*หลังจาก “โมนิก้า” ลองนั่งประเมินสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในรอบสัปดาห์พบว่า ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะผันผวน และมีความเป็นไปได้ที่ดัชนีจะ “กระชากขึ้นแรง” และ “กระชากลงแรง” เพราะตัวแปรที่ทำให้ดัชนีมีอาการเป๋ไปเป๋มา ล้วนมาจากอิทธิพลของตลาดหุ้นต่างประเทศแทบทั้งสิ้น ผนวกกับนักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ หันมาใช้กลยุทธ์เข้าทำเร็ว เพื่อความปลอดภัยในทรัพย์สิน จึงต้องดูการเล่นแบบวันต่อวันเจ้าค่ะ

*ฉะนั้นอย่าตีความว่าการเข้าซื้อสุทธิเป็นจำนวน 4.63 พันล้านบาท ของกองทุนตัวจี๊ดเป็นเรื่องที่น่ายินดี หรือแม้กระทั่งการขายหุ้นลดลงเหลือแค่ 345 ล้านบาทของฝรั่งตาน้ำข้าว อาจทำให้ทุกอย่างดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพราะก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้ว แต่สุดท้ายดันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักลงทุนดูกันยาว ๆ เพื่อเข้าใจความหมายของคำว่า “มันนี่เกม” พะยะค่ะ

*เหมือนกับการลงทุนในหุ้นบลูชิพในช่วงที่ผ่านมา หลายคนอาจมองว่าไม่คุ้มค่ากับการลงทุน แต่บางคนกลับมองว่าคุ้มค่าอย่างแน่นอนนั้น “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักลงทุนพิจารณาข้อมูลดังกล่าวจากแพตเทิร์นของหุ้นในระยะยาวมากกว่าระยะสั้น ๆ หากคิดว่า ตนเองถนัดเฉพาะรายการ “เล็กสั้น ขยันซอย” จะเล่นหุ้นตัวไหนก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าอยากลงทุนยาว ๆ ไม่ควรหวั่นไหวไปตามกระแสตลาดหุ้นนะคะ

*เนื่องจากการเด้งขึ้นของดัชนีมาปิดที่ระดับ 1,622.25 จุด บวกไป 29.73 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.44 หมื่นล้านบาท ล้วนมาจากบรรยากาศรอบด้านเอื้อต่อการซื้อหุ้นแบบสุดซอย ผสานกับหุ้นบลูชิพกลับมาอยู่ในโฟกัสของนักลงทุนสถาบันอีกรอบ “โมนิก้า” ย่อมมองเป็นเรื่องน่าแฮปปี้ที่แฝงไว้ด้วยความอันตราย เพราะนักเล่นกลุ่มนี้ได้ยกชั้นความ “โหด ดิบ เถื่อน” ของการเล่นหุ้นไทยขึ้นไปอีกขั้นแล้วน่ะซี

*สิ่งที่นักลงทุนต้องคิดถัดมาก็คือ แนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดีขนาดไหน ? หากออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ รับรองหุ้นวิ่งกระฉูดล้านเปอร์เซ็นต์ หากออกมาแย่กว่าที่คาดการณ์ รับรองหุ้นอืดทึดทือ ซึ่งเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหุ้น GULF กระชากขึ้นมาปิดที่ 172 บาท บวกไป 9.50 บาท หรือขึ้นไป 5.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.54 พันล้านบาท คือการวิ่งรับผลงานในอนาคตจะออกมาดีก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ

*อีกหนึ่งทางเลือกที่ “โมนิก้า” อยากให้นักลงทุนพิจารณาเป็นพิเศษ คงหนีไม่พ้นหุ้น BGRIM เพราะเมื่อดูทรงหุ้นจะเห็นว่า หุ้นปรับตัวขึ้นอย่างช้า ๆ และเมื่อรวมการถือมาตั้งแต่ต้นปี 2562 หุ้นตัวนี้ให้รีเทิร์นในระดับ 100% ด้วยการขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 52.50 บาท บวกไป 4.75 บาท หรือขึ้นไป 9.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.84 พันล้านบาท เดี๊ยนมองจากมุมไหน ด้านไหน ก็ค่อนข้างคุ้มค่ากับความเสี่ยง เพราะหุ้นมีเรื่อง growth เป็นแบ็กอัพไงล่ะคะ

*ขนาดหุ้นปิโตรเคมีไม่ค่อยมีสตอรี่อะไรใหม่ ๆ อย่างเช่น IVL ยังทะยานขึ้นอย่างเป็นล่ำเป็นสัน และเมื่อนับรวมจำนวนวันที่หุ้นทะยานขึ้นในช่วงที่ผ่านมาพบว่า สถานการณ์ของหุ้นแอบดีขึ้นเรื่อย ๆ คิดดูซิ..ตอนนี้หุ้นขึ้นมาปิดที่ 29.75 บาท บวกไป 1.50 บาท หรือขึ้นไป 5.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.06 พันล้านบาท ทั้งที่สัปดาห์ก่อนเพิ่งลงไปทำโลว์ที่บริเวณ 25 บาทมาหยก ๆ แสดงว่าอาการวิตกจริตหายเป็นปลิดทิ้งแล้วใช่ไหม ? วันนี้รู้ผลพะยะค่ะ

*ส่วนในรายของ AOT หุ้นสุดรักของ “โมนิก้า” มาแต่ไหนแต่ไร วันนี้ยังคงความสดใสซาบซ่าเหมือนเดิม ถ้าดูวันต่อวัน อาจไม่มีอะไรแจ่มแจ้งแดงแจ๋ก็จริง แต่ถ้าดูยาว ๆ จะเห็นว่า รีเทิร์นตอนนี้พุ่งขึ้นไปแตะระดับ 24.50% แถมมีอัตราเงินปันผลให้กับคนถือหุ้นทุกปี เดี๊ยนถึงอยากให้นักลงทุนหันมามองหุ้นตัวนี้ด่วนจี๋ เพราะแวลูที่กูรูสำนักใหญ่ ๆ เขามองไว้อยู่ที่บริเวณ 86 บาทกระมัง!..เดี๋ยวจะหาว่ามีอะไรดีแล้วไม่บอก..อิอิอิ

*เหมือนกับในรายของพ่อดอกมะลิ JAS สลัดคราบอาการโคม่าอย่างรวดเร็ว ทั้งที่วันศุกร์โดนถล่มขายแบบไม่ต้องร้องขอชีวิต ผนวกกับต้องเผชิญมรสุมข่าวลือมากมายหลายเรื่อง จนราคาหุ้นรูดลงไปติดฟลอร์อย่างง่ายดาย แต่วันนี้กลับเด้งขึ้นมาปิดที่ 4.90 บาท บวกไป 0.52 บาท หรือขึ้นไป 11.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.08 พันล้านบาท “โมนิก้า” คงพูดได้แค่ว่า “ลางเนื้อชอบลางยา” จึงขอไม่แสดงความคิดเห็นอะไรทั้งสิ้นเจ้าค่ะ

*เช่นเดียวกับในรายของ PSTC อุตส่าห์โชว์ฟอร์มสวยมาระยะหนึ่ง บวกกับสร้างโปรไฟล์เลิศอย่างไม่น่าเชื่อ จู่ ๆ กลับโดนเทขายแบบไม่บันยะบันยัง จนราคาหุ้นรูดลงมาปิดที่ 0.72 บาท ลบไป 0.04 บาท หรือลงไป 5.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 90 ล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นช็อตที่นักเล่นเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลอะไรบางอย่างได้เกิดขึ้นแล้ว จึงต้องเพลย์เซฟให้ได้มากสุดเท่าที่จะทำได้นะจ๊ะ