ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 18 พ.ย.62 ปิดที่ 1,608.00 จุด เพิ่มขึ้น 5.77 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 42,907.38 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 514.64 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด AOT ปิด 80.75 บาท บวก 0.75 บาท, CPALL ปิด 76.50 บาท ลบ 1.25 บาท, TRUE ปิด 4.44 บาท ลบ 0.12 บาท, PTT ปิด 44.50 บาท ลบ 0.25 บาท และ SCB ปิด 117 บาท ลบ 0.50 บาท

“ศรชัย สุเนต์ตา” ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลด้านการลงทุนและที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินดัชนีหุ้นไทยปี 63 ที่ 1,600-1,800 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุน หาจังหวะเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นที่ราคาปรับลงมามากจนต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน หรือ Laggard และควรเลี่ยงลงทุนตราสารหนี้เอกชนที่ไม่มีเรตติ้ง และให้ผลตอบแทนที่สูง แต่ควรเน้นลงทุนในตราสารหนี้เอกชนที่มีเรตติ้ง และนำเงินไปใช้เพื่อการลงทุนต่อยอดธุรกิจ

สำหรับตลาดหุ้นที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯในกลุ่มธุรกิจสุขภาพ ซึ่งมีราคาต่ำและให้ผลตอบแทนดี โดยรอเข้าลงทุนหลังมีความชัดเจนของนโยบาย Health care และลงทุนตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง ในหุ้นอสังหาและโครงสร้างพื้นฐานบางตัว

ส่วนสินทรัพย์ทางเลือกแนะลงทุนกอง REITs โดยให้รอและทยอยเข้าลงทุน เมื่อผลตอบแทนเพิ่มขึ้นอยู่ระดับ 5.4-6.0% ด้านสินค้าโภคภัณฑ์แนะนำลงทุนในตลาดน้ำมัน และเลี่ยงลงทุนในตลาดทองคำ!!

ด้าน “สุกิจ อุดมศิริกุล” กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อหุ้นไทยปี 63 มองหุ้นไทยมีความเสี่ยงจำกัด เพราะการลดประมาณการกำไรสุทธิ บจ. ปี 62 สิ้นสุดลงแล้ว ขณะที่กำไรสุทธิ บจ.มีโอกาสฟื้นตัวในปี 63 โต 11%จากปีนี้หดตัว 3% และปีก่อนหดตัว 1%

ปีหน้าหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นเกิดใหม่ แนะลงทุนหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคและการลงทุนในประเทศ เน้นหุ้นที่มีเงินปันผล ราคาไม่แพง และกำไรสุทธิยังเติบโตได้ เช่น กลุ่มค้าปลีก การแพทย์ นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น

และให้เริ่มทยอยเพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มวัฏจักร เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี หลังมูลค่าหุ้นลดลงมาสะท้อนความเสี่ยงไปพอสมควรแล้ว โดยให้เก็งกำไรระยะสั้น เนื่องจากผลประกอบการจะกลับมาฟื้นตัว ส่วนกลุ่มการแพทย์ และธนาคารลงทุนระยะยาวเพื่อรับปันผล!!

อินเด็กซ์ 51