*ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในช่วงขาดภูมิคุ้มกันมักแกว่งตัวผันผวนไร้ทิศทางเป็นประจำ จนนักเล่นเริ่มเกิดอาการท้อใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนั้น “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเผชิญเป็นประจำ และยากที่จะทำการหลีกเลี่ยงได้อย่างสวย ๆ จึงอยากให้แฟนคลับแยกแยะแต่ละเรื่องให้ชัดเจนกันไปเลย เพราะตอนนี้มีเรื่องอีนุงตุงนังพันกันไปหมดพะยะค่ะ

*หากไล่เรียงประเด็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละเรื่องจะเห็นว่า อิทธิพลของตลาดหุ้นต่างประเทศมีผลกับการขึ้นลงตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเป็นตัวแปรหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติถล่มเทขายไม่ยั้ง และถ้ารวมกับถ้อยคำของคนบ้าอำนาจอย่าง “ทรัมป์” ที่อยากจะพ่นน้ำลายอะไรออกมา ก็พล่ามไปเรื่อยเปื่อยแบบไม่หยุดหย่อน ส่งผลให้สถานการณ์หลายอย่างดูย่ำแย่ลงอีกครั้งไงล่ะคะ

*เมื่อนำปัญหาดังกล่าวมาผนวกกับข่าวระเบิด 3 แห่งแรกทั่วกรุงเทพฯ ย่อมเป็นแรงกดดันให้ดัชนีร่วงหล่นลงไปอีกเรื่อย ๆ แถมเมื่อเหลือบดูข่าวผลประกอบการที่ทยอยประกาศออกมาไม่ปังเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น “โมนิก้า” ย่อมมองเป็นตัวแปรที่ทำให้ดัชนีจมปลักอยู่บริเวณ 1,650 จุด ไปอีกนานเลยทีเดียว จึงอย่าแปลกใจที่ดัชนียืนปิดที่ 1,684.71 จุด ลบไป 15.04 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.20 หมื่นล้านบาท เพราะมันเป็นไฟต์ที่บีบให้ทุกคนทิ้งหุ้นหนีตายเจ้าค่ะ

*เหมือนกับในรายของหุ้น IVL ถูกถล่มเทขายแบบไม่เลี้ยง และน่าจะมีการขายต่อเนื่องอีกระยะหนึ่งนั้น “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความต้องการใช้พลาสติกลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งไซเคิลของธุรกิจอยู่ในช่วงขาลงทั้งโลก จึงเห็นราคาหุ้นไหลลงมาปิดที่ 38.75 บาท ลบไป 2 บาท หรือลงไป 4.91% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.30 พันล้านบาท มันเป็นจังหวะที่ต้องถอยห่างให้เยอะที่สุดนะจ๊ะ

*อีกหนึ่งรายที่นักเล่นต้องคิดให้ดีก่อนเข้ารับ “โมนิก้า” ขอพุ่งเป้าไปยังหุ้นโรงกลั่น TOP หลังราคาหุ้นโค้งตัวลงอย่างต่อเนื่อง แถมราคาน้ำมันในตลาดโลกทรุดตัวลงอีกครั้ง เดี๊ยนถึงสงสัยเหลือเกินว่า หุ้นมีโอกาสทิ้งตัวกลับลงไปบริเวณ 60 บาท อีกครั้ง หลังราคาหุ้นหลุดแนวรับสำคัญลงมาหมดทุกแนว จึงกังวลใจเหลือเกินที่เห็นหุ้นลงมายืนปิดที่ 67 บาท ลบไป 1.75 บาท หรือลงไป 2.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.43 พันล้านบาทนะคะ

*คล้ายกับกรณีของหุ้นบัตรเครดิต KTC มีประเด็นลบเกี่ยวกับการทำธุรกิจเยอะแยะไปหมด แถมโดนนักวิเคราะห์ปรับลดน้ำหนักออกมาเรื่อย ๆ “โมนิก้า” ถึงมองการยืนปิดที่ระดับ 46 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 1.08% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 993.33 ล้านบาท ยังไม่ใช่จุดที่แมงเม่าต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยง เพราะของมันเห็นกันเต็มสองลูกตาว่า โอกาสที่หุ้นจะไปต่อสวย ๆ ยากขึ้นกว่าเดิมแล้วเจ้าค่ะ

*ขนาดเสือนอนกินอย่าง AOT ยังถูกเทขายแบบไม่มีเยื่อใยไมตรี “โมนิก้า” ย่อมถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติอย่างแน่นอน และถ้ามองดูจากการโค้งตัวลงจากระดับ 76 บาท จนล่าสุดลงมายืนอยู่ที่ระดับ 70.75 บาท ลบไป 1 บาท หรือลงไป 1.39% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.80 พันล้านบาท กลายเป็นประเด็นที่ทำให้เชื่อว่า หุ้นมีโอกาสไหลลงมาหาฐานเก่าบริเวณราคา 68 บาท อีกครั้ง หากเอาไม่อยู่ก็จะไหลลงมายืนแถว 66 บาท นะจ๊ะ

*ส่วนรายที่ขยับขึ้นไม่ไหว และลงมามอบตัวเป็นที่เรียบร้อย “โมนิก้า” ขอชี้เป้าไปยังน้องมิ้น MINT โดนเทขายครั้งแล้วครั้งเล่า จนล่าสุดลงมากองอยู่ที่ระดับ 39 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 1.27% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.08 พันล้านบาท เดี๊ยนยังมองเป็นจุดที่นักเล่นต้องรอดูสถานการณ์ต่อไปอีกนิดหนึ่ง เพราะฐานแนวรับจริง ๆ ของหุ้นอยู่ที่บริเวณ 37 บาท การเข้าซื้อหุ้นจังหวะนี้อาจเร็วเกินไปหน่อยนะคะ

*ผิดกับในรายของหุ้นน้ำแข็งใส AU โดนเทขายจนร่วงลงมาทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 15 บาท แต่สุดท้ายเด้งขึ้นมาปิดทรงตัวที่ระดับ 16.60 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 52.25 ล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องเจ้ามือดี ประกอบกับแก๊งไม่มีการแตกแถว ส่งผลให้ราคาหุ้นกลับมาอยู่ในทิศทางที่ควรจะเป็นง่ายขึ้น วันนี้ถึงต้องมองไปข้างหน้าว่า หุ้นจะวิ่งขึ้นไปถึง 18-19 บาท เหมือนที่ลือกันไว้หรือเปล่า ?

*ปิดท้ายที่ AMA ทำตัวเป็นชาวสวน (กระแส) ล่าสุดดีดบวก ขึ้นมาปิดที่ระดับ 7.50 บาท บวกไป 0.25 บาท หรือ 3.45% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 21.15 ล้านบาท แรงผลักดันที่ทำให้หุ้นวิ่งแรงมีหลายแง่มุม ทั้งเรื่องของผลประกอบการไตรมาส 2 ที่จะออกมาแข็งแกร่ง และสัญญาณเทคนิคที่บ่งชี้ว่าเข้าเขต “Oversold” หลังโรยตัวมาหลายวัน จึงไม่แปลกใจที่เห็นการวิ่งแรงโดยไม่สะทกสะท้านอะไรทั้งสิ้น งานนี้หากทุกอย่างออกมาเป็นแบบที่ตั้งธงเอาไว้รับรองได้เห็นหุ้นวิ่งต่อชัวร์เจ้าค่ะ