April 26, 2024   12:32:40 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > SUTHA มั่นใจยืนเหนือจอง-เป้า4.80บ.
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 03/04/2014 @ 08:26:51
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

"สุธากัญจน์" เทรด SET วันแรก มั่นใจยืนเหนือจองที่ 3.70 บาท เหตุพื้นฐานแกร่ง ธุรกิจปูนขาวมีอนาคต ดีมานด์หลากหลายอุตสาหกรรม เงินที่ได้จากการไอพีโอนำไปขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ด้านผู้บริหารยันไม่มีแนวคิดขายหุ้นออก โบรกฯให้มูลค่าเหมาะสมปีนี้ที่ 4.80 บาท มองเป็นหุ้นเล็กแต่เร้าใจในกลุ่มปิโตรฯ ประเมิน EPS ช่วง 3 ปีข้างหน้าโตเฉลี่ย 18% ชูนโยบายการปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ

*** บิ๊ก SUTHA มั่นใจเทรดวันแรกยืนเหนือจอง 3.70 บาท
นายปัญชฤทธิ์ มนต์เสรีนุสรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท สุธากัญจน์ จำกัด (มหาชน) หรือ SUTHA ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้า ปูนขาวร้อน (Quicklime) รายใหญ่ของประเทศ และมีประสบการณ์มากว่า 10 ปี รวมทั้งแคลเซียมคาร์บอเนต ที่มีการใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมเหล็ก กระดาษ น้ำตาล เป็นต้น เปิดเผยถึงการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรก 3 เมษายน 2557 ในหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ว่า การเข้าซื้อขายหุ้น SUTHA มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ทำให้สามารถยืนเหนือราคาจองที่3.70บาท/หุ้นได้
เนื่องจากบริษัทฯ มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า ในอัตราทำกำไรที่โดดเด่นชัดเจน
และต่อเนื่อง ทั้งจากธุรกิจปูนขาวที่มีความต้องการใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมและปูนขาวเกรดพิเศษที่บริษัทฯ ผลิตได้โดยมีคู่แข่งน้อยราย โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ทำให้ธุรกิจมีโอกาสขยายไปยังประเทศในแถบภูมิภาคอาเซียน ทั้งในด้านของการจำหน่ายองค์ความรู้ (Know How)และการร่วมลงทุน (Join Venture) กับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต้องใช้ปูนขาวในต่างประเทศ ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดี
“ มั่นใจว่าหุ้น SUTHA จะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน จนยืนเหนือราคาจองได้ เพราะนอกจากเราจะเป็นบริษัทฯ ที่มีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง ทั้งในแง่รายได้ กำไร เรายังยืนยันจะเป็นบริษัทฯ ที่จ่าย ปันผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราที่ดีถึง 40%ของกำไรสุทธิด้วย ประกอบกับเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้จะนำไปใช้ลงทุนในการขยายกำลังการผลิต และลดต้นทุนการผลิต ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสร้างการเติบโตของบริษัท เชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน จนทำให้เข้ามาซื้อหุ้นในกระดานเพิ่มเติมเพื่อลงทุนหวังผลตอบแทนในระยะยาว และมั่นใจว่าหลังเข้าทำการซื้อขาย SUTHA จะไม่ทำให้ผู้ลงทุนผิดหวัง เพราะกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ตระกูล “มนต์เสรีนุสรณ์” เป็นผู้บริหารด้วย เราไม่มีแนวคิดที่จะขายหุ้นออกไปแม้หุ้นที่ถืออยู่จะติดไซเรนพีเรียดหรือไม่ติดไซเรนพีเรียด” นายปัญชฤทธิ์กล่าว

*** SUTHA เทรดวันนี้ เป็น บจ.ลำดับที่ 3 ของปีที่เข้า SET
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ. สุธากัญจน์ (SUTHA) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2557 นี้ โดยเป็นบริษัทจดทะเบียนลำดับที่ 3 ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปีนี้
SUTHA ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าเคมีภัณฑ์ประเภทปูนขาว (แคลเซียมออกไซด์ และแคลเซียมไฮดรอกไซด์) แคลเซียมคาร์บอเนต สำหรับใช้ในกระบวนการผลิตของผู้ประกอบการในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก เคมี น้ำตาล เหมืองแร่ เยื่อและกระดาษ เป็นต้น
บริษัทมีทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 225 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 75 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในราคาหุ้นละ 3.70 บาท เมื่อวันที่ 26-28 มีนาคม 2557 มีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,110 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายเกียรติกุล มนต์เสรีนุสรณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. สุธากัญจน์ เปิดเผยว่า การนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนโดยจะนำเงินที่ได้ไปใช้ขยายกำลังการผลิตลงทุนในระบบและเครื่องบดถ่านหินเพื่อรองรับการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศในอนาคต และลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจปูนขาว
โดยเมื่อมิถุนายน 2556 บริษัทได้ทำบันทึกข้อตกลง (Memorandum of Agreement) กับบริษัทในกลุ่มของรัฐวิสาหกิจผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่รายหนึ่งของอินโดนีเซียในการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อจัดตั้งกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ที่จะดำเนินธุรกิจเผาหินปูนเป็นปูนขาวร้อน (Quick lime) ในประเทศอินโดนีเซีย
หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SUTHA 3 ลำดับแรก ได้แก่ ครอบครัวมนต์เสรีนุสรณ์ ถือหุ้น 70.17% นางสาวต้องรัก กิจวัฒนชัย ถือหุ้น 1.67% และ นางสาวณัฐฐิญา ทองเจริญ ถือหุ้น 1.17% ทั้งนี้ การกำหนดราคา IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio ) 11 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่ไตรมาส 1 ถึงไตรมาส 4 ปี 2556) และหารด้วยจำนวนหุ้นภายหลังการเสนอขายต่อประชาชนในครั้งนี้ (Fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.34 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับค่า P/E เฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจคล้ายคลึงกับบริษัท (ระหว่างวันที่ 7 มีนาคม 2556-7 มีนาคม 2557) เท่ากับ 13.8 เท่า ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมายในแต่ละปี

*** ปี56 มีกำไร100.88 ลบ.-อัตรากำไรสุทธิ 11.77%
สำหรับผลประกอบการงวดปี 2556 บริษัทฯ มีรายได้รวม 857.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2555 ที่มีรายได้รวมจำนวน 837.80 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.31 จากปีก่อน โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากในประเทศร้อยละ 89-95 ซึ่งช่วง 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเพิ่มกำลังการผลิต ราคาขายรวมทั้งการขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีกำไรสุทธิงวดปี 2556 ที่ 100.88 ล้านบาทคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 11.77% จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ 38.60%

*** โบรกฯ มองหุ้นเล็กแต่ร้อนแรงของกลุ่มปิโตรเคมี
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า บริษัท สุธากัญจน์ จำกัด (มหาชน) (SUTHA) ถือเป็นผู้ผลิตปูนขาวรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศและมีเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นผู้ครองส่วนแบ่งตลาดรายใหญ่สุดของประเทศในอนาคต ซึ่งการระดมทุนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะใช้สำหรับการขยายการลงทุนในเครื่องจักรและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไรของบริษัท อีกทั้งยังมีแผนที่จะขยายการลงทุนในยังต่างประเทศมากขึ้นเพื่อรองรับการเปิดเสรีเศรษฐกิจประชาคมอาเซียน (AEC) ด้วยเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ SUTHA มีความเชี่ยวชาญ
ปัจจุบัน บริษัทมีโรงงานผลิตจำนวน 2 โรงงาน คือ 1) โรงงานที่ ต.ช่องสาริกา จ.ลพบุรี และ 2)โรงงานที่ ต.หน้าพระลาน จ.สระบุรี และมีเตาเผาจำนวน 6 เตาเผา เดินเครื่องจักรตลอด 24 ชั่วโมง กำลังการผลิตปูนขาว 3.28 แสนตันต่อปี ซึ่งผลิตภัณฑ์ปูนขาวถือเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างรายได้ให้กับ SUTHA คิดเป็นสัดส่วนราวเฉลี่ยราว 85% ในช่วงระยะเวลา 3 ที่ผ่านมา และรายได้ของบริษัทจากธุรกิจปูนขาวก็มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 11%yoy และ 18%yoy ในปี 2555 และในปี 2554

*** มูลค่าที่เหมาะสมปี57 ที่ 4.80 บาท
ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าหุ้น SUTHA ณ สิ้นปี 2557 อ้างอิงวิธี DCF เท่ากับ 4.80 บาทต่อหุ้น (WACC9.8%) เทียบเท่ากับ PER ปี 2557 ที่ 10.8 เท่า และ PBV ที่ 2.16 เท่า ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยPER และ PBV ของบริษัทอื่นๆในโลกที่ทำธุรกิจปูนขาวคล้ายกับ SUTHA นอกจากนี้หากพิจารณาอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) ในปี 2557 พบว่าอยู่ในระดับสูงถึง 28% และคาดการณ์อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปี 2557 ที่ 4%p.a.

*** ลูกค้ากว่า 200 ราย- อุตสาหกรรมเหล็กเป็นหลัก
กลุ่มลูกค้าของบริษัทแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องการผลิตภัณฑ์กลุ่มปูนขาว และแคลเซียมคาร์บอเนตไปใช้ในกระบวนการผลิต ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ และ 2) ผู้จัดจำหน่ายที่ซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปเพื่อดำเนินการขายต่อ หรือส่งออกให้กับลูกค้า โดยในปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักของ SUTHA คือกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเหล็ก โดยมีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 29% ของรายได้จากการขายปูนขาวรวม รองลงมาคือ กลุ่มอุตสาหกรรมเคมี และกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำตาล มีสัดส่วนรายได้คิดเป็นสัดส่วนราว 26% และ 17% ของรายได้จากการขายปูนขาวรวม
ทั้งนี้ ปัจจุบัน SUTHA มีจำนวนลูกค้ามากกว่า 200 ราย แต่รายได้หลักประมาณ 52.4% ของรายได้รวม จะมาจากกลุ่มลูกค้า 10 รายแรก และในจำนวนนี้มี 8 รายที่บริษัทได้มีการทำสัญญาซื้อขายระยะยาว (ระยะเวลามากกว่า 6 เดือน)
ขณะที่ในส่วนของราคาขายปูนขาวนั้น ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีราคาอ้างอิงกับราคาน้ำมันเตา ทำให้ SUTHA ได้มีนโยบายกำหนดราคาขายปูนขาวผันแปรกับราคาขายส่งน้ำมันเตาเกรด C (FO 1500) ซึ่งราคาน้ำมันเตาในช่วงระยะเวลา 3 ปี ที่ผ่านมา (2554-2556) ราคาขายส่งเฉลี่ยอยู่ที่ 21.02 บาทต่อลิตร21.85 บาทต่อลิตร และ 20.15 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม คาดราคาขายส่งน้ำมันเตาในปี2557 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากปี 2556 จากความต้องการใช้ที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การกำหนดราคาขายของบริษัทนอกจากจะอ้างอิงตามราคาน้ำมันเตาแล้วนั้น บริษัทยังจะต้องพิจารณาสภาพการแข่งขันควบคู่กันไปด้วย หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการแข่งขันที่รุนแรง บริษัทจะมีการกำหนดราคาขายให้ใกล้เคียงกับคู่แข่งในตลาด แต่ราคาดังกล่าวจะต้องไม่ต่ำกว่าต้นทุนสินค้าบวกอัตรากำไรเพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่เหมาะสมได้

*** วัตถุดิบ คือ หินปูน ซึ่งมีราคาค่อนข้างคงที่
ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตปูนขาวนั้นมีเพียงหินปูน ซึ่งมีราคาค่อนข้างคงที่ โดย SUTHA มีการซื้อวัตถุดิบหินปูนจากผู้จำหน่ายในประเทศ 6-10 ราย จากผู้จำหน่ายทั้งหมดจำนวน 162 ราย สะท้อนถึง Supply หินปูนที่ยังมีอยู่จำนวนมาก จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตแต่อย่างใด สำหรับในส่วนของต้นทุนเชื้อเพลิงนั้น SUTHA ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตทั้ง 100% คิดเป็นปริมาณถ่านหินที่ใช้ราว 3.6 หมื่นตันต่อปี ซึ่งราคาถ่านหินจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามดัชนีราคาถ่านหินในตลาดโลก โดยในระยะ 1-2 ปี ข้างหน้า คาดราคาถ่านหินอาจจะยังทรงตัวในกรอบ 80-90 เหรียญฯต่อตัน ไม่ผันผวนมากนัก ตามทิศทางสถานการณ์ตลาดถ่านหินที่ยังอยู่ในสถานะ Oversupply ในปัจจุบัน ดังนั้นโดยภาพรวมแล้วคาด SUTHA น่าจะรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ให้อยู่ระดับ 40% ต่อเนื่อง
ปัจจุบันประเทศไทยมีความต้องการใช้ปูนขาวอยู่ที่ 9.7 แสนตันต่อปี (ตัวเลขคาดการณ์ปี 2557) ขณะที่กำลังการผลิตของผู้ประกอบการที่ผลิตปูนขาวได้ในประเทศมีมากกว่าความต้องการใช้ที่เกิดขึ้น ทำให้ผลิตภัณฑ์ปูนขาวในประเทศจะต้องมีการส่งออกไปขายยังต่างประเทศ แต่ทั้งนี้ หากพิจารณากำลังการผลิตปูนขาวของ SUTHA ที่ 3.28 แสนตันต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของผู้ผลิตปูนขาว จะพบว่าในปัจจุบันบริษัททำการขายผลิตภัณฑ์ปูนขาวทั้ง 90% ให้กับลูกค้าภายในประเทศ คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศถึง 28% ของความต้องการใช้ของประเทศทั้งหมด

*** คาด D/E เหลือ 0.7 เท่าหลังขาย IPO
บล.เอเซียพลัส กล่าวต่อว่า จากแผนการขยายการลงทุนของ SUTHA ฝ่ายวิจัยคาดจะต้องใช้เงินลงทุน (CAPEX) เฉลี่ยราวปีละ100 ล้านบาท ในช่วงปี 2557-2558 อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากกระแสเงินสดที่มีอยู่ในมือ ณ สิ้นปี 2556ที่ 110 ล้านบาท บวกกับเงินที่ระดมทุนได้จากการทำ IPO ในครั้งนี้ที่คาดการณ์ราว 300 ล้านบาท และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่จะเกิดขึ้นในแต่ละปีที่คาดไว้เฉลี่ยราว 200 ล้านบาท อีกทั้งยังมีความสามารถที่จะกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพิ่มเติมได้ สะท้อนได้จากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น(D/E ratio) ของ SUTHA ณ สิ้นปี 2556 ซึ่งอยู่ที่ 1.8 เท่า และคาดภายหลังจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนของประชาชนในครั้งนี้จะช่วยลด D/E ratio ให้ลดลงเหลือเพียง 0.7 เท่า ณ สิ้นปี 2557

*** EPS ใน 3 ปี ข้างหน้า โตเฉลี่ย 18%
ปัจจุบัน SUTHA มีรายได้หลักจากการผลิตและจำหน่ายปูนขาว (แคลเซียมออกไซด์และแคลเซียมไฮดรอกไซด์) คิดเป็นสัดส่วน 89% ของรายได้รวม รองลงมาเป็นรายได้จากการผลิตและจำหน่ายแคลเซียมคาร์บอเนต คิดเป็นสัดส่วน 6% ของรายได้รวม และส่วนที่เหลืออีก 5%ของรายได้รวม มาจากรายได้จากการซื้อมาขายไปและบริการอื่นๆ
โดยในระยะ 4 ปีที่ผ่านมา (ปี 2553-2556) SUTHA มีอัตราการเติบโตของรายได้จากการจำหน่ายเฉลี่ย9% p.a. (CAGR) ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่เกือบ 90% ของรายได้รวม มาจากการผลิตและจำหน่ายปูนขาว ซึ่งเป็นไปตามการเพิ่มกำลังการผลิตปูนขาวอีก 2 เตา ในช่วงปลายปี 2554 จนถึงต้นปี 2555 ทำให้กำลังการผลิตปูนขาวเพิ่มขึ้นเป็น 900 ตันต่อวัน จาก 600 ตันต่อวัน ทำให้บริษัทมีการขยายฐานลูกค้า และจำหน่ายสินค้าไปยังต่างประเทศมากขึ้น โดยเน้นตลาดในกลุ่มประเทศทางแถบเอเชีย ได้แก่ ลาวอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น รวมถึงยังได้รับอานิสงค์จากแนวโน้มราคาขายปูนขาวที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 5%p.a. จึงส่งผลให้รายได้ของ SUTHA มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและหากพิจารณากำไรสุทธิในระยะ 4 ปี ดังกล่าวพบว่ามีอัตราการเติบโตถึง 35% p.a. (CAGR) ซึ่งนอกจากผลของรายได้จากการขายปูนขาวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องดังกล่าวข้างต้นแล้วนั้น ยังมีสาเหตุมาจากการควบคุมต้นทุนในกระบวนการผลิตและการบริหารและการจัดหาต้นทุนวัตถุดิบที่ดีขึ้นมาอย่างเป็นลำดับ รวมถึงความสามารถในการปรับกระบวนการเผาให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าโดยแยกเป็นแต่ละเตาได้ เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าตามความต้องการลูกค้าได้หลากหลาย ประกอบกับตั้งแต่ปี 2555 มีการการบันทึกค่าเสื่อมราคาลดลง เนื่องจากเครื่องจักรบางตัวได้มีการตัดค่าเสื่อมราคาครบกำหนดอายุแล้ว นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในปี 2555 และ 2556 ที่ลดลงเหลือ 23% และ 20% จาก 30% ในปีก่อนหน้า ตามนโยบายของภาครัฐ ประกอบกับทางบริษัทได้เริ่มใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากบัตรส่งเสริมการลงทุน (BOI) ใบใหม่ในปีดังกล่าว

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com