ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,549.74 จุด ลดลง 24.17 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 53,908.69 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 4,831.61 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด BAM ปิด 17.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, BBL ปิด 151.50 บาทไม่เปลี่ยนแปลง GULF ปิด 161.50 บาท ลบ 10 บาท, GPSC ปิด 82.25 บาท ลบ 4.75 บาท และ PTT ปิด 43.50 บาท ลบ 0.50 บาท

หุ้นไทยดิ่งหนักกว่า 24 จุด มีแรงขายหนักจากต่างชาติและกองทุนในประเทศ ประเมินสถานการณ์การเมืองกดดัน ทำให้นักลงทุนหนีจากความเสี่ยงการเมืองที่เพิ่มขึ้น ขณะที่มีความกังวลว่า รัฐบาลอาจจะมีการออก พ.ร.ก.ควบคุมความสงบฯ เพื่อเข้ามาคุมสถานการณ์หากเกิดการชุมนุม

บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า สาเหตุที่หุ้นไทยปรับลงอย่างหนัก จากปัญหาการเมืองในประเทศเป็นหลัก กดดัชนีหลุดแนวรับแรกที่ 1,550 จุดไปแล้ว ทำให้มีโอกาสลงไปทดสอบแนวรับที่ 1,545 จุด มองปัญหาการเมืองเริ่มมีน้ำหนักและส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในและนอกสภาฯหลังเริ่มมีการชุมนุมเกิดขึ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนแต่หากมีการออก พ.ร.ก.ควบคุมความสงบ จะมีแรงขายออกมาหนักแน่นอน

แนะกลยุทธ์ลงทุนช่วงนี้แนะ Selective ในหุ้นรายตัวที่พื้นฐานดีราคาถูกมีปันผลสม่ำเสมอ

ปิดท้าย “ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ” รองกรรมการผู้จัดการ บล.บัวหลวง ประเมินหุ้นไทยปี 63 กรอบบนอยู่ที่ 1,686 จุด บน P/E 16.5 เท่า และกรอบล่างที่ 1,488 จุด บน P/E 14.5 เท่า มองหุ้นไทยดี แต่ยังให้ผลตอบแทนระดับต่ำ สะท้อนจาก 1 ปีที่ผ่านมานักลงทุนไม่มีผลตอบแทนจากการลงทุน หากไม่นับเงินปันผล

แนะนำสัดส่วนการลงทุนปีนี้ยังให้น้ำหนักที่ตราสารหนี้ 45% หุ้นไม่เกิน 15% กองทุนทองคำ 15% กองทุนอสังหาฯ 15% และอีก 10% เป็นการถือเงินสด

สำหรับตลาดหุ้นปี 63 เน้นน้ำหนักกระจายการลงทุนหุ้นต่างประเทศมากขึ้นในสัดส่วน 15% โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯที่ยังมีการเติบโตของผลตอบแทนอยู่ ตามด้วยหุ้นเอเชียที่สามารถกระจายการลงทุนมาได้ เช่น ตลาดหุ้นเวียดนาม และฮ่องกง

กลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีหน้าให้เทรดดิ้ง เมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นแตะกรอบบนให้ขายทำกำไร และ ดัชนีแตะกรอบล่างให้เข้าซื้อ โดยหุ้นในกลุ่มที่น่าลงทุนคือ กลุ่มอาหาร ปิโตรเคมี คอนซูมเมอร์ไฟแนนซ์ ท่องเที่ยว โรงพยาบาล และเลี่ยงหุ้นอสังหาฯ เกษตร ไอซีที ไฟฟ้า และธนาคาร!!

อินเด็กซ์ 51