ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 23 มี.ค.63 ลดลง 102.78 จุด หรือลดลง 9.12% มีมูลค่าซื้อขาย 59,677.80 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 4,235.47 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด BAM ปิด 17.10 บาท ลบ 3 บาท, PTT ปิด 27.25 บาท ลบ 2.25 บาท, CPALL ปิด 58.50 บาท ลบ 0.75 บาท, GULF ปิด 138.50 บาท ลบ 17 บาท และ AOT ปิด 47.25 บาท ลบ 6.50 บาท

บล.เอเซียพลัส ปรับลดกำไรบริษัทจดทะเบียนลงอีก 6.07 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ปรับลดกำไรลงราว 4.3 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 20% มาอยู่ที่ 1.47 แสนล้านบาท ภายใต้เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว จึงปรับสมมติฐานให้อนุรักษนิยม โดยปรับอัตราการโตสินเชื่อแบงก์ใหญ่ (BBL, KBANK, KTB และ SCB) จากเดิมโต 3-4% yoy เป็นทรงตัวจากปีก่อน

ส่วนธนาคารที่เน้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ อย่าง KKP และ TISCO อ่อนตัว 5% yoy หลังยอดขายรถยนต์ในประเทศ 2M63 อ่อนตัว 12.7% yoy และยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งปีมีแนวโน้มลดลง 11% yoy ส่วน NIM อยู่บนสมมติฐานที่ กนง. จะลดดอกเบี้ย 0.5% ในปี 63 โดยทุกๆ 25 bps จะกระทบกำไรกลุ่มฯ 5% และการเพิ่มค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้ (ECL) กลุ่มฯ 10 bps ขณะที่ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานคงเดิม

กลุ่มโรงพยาบาล ปรับลดกำไรลงราว 1.2 พันล้านบาท จากการลดสมมติฐานรายได้ผู้ป่วยต่างประเทศที่บินมารักษาโดยตรงลง 30% (ช่วง ก.พ.-ก.ค.) และผู้ป่วยภายนอก (OPD) ลง 10% จากผู้ป่วยในประเทศที่มากขึ้น

กลุ่มค้าปลีกที่ไม่ได้ขายสินค้าจำเป็น (ยกเว้น CPALL, BJC และ MAKRO) ถูกปรับลดกำไรลงเล็กน้อย 4 ร้อยล้านบาท เนื่องจากหน้าร้านถูกปิดชั่วคราว จากมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดขึ้น

กลุ่มขนส่งทางอากาศ ลดลง 1.5 หมื่นล้านบาท ต่อจำนวนผู้ใช้บริการทั้ง AOT ผู้ให้บริการสนามบินและสายการบิน (AAV, BA และ THAI) กระทบรายได้ค่าบริการลดลงสูงกว่าผลบวกจากต้นทุนน้ำมันที่ลดลง ขณะที่ต้นทุนน้ำมันปี 63 ที่บางส่วนซึ่งยังไม่ป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้าจะได้ประโยชน์จากการปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบของฝ่ายวิจัย

สรุปกำไรบริษัทจดทะเบียนถูกปรับลดลง 6.07 หมื่นล้านบาท เบื้องต้นเหลือ 7.93 แสนล้านบาท จากเดิม 8.54 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS 73.75 บาท/หุ้น (จากเดิม 79.62 บาท/หุ้น) แต่ตัวเลขยังไม่นิ่ง จะมีการปรับปรุงเพิ่มบางกลุ่มภายในสัปดาห์นี้ เพื่อสะท้อน Downside ของตลาด ได้ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด!!

อินเด็กซ์ 51