*จริง ๆ “โมนิก้า” เป็นหญิงสาวยุคใหม่ที่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติด้วยความเต็มใจ และพร้อมจะเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจเกินร้อย เพราะประสบการณ์ในชีวิตสอนให้รู้ว่า “ของใหม่” ย่อมดีกว่า “ของเก่า” (ยกเว้นน้ำพริกถ้วยเก่า ยังแซ่บถูกใจเสมอ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน) เดี๊ยนถึงไม่ชอบอะไรที่สุดโต่งมากเกินไป เพราะสุดท้ายมันจะย้อนกลับมาทำลายตัวเองนะจะบอกให้

*เหมือนกับเหตุการณ์แฟลชม็อบในรอบรั้วมหาวิทยาลัย “จุฬาฯ” ดันเกิดอุตริทำงามหน้าในเรื่องที่ไม่ควรทำ พร้อมกับกล่าวอ้างถึงประชาธิปไตยต้องเปิดกว้าง เพื่อรองรับสิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคล “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของพฤติกรรมที่เลวร้ายเกินจะรับได้ เพราะการแทนธงชาติในมหาวิทยาลัย พร้อมกับพยายามชักธงดำโดยไม่มีเหตุอันควร (แถมยังมีหน้าไปฟ้องเขาอีก) มันเป็นการลิดรอนสิทธิ์ของคนอื่นหรือเปล่า ?..ลองถาม “น้องทอน” ดูซิคะ

*ในเมื่อพวกตัวเองกล่าวอ้างเป็น “พลังบริสุทธิ์” แต่ดันไปทำเรื่องสุดแสน “อุบาทว์” ย่อมก่อให้เกิดกระแสตีกลับไปยังพรรคพวกที่อยู่ในแก๊งส้มหวานอย่างเลี่ยงไม่ได้ (คนจุดกระแส) “โมนิก้า” ถึงต้องถามกลับอีกครั้งว่า วันนี้คนส่วนใหญ่เขากังวล “ไวรัส” หรือ “ม็อบ” มากกว่ากัน ?..คำตอบที่ได้รับจากผู้คนในแวดวงตลาดหุ้นคือ ไวรัสชนะด้วยคะแนนท่วมท้น! เพราะมันเป็นเรื่องที่กระทบกับปากท้องของผู้คนทั้งประเทศนะหนู ๆ..เดี๊ยนถึงอยากให้ทุกคนคิดถึงส่วนรวมมากขึ้นอีกนิด แล้วทุกอย่างจะดูสวยงามตามครรลองของพลวัตเจ้าค่ะ

*คล้ายกับการดีดขึ้นของดัชนีทั่วโลกในคราวนี้ ล้วนเป็นผลมาจากความร่วมมือ เพื่อช่วยกันต่อสู้กับเชื้อร้ายโควิดที่กำลังแพร่ระบาด ซึ่งทำให้ผู้คนคาดหวังเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวในระยะอันใกล้ “โมนิก้า” ถึงไม่ขัดข้องอะไรเมื่อเห็นดัชนีวิ่งขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,375.02 จุด บวกไป 39.30 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.01 หมื่นล้านบาท แต่อยากบอกไว้นิดหนึ่งว่า ลงแล้วขึ้น..มันเกิดขึ้นมาแล้ว 3 รอบ แต่เป็นลักษณะลงแรงมากกว่าขึ้นแรง จึงอยากให้แฟนคลับติดตามดูกันว่า รอบ 4..มันจะมีอะไรแตกต่างจากก่อนหน้านี้ไหมเอ่ย ?

*เหมือนกับการวิ่งขึ้นของหุ้น TOP มาปิดที่ระดับ 45.25 บาท บวกไป 4 บาท หรือขึ้นไป 9.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.05 พันล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อมองในมุมของตัวเลขกำไรไม่น่าเกลียดจนเกินไป บวกกับหุ้นยังเทรดบนค่า P/E 13 เท่า รวมทั้งบุ๊กแวลูที่อยู่ในระดับ 58 บาท เท่ากับเป็นตัวเร่งให้กองทุนเข้ามาตะลุมบอนอีกยก ส่วนจะช่วยกันดันขึ้นไปได้ไกลขนาดไหน ? คงขึ้นอยู่กับบรรยากาศเป็นใจขนาดไหนเจ้าค่ะ

*ในเมื่อมองถึงสถานการณ์ของตลาดหุ้นเป็นหลัก “โมนิก้า” ย่อมเล็งเป้าไปที่หุ้น PTTGC เพื่อชี้ให้ทุกคนได้เห็นบุ๊กแวลูของหุ้นอยู่สูงถึงระดับ 64 บาท แต่ราคาหุ้นในกระดานกลับย่ำต๊อกต๋อยอยู่แค่ระดับ 42.75 บาท บวกไป 2.50 บาท หรือขึ้นไป 6.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.04 พันล้านบาท ย่อมเป็นจุดที่ทำให้เชื่อว่า หุ้นมีโอกาสขึ้นไปยืนเท่าบุ๊กอย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นวันไหน..เวลาไหน ต้องดูกันเอาเองนะคะ

*ส่วนรายที่ยังมีอาการไม่ค่อยสู้ดีอย่างหุ้น PLANB ถือเป็นช็อตที่นักเล่นต้องประเมินความเสี่ยงในการเคาะขวากันเอง เพราะการเด้งขึ้นมาปิดที่ 5.10 บาท บวกไป 0.10 บาท หรือขึ้นไป 2% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 228 ล้านบาท น่าจะเป็นการเทรดบนค่า P/E 26 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่สูงเกินไปในภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกยังอยู่ในช่วงชะลอตัว “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับใช้ข้อมูลหลายด้านมาประกอบไงล่ะคะ

*อีกหนึ่งกรณีที่ทำให้ “โมนิก้า” รู้สึกเป็นห่วงสุด ๆ คงพุ่งเป้าไปยังหุ้น AAV เป็นรายถัดไปในทันที เพราะในมุมของผลงานที่ออกมาย่ำแย่ มันทำให้ค่าตัวของหุ้นลดฮวบอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งผลงานปีนี้คงไม่มีอะไรเด่นสุด ๆ เดี๊ยนถึงมองการเด้งกลับขึ้นมาปิดที่ 1.50 บาท บวกไป 0.24 บาท หรือขึ้นไป 19% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 75 ล้านบาท น่าจะเป็นคำตอบของการเคาะสั้น ๆ มากกว่าลงทุนจริงจังนะตัวเอง!

*ยุทธวิธีเล่นสั้นดังกล่าวเชื่อมโยงไปถึงหุ้น PSTC อย่างมีนัยสำคัญเลยทีเดียว เพราะเป็นที่รับรู้กันทั่วไปแล้วว่า โดนฟอร์ซเซลล์! ซึ่งทำให้ผู้คนที่เกี่ยวข้องมองการตีกลับของราคาหุ้นขึ้นมายืนอยู่ที่ 0.41 บาท บวกไป 0.05 บาท หรือขึ้นไป 14% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 215 ล้านบาท ไม่ต่างอะไรไปจากการขึ้นเที่ยวก่อน! เดี๊ยนถึงอยากสะท้อนมุมมองของคนภายนอกมองมายังภายใน มันออกไปในทางติดลบเป็นส่วนใหญ่นะจะบอกให้