ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 29 พ.ค. 62 ปิดที่ 1,619.36 จุด ลดลง 12.68 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 55,991.65 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,247.82 ล้านบาท แต่กองทุนในประเทศเทขายสุทธิหนักกว่า 4,651.55 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด SCC ปิด 448 บาท ลบ 12 บาท, BDMS ปิด 26 บาท ลบ 0.50 บาท, CPALL ปิด 79 บาท ลบ 1.50 บาท, BBL ปิด 195 บาท บวก 0.50 บาท และ SCB ปิด 128.50 บาท บวก 1 บาท

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงหลังเสร็จสิ้นการทำ MSCI Rebalance ปรับหุ้นในพอร์ตให้ได้ตามสัดส่วนการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยของ MSCI ล่าสุดเรียบร้อยแล้ว ตลาดก็กลับมาสู่ปัจจัยเดิมๆคือ กังวลกับสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯที่ยังไม่ชัดเจน รวมทั้งสถานการณ์การเมืองการจัดตั้งรัฐบาลของไทยที่ยังไม่นิ่ง

มีข้อมูลน่าสนใจจากฝ่ายวิจัยตลาดหลักทรัพย์ที่ระบุว่า บริษัทจดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์ และตลาดเอ็ม เอ ไอ ที่ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ ได้ใช้เครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง (Hedging tools) คือการบริหารรายได้กับรายจ่ายที่เป็นต่างประเทศให้สอดคล้องกันและการทำสัญญาซื้อขายต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contracts & Options)

และพบว่าในงบการเงินปี 61 บริษัทจดทะเบียนไทย 226 บริษัท ได้รายงาน “กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน” มีมูลค่ารวมสูงถึง 16,627 ล้านบาท โดยมีเพียง 4 บริษัทเท่านั้นที่ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน

และล่าสุดไตรมาส 1 ปี 62 พบว่า บริษัทจดทะเบียนไทย 211 บริษัท ได้รายงาน “กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน” มูลค่ารวมเกือบ 8,800 ล้านบาท

ส่วนการพิจารณาว่าจะมีการใช้เครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่ นั้น มี 3 ปัจจัยหลัก ที่ใช้พิจารณาเลือกเครื่องมือบริหารความเสี่ยง คือขึ้นอยู่กับความเสี่ยงหรือโอกาสทาง ธุรกิจของบริษัท ต้นทุนการบริหารความเสี่ยง ความสะดวกรวดเร็ว และขนาดของธุรกรรม!!

อินเด็กซ์ 51