ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 27 ม.ค.63 ปิดที่ 1,524.15 จุด ลดลง 45.40 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 68,914.57 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,733.27 ล้านบาท กองทุนในประเทศขายสุทธิ 2,492 ล้านบาท โบรกเกอร์ขายสุทธิ 2,625.43 ล้านบาท

ส่วนรายย่อยสวนทาง ซื้อสุทธิ 7,850.89 ล้านบาท หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด AOT ปิด 68.75 บาท ลบ 2.75 บาท, PTT ปิด 43.50 บาท ลบ 1.75 บาท, BAM ปิด 26.75 บาท บวก 0.25 บาท, PTTEP ปิด 122.50 บาท ลบ 6 บาท และ CPALL ปิด 71.50 บาท ลบ 2 บาท


“วิน อุดมรัชตวนิชย์” ประธานกรรมการ บล. เคทีบี (ประเทศไทย) ให้กรอบดัชนีสัปดาห์นี้ที่ 1,520-1,550 จุด การระบาดของไวรัสโคโรนาและการเมืองในประเทศกดดันตลาด แนะกลยุทธ์ลงทุนว่า หุ้นส่วนใหญ่ที่ราคาอ่อนตัวลงมามากอาจมีแรงซื้อกลับ แต่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวอาจปรับตัวลงต่อได้ ถ้าสถานการณ์ไวรัสระบาดเพิ่มขึ้นแนะนำลงทุนหุ้น BDMS, CPF, COM7, LH, EA, TOA และ GUNKUL

บทวิเคราะห์ บล.เคทีบี ระบุว่า คาดว่า THG ได้ประโยชน์ระยะสั้น จากโรคระบาด เนื่องจากถือหุ้น รพ.ในจีน 58% (Weihai welly hospital) ที่จังหวัดซานตง ห่างจากเมืองอู่ฮั่น 1,000 กม. ส่งผลให้มีผู้เข้ามารับการตรวจรักษาจำนวนมาก รายงานล่าสุด ซานตงมีผู้ติดเชื้อ 40 ราย และเห่อนาน ที่อยู่ระหว่างอู่ฮั่นและซานตง มีผู้ติดเชื้อแล้ว 83 ราย

ส่วน บล.เอเซีย พลัส ชี้ว่า แม้การระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จะกดดันต่อหุ้นกลุ่มการบินรวมถึงกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรมเป็นหลัก แต่ยังมีกลุ่มหุ้นที่ Outperform ตลาด คือ หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลแบ่งเป็น 2 กลุ่ม 1.กลุ่มโรงพยาบาล เงินสด (BDMS, BH, PR9) จากกรณีฝุ่น PM2.5 จะสร้าง Upside ต่อประมาณการปี 63 ได้ บวกจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น

ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า BDMS ที่มีเครือข่าย รพ. ครอบคลุมทั่วประเทศมีโอกาสได้ประโยชน์มากสุด เช่นเดียวกับการระบาดของโรคปอดอักเสบที่เริ่มขยายวงกว้างมากขึ้นจะสร้างผลบวกมากกว่าผลกระทบ เนื่องจากกรณี BDMS มีฐานลูกค้าจีนราว 1% ขณะที่ BH อยู่ราว 3-4%

2.โรงพยาบาลประกันสังคม ประเมินว่ากำไร BCH, RJH และ CHG จะได้ประโยชน์การปรับเพิ่มค่าหัวประกันสังคม 9.3% เต็มที่ เติบโตโดดเด่น 17%, 28.7% และ 26.7% ตามลำดับ!!

อินเด็กซ์ 51