ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 21 ม.ค.63 ปิดที่ 1,574.94 จุด ลบ 14.17 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 76,619.73 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 631.43 ล้านบาท ขณะที่กองทุนในประเทศขายสุทธิหนัก 6,875.91 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด BAM ปิด 24.70 บาท ลบ 1.80 บาท, AOT ปิด 72 บาท ลบ 2.25 บาท, SCB ปิด 100.50 บาท ลบ 1.50 บาท, BBL ปิด 147.50 บาท ลบ 2.50 บาท และ GULF 197.50 บาท ลบ 1 บาท

ตลาดปรับตัวลงต่อจาก Sentiment เชิงลบ นักลงทุนผิดหวัง งบการเงินกลุ่มแบงก์ที่ออกมาแย่กว่าที่คาด และความวิตกเกี่ยวกับโรคระบาดปอดอักเสบที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว กดหุ้นแบงก์และโรงแรมร่วง

ขณะที่ บล.ทรีนีตี้ โดย ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล จัดทัพนักวิเคราะห์ แนะนำนักลงทุนจัดพอร์ตลงทุนปี 63 รับการเข้าสู่ “ทศวรรษแห่งความเสี่ยง” ซึ่งเป็นยุคที่นักลงทุนจะหาผลตอบแทนได้ยากขึ้น จากภาระหนี้ท่วมโลก

ผลพวงจากการใช้มาตรการคิวอีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ที่ทำให้ราคาสินทรัพย์ ที่ดินทองคำและตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น แต่หนี้ท่วมโลก รวมทั้งหนี้ครัวเรือนไทยต่อจีดีพีที่สูงขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกและไทยที่อยู่ในภาวะชะลอตัว ทำให้ทั่วโลกยังคงต้องอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ

จึงแนะให้กระจายการลงทุน โดยลงทุนหุ้น 30% ตราสารหนี้ 30% ทองคำ 10% และถือเงินสด 20% เพื่อรอจังหวะซื้อสินทรัพย์ที่ราคาปรับตัวลง

ขณะที่มองหุ้นไทย ผันผวนในกรอบดัชนี 1,480-1,700 จุด ตลาดต้องเผชิญทั้งปัจจัยลบและบวก จึงจะเกิดการแกว่งตัวขึ้นลงผันผวน แต่ยังมีโอกาสในการลงทุน โดยต้องเลือกตัวหุ้น เพราะประมาณการกำไรหรือ EPS ตลาดยังไม่มีสัญญาณปรับขึ้น แต่หุ้นไทยจะมีแรงจูงใจ เรื่องเงินปันผล (Yield-Driven Market) ที่ดี

โดยคาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้นในช่วง 4 เดือนแรก ตามปัจจัยฤดูกาลของหุ้นปันผลสูง ก่อนที่จะปรับย่อตัวลงหลังจากนั้น

แนะนำลงทุนหุ้นปันผลเด่น หรือ SCC-ADVANC-BCP-PTT และ BBL!!

อินเด็กซ์ 51