April 27, 2024   1:05:36 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นพลังงานดัน SET หวนจ่อ 1800 ลุ้นหุ้นโรงกลั่นฝ่าสูตรราคาน้ำมันใหม่
 

thaihoon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 14,583
วันที่: 20/04/2018 @ 08:38:45
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ข่าวดีหลังปิดตลาดเป็นคิวของหุ้น PTT ที่แจ้งเตรียมเทรดบนพาร์ใหม่ 1 บาท ในวันอังคารที่ 24 เมษายน นี้ ตอกย้ำปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานตลอดทั้งวันที่ได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันโลกทำนิวไฮ สาเหตุตั้งแต่เรื่องความไม่สงบในตะวันออกกลาง จนมาถึงตัวเลขสต็อกน้ำมันของสหรัฐฯ ที่ลดลงมากกว่าคาด

กลุ่มพลังงานนำ SET index บวกโดดเด่นอีกครั้ง ปิดที่ 1,794.94 จุด เพิ่มขึ้น 23.38 จุด หรือ 1.32% โดยหลักทรัพย์ที่ผลักดันดัชนีมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ PTT ปิดที่ระดับ 580 บาท เพิ่มขึ้น 30 บาท หรือ 5.45% มีผลต่อดัชนีฯ 8.5337 จุด PTTEP ปิดที่ระดับ 133 บาท เพิ่มขึ้น 10.50 บาท หรือ 8.57% มีผลต่อดัชนี 4.1514 จุด และ PTTGC ปิดที่ระดับ 102.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.75 บาท หรือ 4.86% มีผลต่อดัชนี 2.1329 จุด


อย่างไรก็ดี มีเรื่องที่ยังคาใจนักลงทุนสำหรับหุ้นกลุ่มพลังงานในส่วนธุรกิจโรงกลั่น นั่นคือการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นที่จะรู้ผลในวันศุกร์ที่ 20 เมษายนนี้ ซึ่งหลายคนหวั่นกำไรหุ้นกลุ่มนี้จะถูกบั่นทอนจากที่คาดไว้เดิม


รายงานข่าวระบุว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) พิจารณาปรับสูตรน้ำมันหน้าโรงกลั่นใหม่ จากเดิมอ้างอิงตามตลาดสิงคโปร์ และบวกค่าพรีเมียม เช่น ค่าปรับปรุงคุณภาพน้ำมันและอื่นๆ เบื้องต้นคาดจะเปลี่ยนแปลงโดยยกเลิกค่าพรีเมียม เหลือเพียงอ้างอิงตามตลาดสิงคโปร์เท่านั้น ซึ่งมีเป้าหมายทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันหน้าสถานีบริการน้ำมันลดลงจากในปัจจุบัน โดยคาดว่าจะประกาศโครงสร้างใหม่ในการประชุม กบง. ในวันศุกร์ที่ 20 เมษายน นี้

"สุทธิชัย คุ้มวรชัย" นักวิเคราะห์กลุ่มพลังงาน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) บอกกับ Money Channel ว่า ยังไม่สามารถคาดได้ชัดเจนว่าการปรับสูตรราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นในรอบนี้จะกระทบกับผลประกอบการหรือไม่ จึงต้องรอเห็นโครงสร้างปรับสูตรใหม่ก่อน แต่โดยปกติแล้วการซื้อขายราคาซื้อขายหน้าโรงกลั่นมีบางส่วนที่ซื้อขายต่ำกว่าราคาอ้างอิงอยู่แล้วสะท้อนกลไกตลาด ซึ่งหากเป็นไปตามคาดโดยยกเลิกค่าพรีเมียม เหลือเพียงอ้างอิงตามตลาดสิงคโปร์เท่านั้น และยังซื้อขายกันแบบเสรีเช่นเดิม เชื่อว่าจะกระทบกับผลการดำเนินงานธุรกิจโรงกลั่นไม่มากนัก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กังวลคือถ้าโจทย์ของรัฐบาลต้องการปรับลดราคาน้ำมันขายปลีกหน้าสถานีบริการ คงต้องมาติดตามว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นอย่างไร เพราะราคาขายปลีกขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลักคือ ต้นทุนราคาหน้าโรงกลั่น ภาษี และค่าการตลาด

คุณสุทธิชัยมองว่าธุรกิจโรงกลั่นในปีนี้จะไม่เติบโตหวือหวาเหมือนในปีก่อน เพราะมีปัจจัยกดดันจากต้นทุนสูงขึ้น ทั้งจากราคาน้ำมันและ Crude Premiun ซึ่งเป็นสิ่งที่บั่นทอนค่าการกลั่น โดยมุมมองดังกล่าวไม่ได้นับรวมกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด อย่างเช่นในปีก่อนที่เกิดพายุเฮอร์ริเคนในสหรัฐฯ ทำให้ผู้ผลิตรายใหญ่หลายรายชะลอการผลิตน้ำมันออกสู่ตลาด

นอกจากนี้ แม้ว่าราคาน้ำมันจะทรงตัวสูง และส่งผลดีในแง่กำไรพิเศษจากสต็อกน้ำมัน แต่โดยความเห็นส่วนตัวแล้วอยากให้นักลงทุนมองว่ากำไรพิเศษจากสต็อกน้ำมันเป็นเพียงภาวะชั่วคราวเท่านั้น เพราะหากราคาน้ำมันปรับตัวลงในไตรมาสถัดไป ก็จะเกิดภาวะขาดทุนจากสต็อกน้ำมันเช่นกัน ไม่เหมือนกับในช่วงที่ราคาน้ำมันเป็นขาลง ซึ่งจะเห็นว่าหุ้นกลุ่มโรงกลั่นทำผลงานดี เพราะต้นทุนการผลิตลดลง มีผลต่อความสามารถทำกำไรได้ชัดเจนมากกว่า

ทางเมย์แบงก์ฯ มองหุ้นที่ถูกผลกระทบน้อยที่สุดหากรัฐปรับสูตรน้ำมันหน้าโรงกลั่น ได้แก่ PTTGC เพราะมีสัดส่วนกำไรจากโรงกลั่นน้อยที่สุดในกลุ่ม ส่วนหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ SPRC ที่มีธุรกิจโรงกลั่นทั้ง 100%

ด้านนักวิเคราะห์กลุ่มพลังงาน บล.เอเซีย พลัส ประเมินผลกระทบกลุ่มโรงกลั่นไว้ 2 กรณี คือ

*กรณีผู้ประกอบไม่ได้รับผลกระทบ หรือถูกกระทบเล็กน้อย เพราะปัจจุบันราคาหน้าโรงกลั่น ประกอบด้วย ราคาน้ำมันสำเร็จรูปอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเภทยูโร3 และต้องนำมาปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเพื่อเป็นประเภทยูโร 4 ที่ประเทศไทยใช้ในปัจจุบัน โดยค่าพรีเมียมที่จะถูกยกเลิก แบ่งเป็น ปรับปรุงคุณภาพน้ำมันคิดเป็นมูลค่า 3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ค่าขนส่งทางเรือ 2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ค่าประกันภัยน้ำมันหาย 0.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือราคาขายหน้าโรงกลั่น เป็นตลาดซื้อขายเสรีขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาอ้างอิงที่ประกาศไว้อยู่แล้ว จึงทำให้ถ้ามีผลกระทบเกิดขึ้นก็มองว่าเล็กน้อยเท่านั้น

*กรณีผู้ประกอบการถูกกระทบ หากผลการประชุมตัดสินให้รัฐบาลสามารถเข้าแทรกแซงราคาซื้อขายหน้าโรงกลั่นได้โดยไม่เป็นไปตามกลไกตลาดเสรีเหมือนกับในปัจจุบัน จะมีผลกระทบกับกำไรกลุ่มโรงกลั่นปรับตัวลดลงจากสมมติฐานเดิมที่อ้างอิงราคาตลาดที่แท้จริง โดยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบต่อกำไรมากที่สุด เป็นผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นในสัดส่วนมากที่สุด ซึ่งได้แก่ SPRC ที่มีสัดส่วนโรงกลั่นคิดเป็น 100% ของกำไรสุทธิ รองลงมาคือ BCP, ESSO, TOP, IRPC และ PTTGC

เอเซียพลัสสรุปผลกระทบต่อกำไรเฉพาะในปี 2561 ในกรณีรัฐบาลประกาศลดค่าพรีเมียมลงทุกๆ 1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จะฉุดกำไรให้ลดลงจากประมาณการเดิม ดังนี้
*BCP ลดลง 18.5%
*TOP ลดลง 13.2%
*IRPC ลดลง 5.8%
*IRPC ลดลง 3.4%

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com