ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 29 ม.ค.63 ปิด 1,524.59 จุด เพิ่มขึ้น 11.33 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 64,211.39 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,758.28 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด AOT ปิด 69.50 บาท บวก 1.50 บาท, BAM ปิด 26.25 บาท บวก 0.25 บาท, PTT ปิด 43.50 บาท ลบ 0.25 บาท, GPSC ปิด 89 บาท บวก 0.75 บาท และ KBANK ปิด 133.50 บาท ลบ 2 บาท

ตลาดแกว่งตัวผันผวน ภายใต้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาที่แพร่กระจายมากขึ้นขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องวินิจฉัย ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 ไว้วินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ หลังมี ส.ส.เสียบบัตรแทนกันในการลงมติร่าง พ.ร.บ.

บล.เอเซียพลัสระบุว่า ประเมินได้ 3 กรณี คือ 1.เห็นว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 63 ไม่โมฆะ (กรณีดีสุด) 2.มีผลเฉพาะในบางมาตราที่มีปัญหาในเรื่องการกดบัตรลงคะแนนแทนกัน 3.เห็นว่าร่างฯ มีผลเป็นโมฆะทั้งฉบับ ถือเป็นกรณีเลวร้ายสุด!!

โดยรวมทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้ากว่าคาดการณ์เดิม ที่คาดจะเริ่มเบิกจ่าย ก.พ.63 ยิ่งล่าช้าเท่าใด ยิ่งกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากเท่านั้น และกระทบต่อเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนงบลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ถือเป็น Sentiment เชิงลบต่อหุ้นในกลุ่ม รับเหมาฯ, นิคมอุตสาหกรรม, วัสดุก่อสร้าง, ธนาคารพาณิชย์

ปิดท้าย KBANK จัดแถลงวิสัยทัศน์ประจำปี และแผนการเติบโตอนาคตว่า หลักๆเน้นที่การลงทุนด้านเทคโนโลยีและบุคลากร ใช้งบลงทุน 17,000 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีต่อจากนี้ มีแผนให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกัน ผ่านแพลตฟอร์มธนาคารทุกช่องทาง ขณะที่ 2Q63 เตรียมเปิดให้บริการสินเชื่อเต็มรูปแบบภายใต้ชื่อแบรนด์ LINE BK

ฝ่ายวิจัยมอง Cost to income ratio ปี 63 อยู่ที่ 46.6% เพิ่มจาก 45.3% จากปี 62 อยู่แล้ว บนสมมติฐานสินเชื่อโต 4% yoy โดยรวมจึงคงประมาณการกำไรสุทธิปี 63 ที่ 35,001 ล้านบาท (-10% yoy) อิง PBV ที่ 0.94 เท่า ได้ FV ที่ 169 บาท

ทั้งนี้ ยังคงคำแนะนำซื้อ เน้นทยอยสะสม สำหรับลงทุนระยะกลางขึ้นไป แต่ไม่เหมาะกับการลงทุนระยะสั้น!! มองราคาผ่านการปรับฐานไปพอสมควร ทำให้ valuation เริ่มน่าสนใจ มี PBV ที่ 0.75 เท่า และ PER ที่ 9 เท่า พร้อมคาด Div Yield ราว 3%.

อินเด็กซ์ 51