนวรับ 100 / 96.00
แนวต้าน 105 / 109

BANK 244.19 RSI
ความเห็น: ดัชนีลงต่ำกว่าแนวรับ NECKLINE ที่ 247 แต่ไม่ลงต่อเนื่อง เป็นการแกว่งออกด้านข้าง ขณะที่ RSI มีสัญญาณขัดแย้งขาขึ้นกับดัชนีและอยู่ใกล้เขตขายมากเป็นสัญญาณบวกการกลับตัว การวกกลับยืนแนวรับ 247 ได้อีกครั้งมีแนวโน้มกลับตัวรอบใหม่
กลยุทธ์ ซื้อเมื่อวกกลับยืน 247 ได้อีกครั้ง
แนวรับ 241 / 237
แนวต้าน 247 / 253

:lol:

หุ้นตกยาวหาแนวรับไม่เจอ

โพสต์ทูเดย์ — หุ้นไทยดิ้นหา จุดต่ำสุดดัชนีรูดอีก 1.68% นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้น้ำหนักหุ้นพลังงานเหนือตลาด แต่ยังไม่ซื้อ กลัวรัฐแทรกแซงไม่จบ

ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงลดลงอย่างหนัก โดยปิดดัชนีที่ 730.56 จุด ลดลง 12.47 จุด หรือ 1.68% มูลค่าซื้อขาย 9,610.49 ล้านบาท ต่างชาติขายอีก 1,378.59 ล้านบาท และรายย่อยซื้อ 1,008.28 ล้านบาท


ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยลดลงเกือบแตะระดับต่ำสุดของปีที่ 728.58 จุด เมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2551 ซึ่งตอนนี้หุ้นไทยยังคงหาจุดต่ำสุดไม่เจอ


นักวิเคราะห์เปิดเผยว่า หุ้นยังคงลงหนักเกือบทุกตลาด เพราะมีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อหลังจากราคาน้ำมันที่ทำสถิติสูงสุด ซึ่งสุดท้ายจะไม่เป็นผลดีกับอุตสาหกรรมไหนเลย


บล.พัฒนสิน (CNS) แนะให้นำหุ้นมาขายล่วงหน้า (Short sell) หุ้น 8 กลุ่ม เช่น กลุ่มปิโตรเคมี ขนส่ง โรงกลั่น รับเหมาก่อสร้าง ยกเว้นเหล็กและหุ้นเดินเรือ เพราะมองว่ากำไรไตรมาส 2 จะออกมาไม่ดี และธุรกิจเข้าสู่ช่วงวัฏจักรขาลง


เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ตลาดหลัก ทรัพย์ร่วมกับสมาคมนักวิเคราะห์จัดสัมมนาเรื่อง “แนวโน้มและทิศทางอุตสาหกรรมกลุ่มพลังงาน” ซึ่งนักวิเคราะห์จาก บล.ทิสโก้ บล.กสิกรไทย และ บล.ซีมิโก้ ยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มพลังงานเหนือตลาด เนื่องมาจากราคาน้ำมันและถ่านหินยังมีแนวโน้มสูงอย่างต่อเนื่อง และหุ้นกลุ่มนี้ราคาถูกเมื่อเทียบหุ้นพลังงานในภูมิภาคเอเชีย แต่ยังไม่กล้าที่จะเข้าไปซื้อลงทุนมากนัก โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม ปตท. (PTT)


ทั้งนี้ เพราะยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับนโยบายภาครัฐที่เข้ามาแทรกแซงราคาขายน้ำมัน และยังไม่ชัดเจนว่าจะชดเชยให้แก่บริษัทนั้นๆ อย่างไร ซึ่งหลังจากรัฐแทรกแซง ทำให้ PTT กลายเป็นหุ้นที่ไม่น่าสนใจ


นอกจากนี้ ยังประเมินอีกว่า บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) มีความเสี่ยงที่จะถูกแทรกแซงราคาขายแก๊สได้ ถ้าหากมีการขึ้นค่าไฟ (ค่าเอฟที) เนื่องจากแก๊สเป็นส่วนหนึ่งของพลังงานที่นำมาผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ PTTEP มี ความสนใจที่จะลงทุน เพราะได้รับประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมัน


น.ส.ธนพร วิศรุตพงษ์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์กลุ่มพลังงานและโรงไฟฟ้า บล.กสิกรไทย ยังแนะนำให้ซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยมีบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) และบริษัท บ้านปู (BANPU) เป็นหุ้นที่แนะนำให้ลงทุนสูงสุด

“ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ยังถูกกว่าหุ้นกลุ่มพลังงานในภูมิภาคเอเชียอย่าง PTTEP และ BANPU ราคาปิดเมื่อวันศุกร์มีสัดส่วนราคาต่อกำไรเพียง 12-13 เท่า เทียบหุ้นถ่านหินในภูมิภาคเอเชีย 18 เท่า หุ้นก๊าซและน้ำมันในภูมิภาคที่ 11-12 เท่า การที่ PTTEP ราคาแพงกว่าหุ้นภูมิภาคไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นหุ้นธุรกิจผูกขาด จึงใช้กระแสเงินสดในการคำนวณเป็นหลัก”


นายกิตติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ไม่แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี เพราะเชื่อว่าราคาจะถึงจุดต่ำสุด ปี 2553-2554 ที่เป็นจุดต่ำสุดควรเข้าลงทุนช่วงนั้นจะดีกว่า


:lol: