ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 10 ม.ค.62 ปิด 1,587.63 จุด ลบ 2.87 จุด มีมูลค่า การซื้อขาย 53,524.26 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 902.47 ล้านบาท ขณะที่กองทุนในประเทศขายสุทธิ 2,023.50 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด BDMS ปิด 22.80 บาท บวก 0.10 บาท, CPALL ปิด 74 บาท บวก 1.50 บาท, PTT ปิด 48.75 บาท บวก 0.50 บาท, KBANK ปิด 180 บาท ลบ 6 บาท, AOT ปิด 66 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง

บล.เอเซียพลัสออกบทวิเคราะห์ผลกระทบหุ้นกลุ่มการแพทย์จากการควบคุมบริการของ โรงพยาบาล (รพ.) ว่า ในระยะสั้นจะยังไม่เห็นมาตรการออกมา แต่ระยะกลาง-ยาวเชื่อว่าจะต้องมีการกำหนดมาตรการควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์ที่สมเหตุสมผล เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เพื่อไม่ให้กระทบเรื่องคุณภาพ รพ. และไม่เป็นภาระผู้ป่วยมากเกินไป

ส่วนการควบคุมค่าบริการมองว่าเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมีปัจจัยอื่นๆ เช่น คุณภาพของ รพ. แต่ละระดับ (Segment) และความเชี่ยวชาญ/ ชื่อเสียงของแพทย์ และ รพ.ที่ต่างกันรวมอยู่ด้วย

ระยะยาวคาดว่า BDMS จะได้รับผลกระทบจำกัดสุด โดยฝ่ายวิจัยมองว่า กลุ่ม รพ.จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าที่ตลาดกังวล เนื่องจาก รพ. Premium ประกอบด้วย BDMS, BH และ PR9 มีการรักษาโรคที่ซับซ้อน ซึ่ง เป็นส่วนที่มองว่าจะหามาตรการควบคุมได้ยาก บวกกับมีการใช้ยาต้นแบบที่มีต้นทุนสูง ซึ่งโดยปกติจะบวกกำไรไม่มากอยู่แล้วในสัดส่วนที่สูงกว่า รพ.ทั่วไป

ขณะที่ รพ.ระดับกลางอย่าง BCH, CHG, LPH และ RJH ที่ยังเน้นรักษาโรคทั่วไปที่อาจได้รับผลกระทบ แต่ก็มีรายได้ราว 35-45% จากประกันสังคมที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ

โดยรวมมองว่า BDMS จะได้รับผลกระทบจำกัดสุดในระยะ ยาว บวกกับอำนาจการต่อรองบริษัทยาที่สูงกว่า เกิดการประหยัดจากขนาด จากการใช้ทรัพยากรร่วมกัน และต้นทุนยาสามัญในระยะยาวน่าจะลดต่ำลงกว่าคู่แข่งเนื่องจากมีโรงงานผลิตยาของตนเอง

หากมาตรการออกมา เชื่อว่า รพ.จะปรับตัว 2 ลักษณะ คือ การหาทางเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรจากส่วนอื่นๆ และการรักษาโรคซับซ้อนที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่า รวมทั้งการทำธุรกิจที่ใกล้เคียงอย่าง Wellness Clinic ที่ BDMS และ BH กำลังขยายตลาดนี้ นอกจากนี้ กลุ่ม รพ.ยังได้อานิสงส์จากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และแรงหนุนจากการเป็น Medical Hub อีกด้วย

ทั้งนี้ แนะนำ ซื้อ BDMS ให้ราคาพื้นฐาน 30 บาท ที่คาดว่าผลกระทบจำกัดสุดในระยะยาว!!


อินเด็กซ์ 51