ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 16 มี.ค.63 ปิดที่ 1,046.08 จุด ลดลง 82.83 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 68,179.26 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 5,425.08 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด CPALL ปิด 60 บาท ลบ 1.75 บาท, BAM ปิด 15.60 บาท ลบ 2.50 บาท, PTT ปิด 26.25 บาท ลบ 1.75 บาท, AOT ปิด 50 บาท ลบ 6.50 บาท และ CPF ปิด 20.80 บาท ลบ 1.20 บาท

หุ้นไทยร่วงลงต่อ นอกจากความกังวลโควิด-19 แล้ว ยังตอบรับกรณีธนาคารกลางสหรัฐฯประกาศปรับลดดอกเบี้ยฉุกเฉินลงอีก 1% นักลงทุนมองว่าอาจเป็นสัญญาณเชิงลบ ที่สะท้อนมุมมองว่าเฟดประเมินเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากโควิดหนักมาก!!

“ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ แนะให้นักลงทุนสำรวจพอร์ตตัวเองหากรับความเสี่ยงและความผันผวนได้ต่ำ ให้ชะลอลงทุน ส่วนนักลงทุนที่ยังมีสภาพคล่อง

รับความผันผวนและความเสี่ยงได้ แนะเลือกซื้อหุ้นในจังหวะที่ดัชนีปรับตัวลงมาแรงด้วยความกลัว

ประเมินระดับดัชนีที่สะท้อนความกลัวของตลาดไว้ 2 ระดับ คือ ลงไปที่ดัชนี 970 จุด P/E 10.7 เท่า และระดับ 760 จุด ดัชนีปรับฐานใกล้เคียงกับช่วง Lehman crisis ที่ลดลง 57%

ให้นักลงทุนหาจังหวะการเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดปรับฐาน ได้แก่ หุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายของกองทุน SSF รูปแบบใหม่ที่จะออกมาเดือน เม.ย.นี้ คือ กลุ่มค้าปลีก CPALL, BJC กลุ่มสื่อสารที่มีเงินปันผลสูง เช่น ADVANC, INTUCH กลุ่มโรงไฟฟ้าที่ราคาปรับลงมาลึกมากแต่ยังมีความน่าสนใจจากรายได้ที่สม่ำเสมอ เช่น BGRIM, GPSC, GULF, EGCO และ RATCH
กลุ่มไฟแนนซ์ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง โดยเน้นไปที่ธุรกิจ AMC เช่น BAM กลุ่มอาหารที่เห็นการฟื้นตัวของกำไร เช่น CPF, TU

ส่วนทองคำ ยังถือเป็น Safe haven ที่น่าสนใจในภาวะตลาดผันผวน แนะเพิ่มลงทุนทองคำจากเดิม 5% เป็น 10% ของพอร์ตรวม

หลังราคาปรับฐานลงมาแรง ทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความน่าสนใจ เก็บสะสมมากยิ่งขึ้น

ส่วน บล.ทิสโก้ แนะเน้นหุ้นบริโภคในประเทศมีพื้นฐานที่ดี และมีโอกาสฟื้นตัวเร็ว ได้แก่ CPALL, INTUCH ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวหาจังหวะเข้าลงทุนได้ เพราะหากควบคุมการแพร่ระบาดได้ ราคาหุ้นจะกลับมาเร็ว หุ้นน่าสนใจ คือ AOT, BTS ขณะที่แนะเลี่ยงหุ้นกลุ่มธนาคารแม้ราคาจะต่ำลงมากแล้ว!!

อินเด็กซ์ 51