ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 22 ม.ค.63 ปิดที่ 1,574.59 จุด ลดลง 0.35 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 72,912.96 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 92.78 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด BAM ปิด 26 บาท บวก 1.30 บาท, GPSC ปิด 96.25 บาท บวก 2.50 บาท, AOT ปิด 71 บาท ลบ 1 บาท, SCB ปิด 99.75 บาท ลบ 0.75 บาท และ BBL ปิด 151 บาท บวก 3.50 บาท

“ทรีนีตี้” ออกบทวิเคราะห์ กรณีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กำลังระบาดและเป็นปัจจัยกดดันให้หุ้นเอเชียปรับตัวลงรวมถึงหุ้นไทย ว่าผลของไวรัสโคโรนากระทบต่อการลงทุนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความกังวลและใกล้ช่วงเทศกาลตรุษจีน ทำให้นักท่องเที่ยวจากจีน ที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวสำคัญชะลอตัวลงได้ กระทบราคาหุ้นโรงแรม 3 ตัวหลัก อย่าง CENTEL, ERW, MINT รวมถึง AOT

ขณะที่ประเมินว่าหุ้นไทยรอบนี้ มีโอกาสปรับตัวอ่อนแอกว่าตลาดหุ้นเอเชีย เนื่องจากไทยเป็นประเทศแรกๆของโลกที่พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส ซึ่งจากการศึกษาของทรีนีตี้ช่วงการแพร่ระบาดของโรค SARS เมื่อปี 2545-46 พบว่าความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อกับการปรับตัว Underperform ของดัชนีประเทศนั้นๆมีความสอดคล้องกัน

โดยช่วงการระบาดของ SARS ครั้งก่อน กลุ่มท่องเที่ยวปรับตัว Underperform ตลาดมากที่สุด แถมมีการปรับตัวลงระหว่างทางมากที่สุด และยังเป็นกลุ่มที่ใช้เวลาฟื้นตัวนานที่สุดด้วย

การระบาด SARS ครั้งก่อน ราคาหุ้น 3 ตัวหลักในกลุ่มท่องเที่ยวอย่าง CENTEL, ERW, MINT ปรับตัวลงชัดเจน ลงไปต่ำสุดที่ 23%, 29%, และ 19% ตามลำดับ คาดว่าครั้งนี้คงไม่ต่างกับคราวที่แล้ว ที่สำคัญการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสรอบนี้ ดันมาเกิดขึ้นในช่วงเวลา High season ของการท่องเที่ยวอย่างช่วงตรุษจีนอีกด้วย

สำหรับช่วงเวลาที่น่าสนใจสำหรับการกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นท่องเที่ยว มองว่าจุดซื้อที่ดีที่สุดคือรอให้ WHO มีการประกาศควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้อย่างเป็นทางการก่อน คล้ายกับเหตุการณ์ครั้งก่อน ที่ราคาหุ้น CENTEL, ERW, MINT ต่างปรับตัวสูงขึ้นได้ถึง 30-60% ในช่วงเวลา 6 เดือนหลังจากการแพร่ระบาดของโรค SARS สิ้นสุดลง

ส่วนหุ้นที่พอเก็งกำไรได้ช่วงเวลานี้ คือกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งการแพร่ระบาดของ SARS รอบที่แล้ว เป็นกลุ่มที่ปรับตัว Outperform ตลาดได้มากที่สุด โดยให้ผลตอบแทนสูงถึง 76%...ตามนั้นเลย!!

อินเด็กซ์ 51