ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 11 พ.ย.62 ปิดที่ 1,622.12 จุด ลดลง 15.73 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 47,552.38 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 886.18 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด AWC ปิด 5.40 บาท ลบ 0.65 บาท, PTT ปิด 45.25 บาท ลบ 0.25 บาท, KBANK ปิด 148 บาท ลบ 4.50 บาท, IVL ปิด 31.50 บาท ลบ 1.50 บาท และ PTTGC ปิด 54 บาท ลบ 1.50 บาท

ตลาดหุ้นไทยกลับมาทรุดตัวลงอย่างหนัก หลังความไม่แน่นอนของสงครามการค้ากลับมารบกวนบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นทั่วโลกอีกครั้ง หุ้นกลุ่มหลักๆปรับตัวลงหมด ทั้งพลังงาน แบงก์และปิโตรเคมี

ขณะที่ราคาหุ้น บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป หรือ AWC ถูกเทขายกดราคาลงมาอย่างหนัก โดยมาปิดตลาดที่ระดับต่ำสุดที่ 5.40 บาท หลุดราคาจองซื้อ IPO ที่ 6 บาท เป็นครั้งแรก หลังสิ้นสุดการใช้โครงการกรีนชู หรือหุ้นที่จัดสรรไว้เกินจำนวน 1,043 ล้านหุ้น เพื่อคอยเข้าซื้อพยุงราคาหุ้นไปเมื่อวันศุกร์ที่ 8 พ.ย.62 ที่ผ่านมา

ขณะที่การประกาศหุ้นเข้าคำนวณดัชนี MSCI Global Standard ในรอบล่าสุด ไม่มีหุ้น AWC อย่างที่เคยมีการคาดการณ์ไว้

ภายใต้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นภาพรวมที่ไม่สดใส ตลาดหลักทรัพย์ก็พยายามฉวยจังหวะนี้เปิดข้อมูลที่เป็นด้านบวกของหุ้นไทย โดย “ศรพล ตุลยะเสถียร” รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์ เผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ณ สิ้นเดือน ต.ค.62 หุ้นไทยให้ปันผลสูงที่ 3.14%

แต่ P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดเอเชีย โดยมี Forward P/E ที่ 16.60 เท่า จากค่าเฉลี่ยที่ 14.9 เท่า โดยต่างชาติขายทำกำไรเกือบ 8 พันล้านบาท ในเดือน ต.ค. ลดลงจากเดือนก่อนหน้า ส่วนใหญ่มาจากการขายทำกำไร แต่สัดส่วนการถือครองของต่างชาติยังอยู่ระดับเดิมคือ 30% ขณะที่ต่างชาติยังมองหุ้นไทยน่าสนใจ เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และมี Story เช่น กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มท่องเที่ยว โรงพยาบาล เป็นต้น

มองช่วงที่เหลือของปีว่าหุ้นไทยยังน่าสนใจ มีปัจจัยหนุนจากการเข้าซื้อกองทุน LTF และกองทุน RMF ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินอีก 30,000 ล้านบาท และ MSCI ที่มีการเพิ่มหุ้นเข้าคำนวณดัชนีเพิ่มเติม แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ เรื่อง Trade War ที่ดูเหมือนจะคลี่คลายแต่ยังไม่จบปัญหา!!

อินเด็กซ์ 51