May 12, 2024   10:53:18 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > วิเคราะห์หุ้น
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 04/08/2008 @ 08:49:18
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

.--Seamico Securities

Distributor - Bisnews AFE

The Stock Exchange of Thailand
ปิด 678.66 จุด ณ 1 ส.ค. 51

โครงสร้างระยะกลางของดัชนีมีรูปแบบของขาลง ซึ่งสังเกตได้จากการเรียงตัวของเส้นค่าเฉลี่ย กอปรกับรูปแบบ Head & Shoulders ที่เพิ่งเสร็จสมบูรณ์ เพราะการที่ดัชนีปรับลงต่ำกว่า Neckline บริเวณ 740 จุด มีนัยต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างมาก การปรับฐานระยะกลางของดัชนีรอบ
ปัจจุบันที่มีจุดตั้งต้นบริเวณ 886 จุด เมื่อ พ.ค. ที่ผ่านมา จึงยังจะต้องดำเนินต่อไป การดีดกลับระหว่างทางลงตลอดสองเดือนที่ผ่านมาเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่มิได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกใดๆ เพราะเป็นการดีดกลับ สืบเนื่องจากสถานะการขายมากเกินไป เช่นเดียวกันกับการดีดกลับเร็วๆ นี้ จากจุดต่ำที่ 660 จุด ดัชนียังไม่อาจยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน บริเวณ 695-700 จุด แม้จะพยายามหลายครั้ง นักลงทุนระยะกลางอาจหลีกเลี่ยงการลงทุนไปสักระยะ หรืออาจลดน้ำหนักการลงทุน เมื่อดัชนีดีดตัวทดสอบแนวต้านข้างต้น ทั้งนี้คาดว่าเมื่อการดีดกลับระยะสั้นเสร็จสิ้น ดัชนีน่าจะอ่อนตัวลงต่ำกว่าจุดต่ำล่าสุดบริเวณ 660 จุด
โดยมีความเป็นไปได้สูงที่จะลงไปเคลื่อนตัวที่ Tweezers Bottom ช่วง 600-620 จุด

การลงทุนช่วง 1-2 สัปดาห์นี้จึงเน้นเก็งกำไรเป็นหลัก เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ สัญญาณ RSI เริ่มฟื้นตัว ขณะที่ปรากฏ Bullish Divergence พร้อมด้วยกลุ่มแท่งเทียนเชิงบวกเหนือบริเวณ 670 จุด จะผลักดันให้ดัชนีดีดขึ้นทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน ทว่ายังไม่มีสัญญาณชี้ชัดถึงการฝ่าเส้นแนวต้านนี้ ดังนั้นจึงคาดว่าการดีดกลับจะมีระยะทางเพียงบริเวณ 700 จุด โดยหุ้นมูลค่าตลาดใหญ่ที่ปรับฐาน
อย่างหนักก่อนหน้านี้จะเป็นตัวนำดีดกลับรอบสั้น พบมากในอสังหาริมทรัพย์ พลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และวัสดุก่อสร้าง หุ้นที่น่าสนใจได้แก่ ITD, CK, STEC, PLE, NWR, AP, PAE, QH, BANPU, PTTAR,
SGP, TTW, KBANK, BAY, SCB, SCC, TYM, TYM และ TCC

แนวรับ : 660-670 จุด
แนวต้าน : 690-700 จุด


:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 04/08/2008 @ 08:52:55 :
.--บล. โกลเบล็ก

Distributor - Bisnews AFE

WEEKLY COMMENTS : การเมืองและเงินเฟ้อกดดันตลาดหุ้นไทย
* การเมืองกดดันความมั่นใจและบรรยากาศการลงทุน
* ตัวเลขเงินเฟ้อทำให้ตลาดกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม ก.น.ง.ครั้งต่อไป
* แนวรับ 669 , 664 และ 660*** แนวต้าน 683 , 689 และ 696

สรุปภาวะตลาดประจำสัปดาห์ที่ผ่านมา 28-1 สิงหาคม 2551
สรุปภาวะการลงทุนสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีปิดที่ 678.66 จุด ลดลง 6.81 จุด จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่อยู่
ระดับปิดที่ 685.47 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 9,767 ล้านบาท ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่
ระดับ 13,660 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 990 ล้านบาท ต่างประเทศขายสุทธิ 3,355 ล้านบาท รายย่อย
ซื้อสุทธิ 2,365 ล้านบาท
ภาพรวมการแกว่งตัว : วันจันทร์ดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบมีแรงขายตลอดทั้งวันแต่ปริมาณการซื้อขายเบาบางเนื่องจากขาดปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้นตลาดก่อนมีแรงซื้อกลุ่มพลังงานช่วงก่อนปิดตลาดทำให้ดัชนีบวกเล็กน้อย วันอังคารดัชนีปรับตัวลงตามตลาดต่างประเทศที่ลงแรงทั่วภูมิภาคมีแรงขายกระจายออกมาทุกกลุ่ม
หลักทรัพย์ด้วยแรงขายที่เบาบางแต่ก็ทำให้ตลาดลงมาปิดลบกว่า 8 จุด วันพุธดัชนีปรับตัวขึ้นตามตลาดต่างประเทศแต่ปริมาณซื้อขายเบาบางทำให้ดัชนีปรับขึ้นในกรอบแคบเท่านั้นก่อนปรับลงมาอยู่ในแดนลบจากแรง
ขายกดดันในกลุ่มพลังงาน วันพฤหัสบดีดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบก่อนมีแรงซื้อกลุ่มพลังงานเข้ามาในช่วงบ่าย
ทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นมาปิดตัวอยู่ในแดนบวกแต่ปริมาณซื้อขายยังเบาบางวันศุกร์ดัชนีปรับตัวลงหลังตลาดต่าง
ประเทศปรับลงทั่วภูมิภาคทำให้มีแรงขายกระจายออกมาทั้งตลาดแต่กลับมีแรงซื้อเข้ามาในภาคบ่ายทำให้
ตลาดฟื้นตัวขึ้นมาและปิดบวกเล็กน้อย
ปัจจัยที่เข้ามากระทบตลาดได้แก่ : ศาลฎีกาฯมีคำสั่งรับฟ้องกรณี"หวยบนดิน,หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลแต่ไม่ใช่มติพรรค,นายกฯทูลเกล้าฯรายชื่อการปรับครม.ใหม่,ศาลพิพากษา"พจมาน,บรรณพจน์,กาญจนาภา"มีความผิดกรณีเลี่ยงภาษีหุ้นชินฯ

ปัจจัยสำคัญที่น่าติดตามและมีผลต่อการลงทุนในสัปดาห์ 4-8 สิงหาคม 2551
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ 4-8 สิงหาคม 2551 ทางฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็กฯ
ประเมินภาวะตลาดมีโอกาสที่จะแกว่งตัวผันผวนต่อไป ทดสอบแนวต้านไม่ผ่านเนื่องจากปริมาณการซื้อขายไม่สนับสนุน จากความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ส่งผลลบต่อบรรยากาศการลง
ทุน โดยเฉพาะการชุมนุมต่อต้านการแก้ไข ร.ธ.น. ของกลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตยที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความรุนแรงขึ้นได้ ถึงแม้ว่าวิปพรรคร่วมรัฐบาลคาดว่าหลังวันที่ 18 ส.ค นี้ จะเสนอแก้ไขได้ ขณะนี้กำลังรอผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการใช้ การปฏิบัติตาม และการแก้ไขเพิ่มเติม ร.ธ.น. ปี 50 ในมาตรา 190,266 และ 237 ก่อนก็ตาม ในขณะที่กระทรวงพาณิชย์แถลงดัชนีราคา
ผู้บริโภคทั้งไป(CPI)เดือน ก.ค.51 เพิ่มขึ้น 9.2%จากเดือน ก.ค.50 และเพิ่ม 0.3%จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 10 ปี แต่ต่ำก่วาที่นักวิเคราะห์ในตลาดฯคาดไว้ที่ 9.3% สำหรับดัชนี
ผู้บริโภคพื้นฐาน(Core CPI) เดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่ม 0.2% จากเดือนก่อน ช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ CPI เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 6.6%และ Core CPI เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.4% การเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อทำให้มีแนวโน้มที่ ธ.ป.ท. จะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ เนื่องจาก
การเร่งตัวขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบมากขึ้น ในขณะที่ทางเทคนิคนั้น กรอบการเคลื่อนไหวของSETยังเคลื่อนไหวในกรอบขาลงต่อเนื่อง โดยมีแนวรับสำคัญที่ 660 จุดต่ำเดิม และมีแนวต้านที่สำคัญ
SMA5,10วัน ซึ่งหากไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นและโฉมหน้าการปรับ ค.ร.ม. เป็นที่ยอมรับของสังคมได้ การปรับตัวลงที่แนวรับ 660 จะเป็นจุดพิจารณาซื้อเพิ่มในระยะกลางบางส่วน(เป็นส่วนน้อย) เนื่องจากปริมาณ
การซื้อขายยังไม่กลับเข้ามาในตลาดหุ้น และถือเงินสดส่วนใหญ่เพื่อรอความชัดเจนอีกครั้ง

ปัจจัยที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้

1.ราคาน้ำมัน
ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังมีความอ่อนแอทำให้คาดการณ์ถึงอุปสงค์ด้านน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลงจะส่งผลลบต่อราคาน้ำมันอย่างไรก็ตามความขัดแย้งที่ยังตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับชาติตะวันตกยังไม่
คลี่คลายโดยที่ผู้นำอิหร่านกล่าวว่าอิหร่านจะดำเนินการตามแนวทางด้านนิวเคลียร์ของตนต่อไปและเหตุการณ์ไม่สงบที่ไนจีเรียรวมถึงอุปสงค์น้ำมันเชื้อเพลิงจากจีนและอินเดียยังเป็นปัจจัยที่สร้างแรงหนุนให้กับราคาน้ำมันดิบให้ทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไป

2.ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ
ตลาดกลับมามีความกังวลต่อเสถียรภาพของภาคธนาคารอีกครั้งหลังจากมีข่าวว่าสถาบันประกันเงิน
ฝาก(FDIC)ได้เข้ายึดธนาคารขนาดเล็กอีก 2 แห่งของสหรัฐฯที่ประสบภาวะล้มละลาย หลังจากที่ช่วงก่อน
หน้าก็มีหลายธนาคารที่ประสบภาวะล้มละลายไปแล้วหลายแห่ง ขณะที่Merrill Lynchได้ออกบทวิเคราะห์
ระบุว่าLehman Brothersซึ่งเป็นวาณิชธนกิจรายใหญ่ที่สุดอันดับที่4ของสหรัฐฯอาจต้องรายงานผลขาดทุน
ใน3Q08จากการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีรอบใหม่อีกราว 2.5 พันล้านดอลลาร์จากพอร์ตจำนองที่อยู่
อาศัย และปัญหาเรื่องฐานะการเงินของเฟรดดี แมคและ แฟนนี เมที่อยู่ในช่วงรอการอัดฉีดเงินเพื่อช่วยเหลือด้านการเงินจากรัฐบาลซึ่งจะส่งผลกระทบต่อฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯอย่างมาก ส่งผลให้วิกฤติ
การเงินที่เกิดขึ้นยังคงส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐซึ่งจะมีผลลบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

3.แรงซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ
ยังขายสุทธิออกต่อเนื่องแต่เริ่มมีสัดส่วนที่ลดลงหลังขายออกมามากต่อเนื่อง การที่ตลาดปรับตัวลงมามากและรัฐบาลได้ออกมาตรการด้านเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการลงทุนและแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อออกมาอย่างต่อ
เนื่อง จะมีแนวโน้มดึงดูดให้นักลงทุนสนใจกลับมาลงทุนอีกครั้ง อย่างไรก็ตามคาดว่าเม็ดเงินที่จะกลับมาลงทุนยังไม่มากนักเนื่องจากปัจจัยที่ลดความเชื่อมั่นการลงทุนจากต่างประเทศยังมีอยู่โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง
ความขัดแย้งทางการเมืองและภาวะเงินเฟ้อที่เริ่มเกิดขึ้น

4.สถานการณ์ด้านการเมือง
สถานการณ์ด้านการเมืองยังมีปัญหาต่อเนื่องโดยเฉพาะกรณีหวยบนดินที่อาจจะทำให้มีรัฐมนตรีอีก 3
คนจะถูกยุติหน้าที่หรือไม่ ซึ่งจะนำไปสู่การปรับครม.เกิดขึ้นอีก รวมถึงความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นหลังหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินขอถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเนื่องจากไม่เห็นด้วยจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ซึ่งอาจจะมีสส.ที่เป็นแนวร่วมของหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินที่อาจจะถอนตัวออกตามและปัจจัยที่สำคัญคือประเด็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคร่วมรัฐบาลจะนำเข้าพิจารณาในช่วงการเปิดประชุมสภาฯนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางกลุ่มพันธมิตรออกมาชุมนุมต่อต้านตั้งแต่ต้นและได้ประกาศเคลื่อนไหวต่อต้านครั้งใหญ่อีกครั้งทำให้
ความวุ่นวายทางการเมืองยังคงอยู่และยังคงส่งผลเชิงลบต่อจิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้นต่อไป

5. ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)
คาดว่าเฟดยังคงประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมที่ 2% เช่นเดียวกับในการประชุมเมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา เนื่องจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลงมามากแล้ว และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ไข
ภาวะเงินเฟ้อก็ยังเป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยากเนื่องจากจะกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจตามมา โดยเฉพาะผลกระทบในตลาดแรงงานและตลาดการเงินที่ยังมีปัญหาสินเชื่อ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเริ่มปรับลงมาต่อเนื่องจากระดับที่ 147 ดอลลาร์/บาร์เรลลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อลง ซึ่งจะทำให้เฟดแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยเพื่อจับตาดูทิศทางเศรษฐกิจก่อนตัดสินใจในการดำเนินนโยบายด้านอัตราดอกเบี้ยใน
การประชุมครั้งต่อไป

6.สศค.เผยกระทรวงการคลังยังคงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้อยู่ที่ 5-6% ตามที่ประมาณการเอาไว้
โดยภาวะเศรษฐกิจการคลังในเดือน มิ.ย.51 และไตรมาสที่ 2 ของปี 51 ยังขยายตัวได้ดี แม้ว่า
เศรษฐกิจยังคงได้รับปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่แน่นอนและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น รวม
ทั้งราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลง แต่ก็ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงอยู่ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่
6-7% ลดลงจากที่ประมาณการที่ 7-8% เนื่องจากเชื่อว่าการออก 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤติเพื่อคน
ไทย ที่รัฐบาลออกมาจะสามารถบรรเทาปัญหาอัตราเงินเฟ้อให้ชะลอตัวลงได้

แนวโน้มการเคลื่อนไหวระดับสัปดาห์
ด้านการวิเคราะห์เทคนิค การแกว่งตัวแท่งเทียนเกิดแนวรูปแบบ BULLISH FLAG ขึ้น โดยล่าสุดการเกิดแท่งเทียนสีขาวและการเรียงตัวก่อนหน้าเกิดเป็นแท่งเทียน STAR เป็นสัญญาณบวกแท่งเทียนที่เสริม
การสร้างรูปแบบขึ้น BULLISH FLAG ขณะที่ค่าสัญญาณ RSI,MACD ปรับขึ้นเป็นสัญญาณบวกเสริม
ประกอบกับแรงกดดันเส้น SMA 10 วันน้อยลงจากการเริ่มปรับขึ้นของ SMA 10 วัน ดังนั้นจากภาพที่เกิดขึ้นทำให้ดัชนีมีแนวโน้มกลับตัวขึ้นต่อเพื่อทดสอบแนวต้านกรอบขาลงจากแรงส่งของรูปแบบ แต่เนื่องจาก VOLUME
เบาบางแนวโน้มการขึ้นเป็นเพียงการกลับตัวระยะสั้น ดังนั้นช่วงปรับขึ้นเข้าใกล้แนวต้านกรอบขาลงระวังการพักตัวแนวต้าน
กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ซื้อเก็งกำไรระยะสั้นตามรูปแบบ สัปดาห์นี้มีแนวรับที่ 669, 664 และ
660*** แนวต้าน 683 , 689 และ 696

ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือน ก.ย.ราคาน้ำมันปรับลงต่อเนื่องหลุดแนวโน้มขึ้นลง แต่เนื่องจากระยะสั้นค่าสัญญาณทางเทคนิคเริ่มลงมาใน
ระดับต่ำ ทำให้การลงจะเริ่มชะลอตัวแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบแคบไม่ขึ้นลงแรง

ค่าเงินบาท/ดอลลาร์ในตลาดออนชอร์
ค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงต่อตามทิศทางหลักเดิมของการอ่อนค่า ค่าสัญญาณทางเทคนิคเริ่มปรับขึ้นเป็นสัญญาณสอดคล้องกัน ทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์
ดัชนีเริ่มแกว่งตัวขึ้นลงผันผวนใกล้จุดการปรับลงแรงช่วงก่อนหน้า ขณะที่ค่าสัญญาณทางเทคนิคเริ่มปรับขึ้น ทำให้ดัชนีมีแนวโน้มที่จะยืนแนวรับจุดต่ำเดิมและปรับตัวขึ้น

ดัชนีนิกเกอิ
ดัชนีพักตัวลงหลังการฟื้นตัวขึ้นช่วงสั้นๆ ขณะที่ค่าสัญญาณทางเทคนิคปรับลงอีกครั้ง จากการแกว่งตัวที่สอดคล้องเชิงลบทำให้ดัชนีมีแนวโน้มพักตัวลงต่อ


:lol:
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 04/08/2008 @ 08:55:02 :
.--บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

Distributor - Bisnews AFE

28 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2551

* ภาวะตลาดทุน

* ตลาดหุ้นไทย "ดัชนีฟื้นตัวท้ายสัปดาห์"

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 678.66 จุด ปรับตัวลดลง 0.99% จาก 685.47 จุดในสัปดาห์ก่อน และร่วงลง 20.91% จากสิ้นปี 2550 ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์ลดลง 28.50% จาก 68,301.98 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 48,835.24 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดลงจาก 13,660.40 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 9,767.05 ล้านบาท ส่วนตลาดหลัก
ทรัพย์ MAI ปิดที่ 241.06 จุด ขยับขึ้น 0.07% จาก 240.90 จุดในสัปดาห์ก่อน แต่ร่วงลง 11.50% จากสิ้นปีก่อน โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องที่ 3,358.87 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุน
สถาบันซื้อสุทธิที่ 2,367.65 ล้านบาท และ 991.23 ล้านบาท ตามลำดับ
ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันจากปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และการเมืองในประเทศ ทำให้มีแรงเทขายต่อเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติ โดยในวันจันทร์ ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อย จากแรงซื้อในช่วงท้ายตลาด
โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มแบงก์และพลังงาน หลังจากที่แรงเทขายได้ฉุดให้ดัชนีปรับลงมาต่ำกว่าระดับ 680 จุด
ในช่วงก่อนหน้า ส่วนในวันอังคาร ดัชนีปรับตัวลดลง ตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ร่วงลงจาก
ความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ท่ามกลางแรงเทขายในหุ้นกลุ่มพลังงานและแบงก์ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้น ทำให้นักลงทุนชะลอการซื้อขาย จนทำให้มูลค่าการซื้อขายเบาบางเพียง 6.7 พันล้านบาท ซึ่งต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี หลังจากนั้น ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงต่อในวันพุธ สวนทิศทางตลาดภูมิภาคที่
ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น หลังเผชิญแรงเทขายหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะบมจ.ปตท. (PTT) และ
บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ซึ่งฉุดให้ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดการซื้อขายช่วงบ่าย และปิดในแดนลบ ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังเป็นปัจจัยที่กดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาด
หุ้น ส่วนในวันพฤหัสบดี ดัชนีฟื้นตัวขึ้น โดยแรงซื้อในภาคบ่ายช่วยหนุนให้ดัชนีปรับตัวขึ้นไปทดสอบที่ระดับใกล้
680 จุด อย่างไรก็ตาม ดัชนีได้อ่อนตัวลงจากแรงเทขายทำกำไร แต่ยังเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกจนปิดตลาด ส่วนในวันศุกร์ ดัชนีปรับตัวผันผวนในระหว่างวัน ก่อนจะกลับมาปิดในแดนบวกได้ โดยมีแรงซื้อในหุ้น
กลุ่มแบงก์ และอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับตัวลงไปมากจึงมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามา กอปรกับมีการคาดการณ์ว่าการปรับครม.น่าจะเสร็จสิ้นในสัปดาห์นี้ ซึ่งทำให้รัฐบาลสามารถเดินหน้าทำงานต่อไปได้
สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ (4-8 สิงหาคม 2551) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย
จำกัด มองว่า ดัชนีน่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ เนื่องจากปัจจัยลบในประเทศที่เบาบางลงไป ขณะเดียวกันน่าจะมีแรงซื้อเก็งกำไรผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะออกมาดี โดยปัจจัยที่ต้องจับตาได้แก่
พ.ร.บ. ธุรกิจสถาบันการเงินที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ รวมทั้งประเด็นทางการเมือง ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ผลการประชุมของเฟด และการปรับตัวของตลาดหุ้นในภูมิภาค รวมทั้งการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 670
และ 664 จุด และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 694 และ 737 จุด ตามลำดับ


* ตลาดหุ้นสหรัฐฯ "ดัชนี DJIA ร่วงลงจากความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ"

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม 2551 ดัชนี DJIA ปิดที่ 11,378.02 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น
0.06% เมื่อเทียบกับ 11,370.69 จุดเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน แต่ร่วงลง 14.22% จากสิ้นปีก่อน ขณะที่ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 2,325.55 จุด ปรับตัวขึ้น 0.65% เมื่อเทียบกับ 2,310.53 จุดปลายสัปดาห์ก่อน แต่ร่วง
ลง 12.32% จากสิ้นปีก่อนหน้า โดยในวันจันทร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงจากความวิตกเกี่ยวกับปัญหาในตลาดสินเชื่อและตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งส่งผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มการเงิน ส่วนในวันอังคาร ดัชนี DJIA
ทะยานขึ้นกว่า 2% จากการอ่อนตัวลงของราคาน้ำมัน และหลังจากการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ในบัญชีและการขายหุ้นของเมอร์ริล ลินช์ ที่นักลงทุนมองว่า ธนาคารต่างๆ อาจใกล้ที่จะผ่านพ้นการกำจัดหนี้เสียออกจากงบ
ดุลบัญชีแล้ว นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากข้อมูลที่บ่งชี้ว่าอัตราการลดลงของราคารายเดือนในตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ กำลังชะลอลง และรายงานอีกฉบับบ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ในเดือนก.ค
.ปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน หลังจากนั้น ดัชนีปรับตัวขึ้นต่อในวันพุธ โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นเกินคาด ตลอดจนการที่เฟดและธนาคารกลางอื่นๆ ระบุว่าจะเพิ่มมาตรการเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับบริษัทด้านการเงิน ซึ่งเผชิญกับการขาดทุนด้านสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม
ดัชนี DJIA ร่วงลงในวันพฤหัสบดี นำโดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล หลังเปิดเผยผลประกอบการต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ และตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังได้เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ


* ตลาดหุ้นญี่ปุ่น "ดัชนี NIKKEI ปรับตัวผันผวนตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ "

เมื่อวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2551 ดัชนี NIKKEI ปิดที่ 13,094.59 จุด ปรับตัวลดลง 1.80%จากปิดตลาดที่ 13,334.76 จุด เมื่อสัปดาห์ก่อน และร่วงลง 14.46% จากสิ้นปีที่ผ่านมา ความกังวลเกี่ยว
กับภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นอย่างมาก โดยในวันจันทร์ที่ผ่านมา ดัชนีNIKKEI ปรับขึ้นเล็กน้อยจากการทะยานขึ้นของหุ้นในกลุ่มเทรดดิ้ง เช่น หุ้นมิตซุย แอนด์ โค แม้ว่ามีการร่วงลงอย่างหนักของหุ้นแอดแวนเทสท์ คอร์ป และหุ้นฮอนด้า มอเตอร์ หลังการรายงานผลประกอบการที่น่า
ผิดหวัง ส่วนในวันอังคาร ดัชนี NIKKEI ร่วงลง นำโดยหุ้นกลุ่มการเงินที่ปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับตลาดสินเชื่อสหรัฐฯ ขณะที่หุ้นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ได้รับผลกระทบ หลังจากที่โตโยต้า
มอเตอร์ คอร์ป ปรับลดคาดการณ์ยอดขายทั่วโลก หลังจากนั้น ดัชนี NIKKEI พุ่งขึ้นกว่า 200 จุดในวันพุธ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นมัตสึชิตะอิเล็คทริค อินดัสเทรียล หลังรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นจากการคลายความวิตกเกี่ยวกับตลาดสินเชื่อสหรัฐฯ ส่วนในวันพฤหัสบดี ดัชนีขยับขึ้นเล็กน้อย หลังร่วงลงในช่วงเช้า โดยตลาดได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่มผู้ผลิตเวชภัณฑ์ แม้ว่า
หุ้นในกลุ่มส่งออกจะปรับตัวลง ท่ามกลางความวิตกที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ดัชนี NIKKEI ปรับตัวลดลง และปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ โดยมีแรงถ่วงจากหุ้นกลุ่มการเงิน
หลังมิซูโฮ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป และสุมิโตโม ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ 2 แห่งของญี่ปุ่น รายงานผลกำไรที่ลดลงอย่างมาก หลังได้รับผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของตลาดโลก และเศรษฐกิจภายในประเทศที่อ่อนแอ ขณะที่ยูบีเอสได้ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นเอ็นอีซีลง หลังการรายงานผล
ประกอบการรายไตรมาสของบริษัทที่ร่วงลงอย่างหนัก

:lol:
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com