March 19, 2024   6:01:40 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > "เริ่มเล่นหุ้นต้องรู้เทคนิคอะไรบ้าง”
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 29/09/2015 @ 19:22:55
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

"เริ่มเล่นหุ้นต้องรู้เทคนิคอะไรบ้าง”



ผมขอรวบรวมข้อมูลและเทคนิคที่ควรรู้หากจะเริ่มเล่นหุ้น แบบกระชับ เพื่อเป็นประโยชน์และแนวทางทำหรับผู้ลงทุนหน้าใหม่ครับ
หากมีผู้เชี่ยวชาญจะช่วยเสริมและชี้แนะ ขอเชิญช่วยกันได้นะครับ

ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจอะไรๆพื้นฐานเกี่ยวกับหุ้นกันก่อนดีกว่าครับ


1.หุ้นคืออะไร?



หุ้นคือตราสารที่กิจการออกให้ผู้ถือหุ้น ( คนที่ซื้อหุ้น ) เพื่อเอาเงินนั้นไปใช้ดำเนินกิจการ โดยอาจให้เงินปันผล หรือ ผลตอบแทนต่างๆ หรือไม่ก็ได้
ทั้งนี้ แล้วแต่ผลประกอบการและการตัดสินใจของคณะผู้บริหารบริษัทนั้นๆครับ

ตลาดหุ้นเป็นทางเลือกหนึ่งของการลงทุนนั่นเองครับ และให้ผลตอบแทนสูงซะด้วย ( ตรงนี้เองที่ล่อตาล่อใจใครๆให้เข้ามา อยากเล่นมั่ง )
เวลาเราซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ก็ถือว่าเรามีส่วนเป็นเจ้าของร่วมกิจการนั้นๆแล้วครับ ไม่ต้องไปลงแรง ลงสมองในกิจการที่เราสนใจ

เราได้ผลตอบแทนจากการเล่นหุ้น 2 แบบคือ
-เงินปันผล ( แล้วแต่นโยบายของบริษัท ว่าจะจ่ายให้ผู้ถือหุ้นเท่าไหร่ )
-ส่วนต่างของราคาหุ้นที่เปลี่ยนไป ( Capital Gain)ในกรณีที่ซื้อราคาต่ำๆแล้วขายที่ราคาสูงกว่าที่ซื้อมานะครับ !

แน่นอนว่าในโลกนี้ไม่มีการลงทุนใดๆที่ปราศจากความเสี่ยง 100%
เวลาเราเล่นหุ้น เราควรจะตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า ต้องการผลตอบแทนกี่เปอร์เซนต์ของเงินลงทุน
และความเสี่ยงกับผลตอบแทน ก็มักจะมีความสัมพันธ์กันตามนิยามที่ว่า HIGH RISK HIGH RETURN
แปลง่ายๆก็คือ อยากได้ผลตอบแทนสูง ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่สูงเช่นกันให้ได้ด้วยนะครับ !!!


2 วางแผนการลงทุน

นักลงทุนควรรู้ว่าตัวเองเป็นนักลงทุนประเภทไหนก่อน เป็นนักเก็งกำไรซื้อมาขายไป หรือ นักลงทุนที่มองอนาคตของธุรกิจ
พอเรารู้สไตล์ตัวเองแล้ว ก็ถึงมากำหนดช่วงเวลาที่จะถือครองหุ้นว่าจะถือยาว ถือสั้นประมาณไหน
ในการเลือกซื้อหุ้น เราก็ต้องหาข้อมูลหุ้นตัวที่จะซื้อด้วยนะครับ ว่าสไตล์การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเป็นอย่างไร
โดยอาจจะพิจารณาจากรูปแบบกราฟในอดีต

หุ้นในตลาด มักมีการเคลื่อนไหวของราคาอยู่ไม่กี่แบบ หลักๆก็จะมี 3 แบบ

หุ้นพื้นฐาน( หมายถึงพื้นฐานดีนะครับ ไม่ใช่ราคาอยู่ที่ฐาน ) ธุรกิจดีจริงอะไรจริง ราคาก็มักจะไต่ระดับไปได้เรื่อยๆอย่างมั่นคง อาจมีปรับฐานบ้าง แต่ภาพโดยรวมมันยังคงดูเป็นขาขึ้นเรื่อยๆ ไปช้าๆแต่ชัวร์



ส่วนบางตัวพอถึงเวลาวิ่ง ( อาจเป็นเพราะมีข่าวดีมากระทบ หรือ รูปแบบกราฟเป็นใจ ) ก็วิ่งเป็นกระทิงเชียว ทำกำไรให้มากมายในเวลาสั้นๆ พวกเก็งกำไรจะชอบหุ้นสไตล์นี้มาก




แต่บางตัวขนาดเป็นช่วงขาขึ้น ยังค่อยๆนวยนาดกว่าจะไปได้แต่ละช่อง ลุ้นกันน้ำลายเหนียว-_-"
หุ้นที่มาแนวนี้ มักเป็นหุ้นที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ ไม่ค่อยมีวอลุ่ม ( คนไม่ค่อยซื้อๆ-ขายๆ )
กะดึ๊บๆ แบบนี้



แต่ถ้าพูดกันแบบวิชาการ เราสามารถแบ่งระยะเวลาในการถือครองหุ้นได้ 3 ระยะดังนี้ครับ

- ลงทุนระยะสั้น คือไม่เกิน 3 เดือน

- ลงทุนระยะกลาง ตั้งแต่ 3 เดือนจนถึง 1 ปี

- ลงทุนระยะยาว 1 ปีขึ้นไป

สองแบบแรกอาจจะเรียกว่าเป็นการเก็งกำไรเอาส่วนต่างของราคาครับ ส่วนแบบที่สามนั้นถือว่าเป็นการหวังเอาเงินปันผลและกินส่วนต่างของราคาหุ้น ที่เพิ่มขึ้นด้วยครับ

จากนั้นเราควรกำหนดเงินที่จะลงทุน และกำหนดผลตอบแทน วิธีง่ายๆเวลาตั้งเป้าผลกำไรจากหุ้น ก็คือคิดเป็นเปอร์เซนต์จากเงินลงทุนของเรา เช่น กะว่าปีนี้ควรจะได้ผลตอบแทนสัก 5% 10% ฯลฯ


3) เปิดบัญชีหุ้น

ผู้ที่จะเล่นหุ้นทุกคน ต้องมีบัญชีหุ้นเป็นของตัวเองเพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของในการสั่งซื้อสั่ง ขายหุ้นครับ โดยเราอาจเทรดผ่านมาร์ หรือผ่านอินเตอร์เนตด้วยตัวเองก็ได้
ผู้เล่นหุ้น 1 คนสามารถเปิดได้หลายบัญชีจากหลายโบรกเกอร์ได้ด้วย

เราจะแบ่งประเภทของบัญชีหุ้นเป็น 2 แบบคือ แบบเงินสด กับ Margin (กู้มาเล่นหุ้น) แต่สำหรับมือใหม่ จะขอพูดถึงแค่บัญชีเงินสดอย่างเดียวนะครับ
บัญชีเงินสดยังแบ่งได้เป็น 2 บัญชีคือ Cash กับ Cash Balance

Cash เป็นบัญชีที่เราเทรดหุ้นก่อน แล้วค่อยจ่ายทีหลัง โดยทางโบรกเกอร์จะพิจารณาวงเงินที่เหมาะสมให้ โดยดูจากเงินในบัญชีเรานั่นเองครับ

Cash Balance เป็นบัญชีที่เราต้องฝากเงินไว้กับโบรกเกอร์ก่อน แล้วเราก็เทรดไปตามจำนวนเงินที่เราฝากไว้
บัญชีแบบนี้จะเหมาะกับคนที่มีเงินลงทุนไม่มาก ลักษณะของบัญชีนี้ก็จะคล้ายๆกับบัตรเดบิตอ่ะครับ
โดยทั่วไปนักลงทุนที่เปิดบัญชีแบบ Cash Balance สามารถเริ่มต้นเล่นหุ้นได้ตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป

หลังจากเปิดบัญชีหุ้นแล้ว เราสามารถเทรดซื้อขายหุ้น ได้ 2 ทางคือ
1.เทรดผ่านมาร์
2.เทรดออนไลน์ด้วยตัวเอง


4) ปัจจัยที่มีผลกระทบกับตลาดหุ้นไทย

1 ภาวะตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน
ก่อนจะเปิดตลาดในภาคเช้าของแต่ละวัน ตลาดหุ้นไทยมักจะขึ้นลงตามตลาดหุ้นเมืองนอก เช่น ตลาดหุ้นดาวโจนส์ของอเมริกา หรือตลาดหุ้นของโตเกียว ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ เช่น ถ้าตลาดหุ้นของรอบๆบ้านเราสดใส

2 การขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม
ดูจากตัวเลข GDP ถ้าตัวเลขโตขึ้นแสดงว่าสินค้าบ้านเราขายได้มากขึ้น หุ้นที่เราถืออยู่ก็อาจมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้ GDP เปลี่ยนแปลงมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนของเอกชน ของภาครัฐ ภาคผู้บริโภค ส่งออก นำเข้า ฯลฯ

3 อัตราดอกเบี้ย
มักคิดกันง่ายๆว่า เมื่อดอกเบี้ยขึ้น คนก็ไม่ต้องมาเสี่ยงเล่นหุ้น เพราะฝากธนาคารก็ได้ดอกเบี้ยมากแล้ว
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ย จะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัทด้วย ซึ่งอาจมีผลทำให้กำไรของบริษัทนั้นๆลดลงได้

4 อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
เมื่อเงินบาทแข็งค่า ก็หมายความว่าคนไทยใช้เงินน้อยลงในการเอาไปแลกกับดอลลาร์
การที่ต่างชาติซื้อของเท่าเดิมแต่ต้องใช้ดอลลาร์มากขึ้น
อาจทำให้ต่างชาติลดคำสั่งซื้อจากไทยลง แล้วหนีไปซื้อจากประเทศอื่นที่แข่งขันกับไทยอยู่ก็ได้
อย่างกรณีนี้ บริษัทที่ทำเกี่ยวกับการส่งออกก็จะได้รับผลกระทบเต็มๆ ก็อาจส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัทนั้นร่วงลงมาได้บ้าง

5 นโยบายการคลัง
นโยบายของรัฐที่มีต่อการคลังก็มีส่วนบ้างเล็กน้อยต่อการขึ้นลงของหุ้นครับ ยกตัวอย่าง ถ้ารัฐบาลมีนโยบายรายรับในเชิงรุกนั่นแสดงว่ารัฐบาลต้องการเพิ่มรายได้ ก็จะไปขึ้นภาษีซึ่งจะมีผลต่อภาคธุรกิจ บริษัทที่เราถือหุ้นอยู่ก็อาจจะต้องจ่ายภาษีมากขึ้น
กำไรก็จะได้น้อยลงเพราะเขาต้องเอาเงินไปจ่ายภาษีก่อนที่จะเอามาจ่ายเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น

6 การเมือง
การเมือง จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นหลายๆแบบ อย่างถ้าเป็นช่วงที่การเมืองรุนแรง มีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นในประเทศ
มันจะทำลายบรรยากาศในการลงทุน และชาวต่างชาติก็จะไม่อยากเข้ามาลงทุนในไทย


แก้ไขโดย: kaisel
วันที่: 14 ตุลาคม 2558 @ 11:48:28

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 29/09/2015 @ 19:41:07 : "เริ่มเล่นหุ้นต้องรู้เทคนิคอะไรบ้าง”
5) เลือกซื้อหุ้น

บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีเป็นร้อยๆบริษัท แต่ละบริษัทก็มีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกัน ผลกำไร การดำเนินงานก็แตกต่างกัน ฯลฯ



ก่อนที่เราจะซื้อหุ้น เรามีหลักในการวิเคราะห์ว่า หุ้นตัวไหนดี หรือไม่ดียังไง โดยเราสามารถวิเคราะห์ได้ 2 แบบดังนี้ครับ
1. วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
2. วิเคราะห์ทางเทคนิค

**การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน**
วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ก็ยังแยกออกเป็นเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณด้วยครับ

วิเคราะห์เชิงคุณภาพ

เป็นการดูความสามารถของบริษัทในด้านต่างๆที่ไม่เกี่ยวกับตัวเลข เช่น การวิจัยพัฒนา ความสามารถของพนักงานผู้บริหาร
ความสามารถด้านการผลิต การบริการต่างๆ

สิ่งต่างๆเหล่านั้น เราดูเพื่อให้รู้ว่าผู้บริหารบริษัทนั้นน่าเชื่อถือเพียงใด ที่เขาเคยให้ข่าวว่าจะดำเนินธุรกิจได้กำไรเท่านั้นเท่านี้
เขาทำได้จริงตามที่พูดหรือไม่

อีกวิธีที่จะแนะนำให้ลองคือ เข้าไปอ่านรายงานประจำปี 56-1ของแต่ละบริษัท ซึ่งในรายงานนี้จะบอกความเคลื่อนไหวในการทำงานของบริษัท
ว่ามีอะไรเพิ่มเติม ลดลง หรือเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง โดยเข้าไปที่เวบไซต์ www.set.or.th


คลิกที่ ข้อมูลบริษัท/หลักทรัพย์ > ตราสารทุน > ข้อมูลรายบริษัท/หลักทรัพย์

แล้วเลือกชื่อย่อหุ้นของบริษัทที่เราอยากจะดูครับ




หน้าตาของ 56-1 ก็จะเป็นแบบนี้




วิเคราะห์เชิงปริมาณ


เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากตัวเลขในงบการเงิน งบดุล งบกำไรขาดทุน ฯลฯ ให้ออกมาเป็นอัตราส่วนต่างๆทั้งในอดีตและปัจจุบัน
เพื่อให้รู้ถึงกำไรและเงินปันผลที่จะได้รับในอนาคต

ค่าตัวเลขที่นักลงทุนควรจะสนใจคือ


ค่า P/E


ย่อมาจาก Price (ราคาหุ้น) หารด้วย Earning per Share ( EPS= กำไรต่อหุ้น )


เป็นตัวเลขที่ใช้ดูว่าเราลงทุนไปกี่ปีจึงจะถึงจุดคุ้มทุน


เช่น หุ้น Aมีราคา 10บาท/หุ้น บริษัทนี้สามารถทำกำไรทั้งปีได้ 2 บาท/หุ้น ก็จะได้ค่า P/E เท่ากับ 5 เท่า ( 10/2 )


อธิบายได้ว่าถ้าบริษัท A ยังทำกำไรได้ปีละ 2 บาทต่อหุ้นอย่างต่อเนื่องประมาณ 5 ปี จึงจะถึงจุดคุ้มทุนคุ้มค่ากับที่เราลงทุนไปครับ


สำหรับค่า P/E ที่น่าสนใจลงทุนก็คือ ค่า P/E ต่ำๆครับ ยิ่งต่ำกว่า 5 ก็ยิ่งดี แต่ทั้งนี้ เราต้องดูผลประกอบการย้อนหลังสัก 3-5 ปี
ด้วยนะครับว่ามีผลการดำเนินงานดีต่อเนื่องหรือเปล่า


ค่า P/BV

BV คือ Book Value เป็นมูลค่าทางบัญชีชนิดหนึ่งใช้เพื่อดูว่าราคาหุ้น ณ เวลานั้นเกินมูลค่าทางบัญชีแล้วหรือยัง

ถ้าราคาหุ้นเท่ากับมูลค่าทางบัญชี ค่า P/BV ก็จะเท่ากับ 1 และถ้าค่านี้ยิ่งมากก็แสดงว่าราคาหุ้นได้ลอยขึ้นไปสูงเกินมูลค่าทางบัญชี แล้วครับ

ดังนั้น ถ้าบริษัทมีผลการดำเนินงานดีต่อเนื่องและค่า P/BV ต่ำกว่า 1 ก็จะเป็นหุ้นที่น่าสนใจมาก


แต่หากว่าผลการดำเนินงานของบริษัทย่ำแย่มาตลอด ถึงค่า P/BV ต่ำแค่ไหนก็ไม่น่าสนใจอ่ะครับ ( กรณีที่ไม่มองปัจจัยอื่นๆนะ )


ค่า ROE


ย่อมาจาก Return on Equity ( กำไรสุทธิหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น )

ค่า ROE นี้จะบอกว่าเงินลงทุนในส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้น บริษัทสามารถเอาไปสร้างผลตอบแทนได้ในอัตราเท่าใด


ค่า ROA


ย่อมาจาก Return on Assets ( กำไรสุทธิหารด้วยสินทรัพย์รวม )

ค่า ROA จะเป็นการมองถึงความสามารถในการหากำไรของฝ่ายจัดการจากการใช้สินทรัพย์รวม

ทั้งค่า ROE และ ROA ยิ่งมากยิ่งดีครับ ยิ่งสูงกว่า 12-15% ต่อปี ติดต่อกัน 3-5 ปีก็ยิ่งดีมั่กๆๆ


สรุปง่ายๆคือ

P/E ยิ่งต่ำกว่า 5 ยิ่งดี
P/BV ยิ่งต่ำกว่า 1 ยิ่งดี
ROE ยิ่งสูงยิ่งดี
ROA ยิ่งสูงยิ่งดี

แล้วเราจะไปหาข้อมูล P/E P/BV ฯลฯ ได้ที่ไหนอ่ะ ??


เมื่อเราต้องการทราบข้อมูลต่างๆที่จำเป็นในการวิเคราะห์หุ้น สามารถเข้าไปดูได้ที่เวบ www.settrade.com ครับ

โดยเข้าไปที่ "สรุปข้อมูลกลุ่มอุตสาหกรรม"




แล้วคลิกที่ "เลือกกลุ่มของหลักทรัพย์"



เราอยากดูข้อมูลของหุ้นตัวไหน ก็เลือกคลิกที่หุ้นตัวนั้นได้เลยครับ ง่ายมาก ^^

ตอนต่อไปเราจะมาว่ากันถึงการดูกราฟเบื้องต้นนะครับ โปรดติดตาม


 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 29/09/2015 @ 19:56:52 : "เริ่มเล่นหุ้นต้องรู้เทคนิคอะไรบ้าง”
6) ว่าด้วยเรื่องกราฟ

ในตอนนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องของการวิเคราะห์หุ้นในทางเทคนิคนะครับ ^^

เกี่ยวกับกราฟ
1. กราฟ คือการจดบันทึกสถิติการซื้อขายหุ้นในช่วงเวลาหนึ่งๆ ซึ่งมันจะสะท้อนถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆเกี่ยวกับบริษัท
โดยราคาในตลาดจะถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของหลักทรัพย์ อธิบายให้เห็นภาพง่ายๆก็คือ
หุ้น บ.A มีผลประกอบการดีมากๆ คนก็เลยอยากจะซื้อหุ้นตัวนี้ แต่คนที่ขายหุ้น บ.A ในราคาตลาดมีไม่มาก
เพราะใครๆก็อยากจะถือหุ้นตัวนี้เหมือนกัน แต่บางทีก็มีคนที่ตั้งขายหุ้น บ.A ไว้ราคาแพงๆ
เมื่อคนขายมีน้อยกว่าคนซื้อ คนที่อยากซื้อ เลยยอมซื้อหุ้น บ.A ในราคาแพงๆ ราคาหุ้นจึงสูงขึ้นตามหลักอุปสงค์อุปทานนั่นเองครับ

2. ราคาของหุ้นจะเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวแบบมีแนวโน้ม ( ขึ้น หรือ ลง ) และแนวโน้มจะเปลี่ยนเมื่ออุปสงค์อุปทานเปลี่ยน

3. ประวัติศาสตร์ย่อมซ้ำรอยเสมอ เป็นกฏอย่างหนึ่งของกราฟหุ้นครับ กล่าวคือ ลักษณะของราคาหุ้นที่เกิดขึ้นในอดีต จะเกิดซ้ำอีกในอนาคต

มาทำความรู้จักกราฟกันครับ

จะขอแนะนำกราฟที่เราใช้กันบ่อยๆ เป็นที่นิยมในแวดวงนักวิเคราะห์นะครับ (จะใช้อันไหนก็ได้ ) ปัจจุบันมี 2 แบบคือ

กราฟแท่งเทียน Candle Stick




และกราฟ Bar Chart




ความหมายของกราฟแท่งเทียน



ความหมายของกราฟBar Chart




เราอาจจะสงสัยว่า แล้วดูกราฟไปเพื่อ ? คำตอบของการดูกราฟก็คือ เพื่อใช้เป็นตัวบอกทิศทาง แนวโน้มราคาหุ้นในอนาคต
พูดง่ายๆก็คือ ดูกราฟ เพื่อทำนายอนาคตราคาของหุ้นตัวนั้นๆ นั่นเอง


และวิธีที่จะบอกแนวโน้มของราคาหุ้นก็คือ ลากเส้นแนวโน้มในกราฟตามรูปตัวอย่างข้างล่างครับ





แนวโน้ม ( trend) คือทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นว่าจะไปในรูปแบบไหน ซึ่งก็มีทั้ง


ทิศทางสูงขึ้น ( Uptrend)



เป็นช่วงที่หุ้นมีแรงซื้อเข้ามามาก ราคาปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ



ทิศทางลดลง ( Downtrend)


เป็นช่วงที่มีแรงขายเข้ามามาก ราคาค่อยๆปรับลดลง




และทิศทางไม่แน่นอน ( Sideways)



เป็นช่วงที่แรงซื้อแรงขายใกล้เคียงกัน ราคาไปไหนไม่ได้ไกล


ถ้าราคาหุ้นหลุดออกจากกรอบแนวโน้ม ก็เป็นไปได้มากว่า หุ้นกำลังเปลี่ยนแนวโน้มครับ

เช่น ราคาหุ้นอยู่ในกรอบ Uptrend มาหลายเดือน แล้ววันนี้ ราคาหุ้นดิ่งทะลุเส้นแนวโน้มลงมา
ก็อาจจะมองได้ว่า ราคาหุ้นได้หมดช่วง Uptrend แล้ว แต่ทั้งนี้ก็ต้องเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น
อีกสักระยะประกอบไปด้วยนะครับ


ตอนนี้เราได้ทำความรู้จักกับกราฟพอสมควรแล้ว

เราจะมาลงรายละเอียดเกี่ยวกับกราฟอีกนิดครับ ^^

ในแวดวงหุ้น คำว่า "ประวัติศาสตร์ย่อมซ้ำรอยเสมอ " เป็นเรื่องที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริงครับ นั่นรวมถึงรูปแบบกราฟด้วย


บางครั้งการเคลื่อนไหวของกราฟก็มีรูปร่างแปลกๆที่น่าสนใจครับ ดังนั้นเราควรจะมาทำความรู้จักว่า กราฟมีรูปแบบไหนบ้างกันเถอะครับ


กราฟแบบ Head and Shoulder

ชื่อเหมือนยี่ห้อแชมพู แต่ไม่ใช่นะครับ กราฟรูปแบบนี้ดูง่ายๆจะมี 3 ยอด โดยยอดตรงกลางจะสูงสุดตามรูปครับ



ตรง Neckline (ตรงหยักที่ดูเหมือนหุบเขา) ทำหน้าที่เหมือนเป็นเส้นแนวรับ ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่าเส้นนี้ถือเป็นสัญญาณขายหุ้น

เพราะมีแนวโน้มว่าราคามีโอกาสจะลดลงอีกครับ


กราฟแบบ Head and Shoulder หัวกลับ

รูปทรงเหมือนกับ Head and Shoulder ธรรมดาครับเพียงแต่กลับหัวลง


ถ้าราคาทะลุเส้น Neckline ขึ้นไปก็มีโอกาสที่หุ้นจะกลับตัวขึ้นครับ




กราฟแบบ Double Top

จะมีจุดยอด 2 จุดที่ราคาใกล้ๆกัน ลักษณะกราฟคล้ายตัว M ถ้าราคาหุ้นหลุดเส้น Neckline ลงมาหุ้นก็มีโอกาสที่จะร่วงลงอย่างรวดเร็วครับ




กราฟแบบ Double Bottom

จะมีจุดต่ำสุด 2 จุดที่ราคาใกล้ๆกัน ลักษณะกราฟคล้ายคัว W ถ้าราคาหุ้นทะลุเส้น Neckline ขึ้นไปโอกาสที่หุ้นจะวิ่งขึ้นก็มีมากครับ





กราฟแบบ Triple Top

กราฟแบบนี้จะคล้ายๆ Double Top เพียงแต่มียอด 3 ยอดครับ




กราฟแบบ Triple Bottom

เป็นกราฟที่มีจุดต่ำสุด 3 จุด ถ้าราคาหุ้นทะลุ Neckline ขึ้นไปได้ หุ้นก็มีโอกาสที่จะวิ่งขึ้นแรงครับ




กราฟแบบ Cup with Handle

รูปทรงก็เหมือนกับถ้วยกาแฟ แล้วก็มีหูจับตามรูปเลยครับ ถ้าราคาหุ้นทะลุเส้น Neckline ( ขอบถ้วย) ขึ้นไปได้ ราคามักจะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วครับ




จริงๆยังมีรูปแบบกราฟนอกเหนือจากนี้อีกหลายแบบครับ แต่สำหรับมือใหม่เอาคร่าวๆแค่นี้ก็พอครับ ^^

ปล. เราจะเห็นว่า กราฟจริง กับรูปแบบในทางทฤษฎีมันอาจจะไม่ได้เหมือนกันเป๊ะๆ เวลาเราดูกราฟ เราต้องใช้จินตนาการช่วยด้วยนิดนึงครับ


เครื่องมือวิเคราะห์กราฟ MACD

MACD ย่อมาจาก Moving Average Convergence Divergence


มันเป็นเครื่องมือที่บอกจุดควรซื้อ - ควรขายของหุ้น ดูได้จาก ถ้าเส้นมีการตัดลงจะเป็นสัญญาณขายหุ้น


ถ้าเส้นตัดขึ้นไปก็เป็นสัญญาณซื้อหุ้น และถ้าเส้น MACD ตัดแนวเส้น 0 ขึ้นไปก็เป็นสัญญาณซื้อ


ถ้าเส้นตัดแนวเส้น 0 ลงมาก็เป็นสัญญาณขายเช่นกันครับ ดูตามรูปประกอบ






เครื่องมือวิเคราะห์กราฟ RSI

RSI ย่อมาจาก Relative Strength Index

เป็นตัวบอกทิศทางการเปลี่ยนแปลงของหุ้นครับ ถ้าเส้น RSI มีค่ามากกว่า 70 แสดงว่าราคาหุ้นมีการซื้อมากเกินไป Over Bought

ให้ระวังราคาหุ้นกำลังจะเปลี่ยนทิศทางครับ และถ้าเส้น RSI มีค่าต่ำกว่า 30 แสดงว่าราคาหุ้นมีการขายมากเกินไป Over Sold

ให้เราเตรียมตัวดูการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นครับ



การดูกราฟหุ้นจริงๆเราต้องดูหลายๆอย่างมาประกอบกันด้วยนะครับ ถ้าสามารถหาหนังสือที่สอนด้านนี้โดยตรงมาอ่าน จะได้รายละเอียดที่เจาะลึกมากกว่าครับ



แก้ไขโดย: kaisel
วันที่: 29 กันยายน 2558 @ 20:01:48
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#3 วันที่: 29/09/2015 @ 20:19:03 : "เริ่มเล่นหุ้นต้องรู้เทคนิคอะไรบ้าง”
7) เตรียมตัวก่อนเล่นหุ้นจริง

ก่อนจะลงมือเล่นหุ้นจริงๆ ก็อยากจะให้นักลงทุนทุกท่านเตรียมตัวเตรียมใจ รับมือกับสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ด้วยครับ ^^

- เตรียมใจรับความกังวล




ขอบอกว่าความรู้สึกตอนที่เล่นเกมหุ้น กับเล่นหุ้นจริงนั้นแตกต่างกันอย่างมากครับ
ตอนเล่นเกมหุ้นเราไม่ค่อยมีความกดดันอะไร เพราะเราไม่เสียอะไร เล่นแบบชิวชิว
แต่พอมาเล่นหุ้นจริง เราต้องเอาเงินของเราไปลงทุนในตลาดจริงๆ คราวนี้หล่ะครับ รวยจริง เจ๊งจริง !

บางคนเป็นคนที่มีความเครียดสูง ถ้าหุ้นที่ซื้อไว้เกิดราคาร่วงลงมา ก็อาจถึงกับทำให้นอนไม่หลับเชียวนะครับ
ดังนั้นเราควรเผื่อใจรับความเสี่ยงต่างๆที่จะเกิดขึ้นด้วย


-เตรียมรับมือกับปัญหา




เวลาเล่นหุ้น สิ่งไม่คาดฝันและอยู่เหนือการคาดเดาของเรามักเกิดขึ้นมาเสมอๆ


บางครั้งเราเลือกหุ้นมาอย่างดีแล้ว ดูทั้งปัจจัยพื้นฐาน ทั้งกราฟเทคนิค ว่าตัวนี้ดีสุดๆ แต่พอเราซื้อหุ้นตัวนี้ไปสักพัก


บริษัทที่ว่านี้กลับเกิดปัญหาร้ายแรงจนราคาหุ้นร่วงดิ่งเหว และไม่สามารถทำกำไรได้เหมือนเดิม


ตรงจุดนี้ เราต้องแก้เกมส์ด้วยการ ตั้งจุดตัดขาดทุน Cut Loss เอาไว้ครับ

บางคนอาจจะตั้งว่า ถ้าขาดทุนไป 5 % จะขายทิ้งให้หมด ซึ่ง %ที่จะ Cut Loss นั้นก็แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน


และที่สำคัญคือ ต้องมีวินัยในการ Cut Loss ด้วยนะครับ


คนส่วนใหญ่จะ Cut Loss ไม่ได้เพราะคิดเข้าข้างตัวเองว่า เดี๋ยวราคาหุ้นก็เด้งกลับขึ้นไป จนท้ายที่สุด

ราคาก็ลงมาต่ำจนตัดใจขายไม่ได้ซะแล้ว เฮ้อ



-เตรียมเลือกหุ้น




การเลือกหุ้นสักตัว จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ซึ่งก็แล้วแต่สไตล์การเล่นหุ้นของแต่ละคนด้วยครับ

บางคนเป็นประเภทชอบความเสี่ยงสูง แทงสูงแทงต่ำ แบบนั้นก็มักจะหาหุ้นที่มีข่าว หรือมีประวัติเป็นหุ้นปั่น

บางคนก็ชอบลงทุนที่ราคาปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ก็จะเลือกซื้อหุ้นเฉพาะหุ้นที่ราคาในตลาดอยู่ต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นมากๆ

( ราคาที่ควรจะเป็น สามารถพิจารณาจากบทวิเคราะห์ของแต่ละโบรกเกอร์ที่พิมพ์แจกให้ลูกค้าอ่านได้ครับ )

และสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ ผมก็อยากแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่ม SET50 หรือ SET100 ครับ


หุ้นที่อยู่ในกลุ่มทั้งสองนี้ คือหุ้นที่ตลาดหลักทรัพย์คัดเลือกมาแล้วว่า

- มีมูลค่าตามราคาตลาดที่สูง
- มีการซื้อ-ขายสภาพคล่องสูงสม่ำเสมอ
- มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยผ่านตามเกณท์

หุ้นพวกนี้จะเป็นหุ้นที่สภาพคล่องสูง ( ซื้อขายง่ายเพราะมีหุ้นหมุนเวียนเยอะ) แม้ราคาหุ้นจะไม่หวือหวาเหมือนหุ้นตัวเล็กๆ

แต่ก็มีความเสี่ยงน้อยกว่าด้วยครับ

สำหรับรายชื่อหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม SET50 , SET100 สามารถเข้าไปเลือกชมได้ที่เวบ www.set.or.th ครับ

เสพข่าวหุ้น ควรระวัง !




โดยปกติแล้ว คนเรามักจะสนใจข่าวลือจากวงในมาก (Insider) เพราะเชื่อว่ามันเป็นข่าวที่ผู้บริหารบริษัทหรือเจ้าของธุรกิจนั้นๆ


จะทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับธุรกิจนั้นจริงๆ ซึ่งโดยหลักการแล้วเขาจะไม่แพร่งพรายข่าวลักษณะนี้ออกมาเพราะจะทำให้เกิดความสับสนได้


บางครั้งบางทีคนที่ปล่อยข่าวอาจจะไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยข่าวก็ได้ อย่างเช่น เวลาเขาไปงานเลี้ยงสังสรรค์ก็อาจจะมีหลุดปากเผลอพูดออกมา เช่น


ผู้ดูแลโครงการของบริษัท X พูดให้เพื่อนฟังว่า " บริษัทกำลังจะมีโปรเจคต์อันนี้ออกมา คาดว่าจะสร้างเซอร์ไพรซ์ครั้งใหญ่ให้วงการ "


เมื่อคนแรกได้ยินก็เอาไปเล่าให้คนที่สองฟัง คนที่สองก็เล่าให้คนอื่นๆฟัง ข้อมูลมันก็ย่อมจะมีการบิดเบือนจากคนหนึ่งไปสู่คนหนึ่ง


จนข่าวที่กระจายออกมาสู่สาธารณะชนภายนอกอาจจะไม่เหมือนที่ผู้ดูแลโครงการบริษัทX ได้พูดไว้ในครั้งแรกก้ได้

นอกจากนี้ก็ยังมีข่าวปลอมด้วยนะครับ เช่น รายใหญ่ที่กำลังติดหุ้นตัวหนึ่งอยู่ ขายหุ้นก็ไม่ออกเพราะสภาพคล่องน้อยเกินไป


เขาก็เลยปล่อยข่าวปลอมเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง รายย่อยได้ข่าวดี( ปลอม) นี้มาก็แห่กันเข้ามาซื้อหุ้นตัวนั้น


จนเจ้าของบริษัทตัวจริงต้องออกมาปฎิเสธข่าวในภายหลัง สร้างความเสียหายให้นักลงทุนที่ตกเป็นเหยื่อเป็นอย่างมาก


ดังนั้น คนที่ปล่อยข่าว Insider ออกมา อาจจะไม่ใช่เจ้าของบริษัทตัวจริงก็ได้


ดังนั้นหลังจากที่เราได้บริโภคข่าวสารต่างๆเกี่ยวกับหุ้นมาแล้ว เราควรจะกรองข่าวด้วยนะครับ



หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการกรองข่าว


1. ดูว่าพื้นฐานของบริษัทนั้นจริงๆแล้วทำธุรกิจอะไร


2. ดูว่าบริษัทนั้นมีความสามารถในการทำกำไรได้มากน้อยยังไงบ้าง

อย่างเช่น ถ้าบริษัทออกข่าวว่ามีกำไรขึ้นมา เราก็ต้องดูว่าหุ้นนั้นเป็นหุ้นแบบ Turn Around หรือเปล่า


หุ้น Turn Around หมายถึง บริษัทนี้อาจจะทุ่มเงินลงทุนไปกับเครื่องจักรโรงงานอะไรสักอย่างเป็นเวลานานจนผลประกอบการติดลบ

แต่สักพัก พอติดตั้งเครื่องจักรอะไรเสร็จ ก็เร่งขายสินค้าจนขายได้เป็นจำนวนมาก จากเดิมที่ผลประกอบการติดลบ ก็กลายเป็นมีกำไรอย่างรวดเร็ว


หุ้นแบบนี้จะเป็นหุ้นที่นักลงทุนให้ความสนใจมากครับ

นอกจากนี้ เมื่อเราได้รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทมา เราควรจะพิจารณาว่า กำไรที่เห็นนั้นเป็นกำไรที่ได้มาจากการขายสินค้าหรือเปล่า

หรือว่าเป็นกำไรพิเศษ เช่น ระดมทุนเพิ่มเติม , ขายที่ดินได้ ฯลฯ เหล่านี้เป็นกำไรพิเศษที่ไม่ใช่กำรปกติของธุรกิจหลักที่ทำอยู่


3. วิเคราะห์เนื้อข่าวก่อน

ลักษณะปกติของการพาดหัวข่าว เขาก็มักจะพาดหัวให้เว่อร์ๆเพื่อดึงดูดความสนใจคนอ่านไว้ก่อน เช่น

" บริษัทเตรียมเจ๊ง กำไรพุ่งพรวด 800% !!" อ่านดูเผินๆก็อาจจะคิดว่าบริษัทนี้ทำกำไรได้มากมายมหาศาล

แต่ในความเป็นจริงก็คือ ปีที่แล้วบริษัทเตรียมเจ๊งขาดทุนขั้นมโหฬารแทบจะล้มละลาย แต่มาปีนี้พลิกล็อคทำกำไรขึ้นมาได้ในระดับปกติ

แบบนี้ก็ลวงตาทำให้ดูเหมือนกำไรพุ่งแรงได้เหมือนกันครับ

อีกกรณีก็เช่น มีการปล่อยข่าวว่า หุ้นตัวนี้ราคาถูกมาก มีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นไปอีก แต่จริงๆแล้ว หุ้นตัวนี้อาจจะไต่ระดับขึ้นมานานแล้ว

และกำลังเตรียมตัวจะร่วง ถ้าเราเพิ่งรู้ข่าวแล้วเข้าไปรับหุ้น ก็อาจทำให้เราติดหุ้นได้ครับ



8) โปรแกรมหุ้นออนไลน์


ในตอนนี้จะอธิบายเกี่ยวกับโปรแกรมหุ้นออนไลน์อย่างคร่าวๆนะครับ ส่วนวิธีใช้งานจริงๆเกี่ยวกับการเทรดหุ้นออนไลน์โดยละเอียดนั้น


ผมขอข้ามนะครับเพราะโปรแกรมเทรดหุ้นของแต่ละโบรกเกอร์จะไม่เหมือนกัน


ดังนั้นถ้าเราไม่เข้าใจการใช้งานโปรแกรมตรงไหน เราต้องถามมาร์เกตติ้งนะครับ


หน้าตาโปรแกรมหุ้นออนไลน์


เมื่อเราเปิดบัญชีแบบออนไลน์กับโบรกเกอร์เรียบร้อยแล้ว เราจะได้รหัสผู้ใช้งานกับรหัสผ่าน มา


เพื่อเข้าไปใช้งานในส่วนต่างๆที่เกี่ยวกับหุ้น เช่น เทรดหุ้นออนไลน์ , ติดตามดูหุ้น ฯลฯ


ในที่นี่ผมขอยกตัวอย่างของ Asiaplus นะครับ




พอเราเข้าระบบเรียบร้อยแล้ว ให้เราเข้าในส่วนของการดูหุ้น ( ASP Liberty ) มันก็จะมีหน้าต่างสำหรับดูหุ้นโผล่มาครับ

ดูทางด้านซ้าย จะเห็นว่ามีแถบเมนูมากมายเรียงเป็นตับเลยครับ Quote , Warrants , Futures ฯลฯ

เดี๋ยวจะอธิบายเฉพาะอันที่สำคัญๆก็แล้วกันนะครับ


เมนู Quote

จะเป็นหน้าต่างที่แสดงรายละเอียดทั้งหมดของหุ้นที่เราเฝ้าดู ( อยากดูหุ้นตัวไหน ก็กรอกชื่อหุ้นลงในช่องเลยคับ)

มันจะบอกความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ว่าเปลี่ยนแปลงบวกหรือลบไปกี่สตางค์ , กี่บาท กี่เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับราคาปิดเมื่อวาน

มีช่องที่มีฝั่ง Bid และ Offer มีช่องที่แสดงว่า มีการซื้อขายในราคาหุ้นหนึ่งๆไปแล้วกี่หุ้น

มีกราฟคร่าวๆของหุ้น และดัชนีโดยรวมว่าตลอดทั้งวัน ราคาหุ้น , ดัชนี ปรับตัวขึ้นลงยังไงบ้าง






Bid และ Offer คืออะไร?

Bid คือ ราคาเสนอซื้อ Offer คือราคาเสนอขาย อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือ

คนที่ไม่มีหุ้นแล้วอยากได้หุ้นตัวนี้ ก็จะไปตั้งซื้อหุ้นในช่องฝั่ง Bid เพื่อรอคนที่จะขายหุ้น ขายลงมาให้เรา

คนที่มีหุ้นแล้วอยากขายหุ้นออก ก็จะไปตั้งขายหุ้นที่ช่อง Offer เพื่อรอคนที่อยากซื้อหุ้น ซื้อหุ้นเรา

ดูรูปเพื่อความเข้าใจประกอบด้วยนะคับ ( ทำไมมันพิมพ์ไม้เอก ไม่ติดหว่า แฮะๆ )



สีจะบอกถึงราคาว่าเป็นบวกหรือลบ เมื่อเทียบกับราคาปิดเมื่อวานนะครับ

สีเหลือง - คือราคาหุ้นเท่ากับราคาปิดวันก่อน

สีเขียว - คือราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจากวันก่อน

สีแดง - คือราคาหุ้นลดลงจากวันก่อน

ส่วนตัวเลขที่เห็นเยอะๆนั่นคือ จำนวนหุ้นในแต่ละช่วงราคาครับ ( Volume )



เมนู Multiple View


จะเป็นหน้าจอที่ จับตาดูความเคลื่อนไหวของหุ้น 2 ตัวพร้อมกันครับ โดยจะตัดลดรายละเอียดพวกกราฟระหว่างวันออก

เพื่อให้มีพื้นที่พอสำหรับหุ้นสองตัวครับ

เมนู 5Bid/5Offer

อันนี้จะแสดงราคาหุ้นพร้อมกันทีเดียว 6 ตัวเลยครับ เหมาะมากสำหรับคนที่ซื้อหุ้นไว้หลายๆตัว จะได้ติดตามดูราคาพร้อมๆกันเลย

เมนู Ranking

เป็นหน้าจอที่แสดงภาพโดยรวมในหลายๆแง่มุมของตลาดโดยวิธีเรียงตามลำดับครับ

มีทั้ง ดูว่าขณะนั้นหุ้นตัวไหนมีมูลค่าการเทรดสูงที่สุดในตลาด (Most Active) , หุ้นตัวไหนมีปริมาณหุ้นที่เทรดสูงสุดในตลาด (Volume)

ตลอดจนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสูงสุดในตลาด ( %Gain) หุ้นที่โดนเทกระจาดหนักที่สุดในตลาด (%Loss) และอีกสารพัดลองคลิ๊กๆดูเอาครับ




เมนู Chart

เป็นเมนูที่แสดงกราฟหุ้นครับ อยากดูกราฟหุ้นตัวไหนก็ใส่ชื่อเข้าไปเลย ปุ่มฟังค์ชั่นการใช้งานก็จะเรียงเป็นแถวอยู่ด้านบนครับ

เราสามารถเปลี่ยนกราฟเป็นแท่งเทียน หรือเป็นแบบChart ก็ได้ ดูกราฟในรอบ 1ปี 2ปี 5ปีก็ได้ ยืดกราฟ หดกราฟตามที่เราต้องการ

ใส่เทคนิคกราฟพวก MACD RSI ลงไปประกอบการดูหุ้นก็ได้ด้วยครับ




เมนูTicker

เป็นจอที่แสดงการซื้อขายหุ้นบนกระดานหลักครับ ตัวเลขจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเมื่อมีการซื้อขายหุ้น

เอาไว้สำหรับดูภาพโดยรวมของตลาดว่า ตอนนี้คนเขาเล่นหุ้นตัวไหนกันบ้าง ,ช่วงนี้หุ้นตัวไหนได้รับความนิยมมาก เป็นต้น



เมนูNews

จะแสดงข่าวสารที่เกี่ยวกับหุ้น บทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ต่างๆ ข่าวจากตลาดหลักทรัพย์ครับ



เครื่องหมายที่ต้องรู้

ในบางครั้ง จะมีเครื่องหมายแปลกๆติดห้อยอยู่ที่หลังชื่อหุ้น มันเป็นเครื่องหมายที่แสดงข้อมูลสิทธิประโยชน์ต่างๆครับ มีความหมายดังนี้


XD ย่อมาจาก Excluding Dividend
หมายถึง การไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผล ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราซื้อหุ้น PTT ในวันที่มีเครื่องหมายนี้โชว์อยู่ เราจะไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผล
ถ้าเราอยากได้รับเงินปันผล เราต้องซื้อหุ้น PTT ก่อนที่มันจะขึ้นเครื่องหมาย XD ครับ


XM ย่อมาจาก Excluding Meeting
หมายถึง การไม่มีสิทธิได้เข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท ( ถึงเรามีหุ้นไม่กี่หุ้น แต่ถ้าเราซื้อก่อนขึ้นเครื่องหมายนี้ เราก็มีสิทธิจะเข้าร่วมประชุม
ผู้ถือหุ้นได้เหมือนคนอื่นๆที่มีหุ้นเป็นล้านหุ้นเช่นกันครับ )


XR ย่อมาจาก Excluding Right
หมายถึง ไม่มีสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท


XW ย่อมาจาก Excluding Warrant
หมายถึง การไม่มีสิทธิได้รับ Warrant (ใบสำคัญแสดงสิทธิในการจองซื้อหุ้น)


XA ย่อมาจาก Excluding All
หมายถึง ไม่ได้สิทธิทุกข้อ


H ย่อมาจาก Trading Halt
หมายถึง หยุดการซื้อขายหุ้นชั่วคราว อาจเพราะมีข่าวสารที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น แต่ตลาดหลักทรัพย์ยังไม่ได้รับแจ้งจากทางบริษัทหุ้น
หรือบริษัทขอให้หยุดการซื้อขายเพื่อรอบริษัทแจ้งข่าวสารที่สำคัญก็ได้ครับ


SP ย่อมาจาก Trading Suspension
หมายถึง การห้ามซื้อขายหุ้นเป็นการชั่วคราว อาจมีสาเหตุจากการขึ้นเครื่องหมาย H แล้วทางบริษัทไม่สามารถชี้แจงตลาดได้
หรือบริษัทไม่สามารถส่งงบการเงินได้ทันตามที่กำหนด หรือ อาจมีเหตุร้ายแรงที่ส่งผลต่อการซื้อขายหลักทรัพย์


NP ย่อมาจาก Notice Pending
หมายถึง บริษัทมีข้อมูลที่ต้องรายงานตลาดหลักทรัพย์และอยู่ในช่วงรอข้อมูลจากบริษัท


NR ย่อมาจาก Notice Received
หมายถึง ตลาดหลักทรัพย์ได้รับการชี้แจงข้อมูลจากบริษัทนั้นแล้ว


NC ย่อมาจาก Non-Compliance
หมายถึง บริษัทหุ้นที่เข้าข่ายการถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์



หลังจากที่เปิดพอร์ตเป็นนักลงทุนแล้ว ควรจะ
- ให้ข้อมูลที่ตรงตามความเป็นจริงและปฎิบัติตามระบบกับโบรกเกอร์ เพื่อจะได้ให้คำแนะนำที่ดีและเหมาะสมจากโบรกเกอร์
- เก็บสำเนาเอกสารต่างๆ ไว้เป็นหลักฐาน และตรวจสอบความถูกต้องในเอกสารที่โบรกเกอร์จัดส่งให้อย่างละเอียด เช่น เอกสารสัญญา ใบยืนยันการซื้อขาย (ใบ Confirm) รายงานทรัพย์สินคงเหลือรายเดือน (Statement)
- วิเคราะห์การลงทุนอย่างรอบคอบ ไม่ลงทุนตามข่าวลือ ตามกระแส
- หาความรู้อย่างต่อเนื่อง ทั้งที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์ที่ลงทุน เศรษฐกิจ แนวโน้มและทิศทางการลงทุนในอนาคต
- ติดตามข้อมูลการดำเนินงานของบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ในฐานะผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของบริษัท
เข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้น ร่วมกิจกรรมการพบปะผู้ลงทุน (Opportunity Day)

สุดท้าย ผมได้รวบรวมเป็น 8 หัวข้อจากข้างบน หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุนหน้าใหม่
ลงทุนอย่างพอดี มีวินัยในการซื้อขาย และมีความสุข สนุกกับการเรียนรู้

"อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.krungsri.com"

แก้ไขโดย: kaisel
วันที่: 29 กันยายน 2558 @ 20:21:58
 กลับขึ้นบน
firstcy
สมาชิก

จังหวัด: นครราชสีมา
โพสต์: 64
#4 วันที่: 16/12/2016 @ 20:03:42 :
ขอบคุณมากๆครับ สาระน่ารู้

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com