April 26, 2024   10:03:47 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > อนาคต PICNI น่ากลัว มีสิทธิติดบ่วงรีแฮปฯรอบ2
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 16/11/2005 @ 18:49:03
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

จับตา PICNI หลังขาดทุนไตรมาส 3 บักโกรก มองจากนี้โอกาสฟื้น
จะอยู่ที่ไหน ในขณะที่ล่าสุดสุวิมล ทองกร ขายหุ้นทิ้งอีก 6.95% คาด
ฟันกำไรประมาณ 30 ล้านบาท งานนี้อนาคตอาจไม่แน่นอนมีสิทธิอาจกลับ
ไปติดรีแฮปโก้อีกรอบได้ วงการ ชี้ ปลายปีนี้ยังมีภาระต้องจ่ายหนี้ระยะสั้น 4
พันล้านบาท ซึ่งยังต้องดูว่าบริษัทจะหาแหล่งเงินจากไหนมาใช้หนี้ ในขณะ
ที่มองผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจะทำให้ส่วนของทุนมีโอกาสติดลบได้ในอนาคต
เช่นกัน พร้อมเตือนอันตรายอย่าลงทุน[/color:9ac27a62dd">

หลังจากผลประกอบไตรมาสที่ 3 ของ บมจ. ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น (PICNI) ที่ประกาศออกมาและพบว่าบริษัทขาดทุนจำนวนมหาศาลถึง
1,423.83 ล้านบาท ทั้งที่ในช่วงเดียวกันของปีก่อนยังมีกำไรอยู่ 32.29
ล้านบาท ในขณะที่งวด 9 เดือนก็โชว์ตัวเลขขาดทุนถึง 1,321.88 ล้านบาท จากมีกำไร 182.86 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน ลดลงกว่า 800% จึงน่าจะทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจของผู้ถือหุ้นและนักลงทุนแล้วว่า
จากนี้ไปผลประกอบการของ PICNI จะเป็นอย่างไร เพราะเมื่อไตรมาส 3
ขนาดนี้แล้ว ไตรมาส4 บริษัทจะสามารถพลิกฟื้นกลับมาเป็นกำไรได้อย่าง
ไร เพราะมองแล้วโอกาสมีน้อยเหลือเกิน ในขณะที่ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาบริษัทเองก็มีปัญหารุมเร้าภายในตลอด ทั้งคดีฟ้องร้องผู้บริหาร ปัญหาการ
ชำระหนี้ตั๋วบี/อี ของบริษัท รวมไปถึงปัญหาสภาพคล่อง
ซึ่งแม้ว่า นายณัฐชัย อร่ามรัศมีวาณิชย์ กรรมการผู้จัดการของบริษัทฯ
จะเคยชี้แจงและยอมรับว่าบริษัทมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง แต่ก็ได้มีการ
เพิ่มทุนมาก็ชำระหนี้ตั๋วบีอีไปหมดแล้ว รวมทั้งขอปรับระยะเวลาชำระหนี้กับสถาบันการเงินไปเรียบร้อยแล้ว โดยโครงสร้างทางการเงินหลังออกหุ้นเพิ่ม
ทุนจากเดิมมีหนี้ 6.2 พันล้านบาท เงินเพิ่มทุนเข้ามาใหม่ 2.2 พันล้านบาทก็
จะลดหนี้เหลือ 4 พันล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นหนี้ระยะสั้น 1 พันล้านบาท ยาว 3 พันล้านบาท อีกทั้งยังมีกระแสเงินสดเพียงพอในการดำเนินงานด้วยในขณะ
ที่ก่อนหน้านั้นผู้บริหาร PICNI ยังยืนว่ากำลังออกหุ้นเพิ่มทุนและปรับเปลี่ยน
โครงสร้างทางการเงินทำให้บริษัทไม่มีปัญหาอะไร โดยคาดว่ายอดขายปลาย
ปีจะอยู่ที่ 20,000-22,000 ล้านบาท อีก 5 ปีข้างหน้ายอดขายน่าจะเพิ่มเป็น 50,000 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายน้ำมันเพิ่มเข้ามา และแอลพีจี รวมทั้งเอน
จิเนียริ่ง โดยสัดส่วนน้ำมันและก๊าซจะอยู่ที่ 90% วิศกรรม 10%
แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าผลประกอบการที่ออกมากับการให้สัมภาษณ์
ผู้บริหารยังไม่สามารถทำให้ผู้ถือหุ้นบริษัทเกิดความมั่นใจขึ้นมาได้แน่ เพราะหากบริษัทสามารถแก้ปัญหาไปได้บ้างแล้วก็ไม่ควรจะมีผลขาดทุนจำนวนมากดังกล่าว โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา บริษัทชี้แจงว่าการขาดทุน
ในงวด 9 เดือน ของบริษัทและบริษัทย่อยมีขาดทุนจำนวน 1,321.88 ล้าน
บาทซึ่งลดลง 1,504.75 ล้านบาท หรือคิดเป็น 822.85% เป็นผลมาจาก
1. ดอกเบี้ยจ่าย 238.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 145.25 ล้านบาทโดยสาเหตุของการเพิ่มเนื่องจากบริษัทได้มีการ
ขยายตัวทางธุรกิจอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2547เช่นการลงทุนในธุร
กิจค้ำน้ำมันปิโตรเลียมเหลว,ขยายธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีธุรกิจขนส่งเพิ่มขึ้นอีกด้วย จึงทำให้มีการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้น
2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล 85.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของ
ปีก่อนจำนวน 16.95ล้านบาทโดยสาเหตุของการเพิ่มเนื่องจากในปี 2547 บริษัทมีขาดทุนสะสมยกมาจากปีก่อน ๆ ซึ่งสามารถนำมาหักจากรายได้เพื่อคำนวณภาษีได้ ในขณะที่ในปี 2548 บริษัทต้องชำระภาษีจากกำไรเต็มจำ
นวนเนื่องจากผลขาดทุนสะสมดังกล่าวทั้งหมดได้ถูกนำไปหักกำไรในปี 2547 แล้ว
3. ขาดทุนจากการตัดจำหน่ายถังบรรจุก๊าซ บริษัทมีการบันทึกผลขาด
ทุนจากการตัดจำหน่ายถังบรรจุก๊าซประมาณ 1,000 ล้านบาท เนื่องจากราย
งานการประเมินของผู้ประเมินอิสระได้รายงานการประเมินว่ามูลค่าถังบรรจุ
ก๊าซต่ำกว่าที่บันทึกไว้เป็นสินทรัพย์ของบริษัทจำนวนประมาณ 1,000 ล้าน
บาท
4. บริษัทมีการบันทึกค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 362 ล้านบาท ซึ่งค่าเผื่อ
ดังกล่าวประเมินจากประสบการณ์รับชำระหนี้ของบริษัท
ซึ่งการชี้แจงดังกล่าวดูเหมือนจะไม่ทำให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นเกิด
ความเชื่อมั่นขึ้นมาได้เมื่อมองจากราคาหุ้นของ PICNI ที่ปรับตัวลดลงอย่าง
แรง หลังจากประกาศผลประกอบการออกมา อีกทั้งหากสังเกตุให้ดีราคาหุ้น
ของ PICNI นั้นไต่ระดับลดลงมาต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาแล้ว จากระดับราคากว่า 2 บาท มาอยู่ที่ราคาปิด 1.33 บาท ลดลง 0.04 บาท
เมื่อวานนี้(16พ.ย.) ซึ่งชี้ชัดได้ถึงความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนกับสถานะ
ของ PICNI ขณะที่ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายก็เริ่ม
ขายหุ้นออกมาเช่นกันและล่าสุดเมื่อวานนี้ กับการรายงานการขายหุ้นออกจำนวน 205,093,000 หุ้น หรือ 6.95% ของ น.ส. สุวิมล ทองกร พนักงาน
คนหนึ่งของบริษัทไทยซัมมิท ซึ่งรู้อยู่ว่ามีตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่ขายหุ้นออกมาอีกและอาจวิเคราะห์ได้ว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นของ PICNI ยังอาจจะทยอยขายหุ้นออกมาได้เรื่อยๆที่แสดงให้เห็นถึงสถานะที่อาจไม่ค่อยมั่นคงนักของบริษัทเมื่อรวมกับตัวเลขผลประกอบการที่บ่งชี้ถึงฐานะของบริษัทด้วยแล้ว จึงทำให้ภาพพจน์และความมั่นคงของ PICNIเริ่มน้อยลง
ถึงแม้ว่า น.ส.กุลชุลี สัจจะเวทะ ผู้รายงานการขายหุ้น PICNI ให้กับ
น.ส.สุวิมล ทองกร จะชี้แจงกับ efinancethai.com ว่า การขายหุ้นดังกล่าว
เป็นการขายทำกำไรธรรมดา ซึ่งการลงทุนในหุ้น PICNI ของน.ส.สุวิมลนั้นมีความชัดเจนตั้งแต่แรกว่าเป็นการลงทุนเพื่อแสวงหากำไร ดังนั้นเมื่อได้กำไรแล้วจึงขายหุ้นออกไปตามปกติ และไม่ได้มีนโยบายที่จะถือหุ้นเพื่อเข้าไปมี
ส่วนในการบริหารงานแต่อย่างใด อีกทั้งการลงทุนของ น.ส.สุวิมล เป็นการ
ลงทุนส่วนตัวที่ไม่มีความเกี่ยวพันกับตระกูล จึงรุ่งเรืองกิจแต่อย่างใดด้วย
แต่ก็ดูเหมือนว่าผู้ถือหุ้นกำลังเริ่มชิงขายหุ้นเพื่อไม่ต้องการแบกภาระในบริษัทอีกต่อไปหรือไม่ ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไป ซึ่งหุ้น PICNI ที่ขายออกไปดังกล่าวเป็นหุ้นเพิ่มทุนที่ได้ใส่เงินไปก่อนหน้านี้มีต้นทุนหุ้นละ 1.50 บาท ส่วน
การขายออกไปนั้นมีหลายราคา แต่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.65 บาท
โดยการขายหุ้นของ น.ส.สุวิมล ครั้งนั้น ผู้สื่อข่าวของ efinancethai.com คำนวณว่าน่าจะได้กำไรจากการขายหุ้นไม่ต่ำกว่า 30,763,950 บาท โดยคิดจากต้นทุนหุ้นละ 1.50 บาท จำนวน 205,093,000 หุ้นเท่ากับว่ามีต้นทุนรวมอยู่ที่ 307,639,500 บาท ส่วนราคาขายคิดเฉลี่ย
หุ้นละ 1.65 บาท เท่ากับว่าการขายหุ้นครั้งนี้ได้เงินประมาณ 338,403,450 บาท
ทั้งนี้ PICNI ได้กำหนดจ่ายค่าหุ้นเพิ่มทุนไปเมื่อปลายเดือน ก.ย.
2548 ที่ผ่านมา เท่ากับว่าการลงทุนครั้งนี้ใช้เวลาเพียง 1 เดือนครึ่งเท่านั้น
ยังไม่นับรวมการซื้อขายระหว่างทางที่ยังไม่ต้องแจ้งสำนักงาน ก.ล.ต.
เพราะฉะนั้นเมื่อประเมินทั้งจากตัวเลขผลประกอบการ หนี้ของบริษัท ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น 238.55 ล้านบาท จากการที่บริษัทได้มีการขยาย
ตัวทางธุรกิจอย่างมาก ทั้งธุรกิจค้ำน้ำมันปิโตรเลียมเหลว ก๊าซปิโตรเลียมทั้ง
ในและต่างประเทศ รวมถึงธุรกิจขนส่งนั้นที่บริษัทจำเป็นต้องกู้ยืมเงินจากการขยายการลงทุนดังกล่าวเพิ่มขึ้น จึงแสดงให้เห็นว่าจากนี้ไป PICNI อาจต้องอาศัยระยะเวลาพอสมควรกว่าที่จะคืนทุน หรือมีกำไรในบริษัทที่ขยายไปได้
เมื่อบวกกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงผันผวน และแนวโน้มชะลอตัวยังมีอยู่ ก็ยิ่ง
ไม่แน่ว่าการขยายธุรกิจจำนวนมาก ด้วยเงินมหาศาลนั้นจะทำให้บริษัทมีผล
การดำเนินงานที่ดีขึ้นได้เมื่อไหร่ ยิ่งเมื่อมองจากภาระหนี้สินในภาวะที่อัตรา
ดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นด้วยแล้ว ก็ค่อนข้างยากลำบากพอสมควรทีเดียวสำหรับ PICNI แม้ว่าล่าสุดบริษัทจะได้เจรจาขอยืดหนี้กับสถาบันการเงินไป
แล้วก็ตามแต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีความมั่นใจให้กับผู้ถือหุ้นรวมทั้งนักลง
ทุนได้ว่า PICNI จะฝ่ามรสุมครั้งนี้ไปได้หรือไม่
ในขณะที่ข่าวการเข้ามาลงทุนของปิโตรนาสก็ยังไม่มีข้อสรุป เป็นเพียงข่าวที่เข้ามาสร้างความคึกคักให้กับราคาหุ้นได้ชั่วคราวเท่านั้นเช่นเดียวกับสารพัดข่าวการซื้อกิจการบริษัทต่างๆในเอเซียด้วยเช่นกัน ที่แม้ว่าบริษัทจะ
แจ้งว่าอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ และอาจจะมีการลงนามในระหว่าง
1 - 3 เดือนนี้จากนี้นั้น ก็ยังไม่มีความแน่นอนเกิดขึ้นเพราะต้องขึ้นอยู่กับข้อ
ตกลงทางธุรกิจว่าจะสำเร็จหรือไม่ หรือแม้แต่การคาดคะเนว่าหากในอนาคต
การเพิ่มทุน 1,485 ล้านหุ้น ทำได้สำเร็จเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยจะส่งผลให้บริ
ษัทมีหนี้สินต่อทุนลดลงทันทีจากเดิมที่มีมากกว่า 2 เท่า เหลือ 0.6 เท่า ซึ่ง
จะสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นของบริษัทต่อสถาบันการเงิน
ผู้ถือหุ้น และนักลงทุน ดังนั้นจากสถานการณ์ทั้งหมด รวมถึงการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารแล้วบริษัทไม่สามารถพลิกฟื้นสถานภาพของตัวเองขึ้นมาได้ในระยะจากนี้เป็นต้นไปก็อาจมีสิทธิที่ตลาดหลักทรัพย์จะต้องกลับมาพิจารณาว่า
PICNI สมควรเข้าข่ายอยู่ในกลุ่มรีแฮปโก้อีกครั้งหรือไม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ PICNI ก็อยู่ในกลุ่มดังกล่าวมาก่อนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และการวางเป้า
หมายของผู้บริหารคนใหม่ที่ตั้งเป้าจะผลักดันให้ PICNI เป็น Energy Network
ของเอเชียอาคเนย์ ก็อาจไปได้ไม่ถึงฝั่งฝันเช่นกัน


* โบรกฯ จับตาปลายปีนี้จะหาเงินจากไหนใช้หนี้ 4 พันลบ.
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่ง กล่าวว่า หุ้น PICNI ถือเป็นหุ้นที่
มีความเสี่ยงและไม่น่าลงทุนแต่อย่างใด เนื่องจากปัจจุบันยังประสบปัญหาด้านลบหลายด้าน ทั้งในส่วนของหนี้สิน ผลประกอบการและการบริหารสภาพคล่องซึ่งในปลายปีนี้ทางบริษัทถึงกำหนดในการชำระหนี้ระยะสั้นที่เหลืออีกประมาณ 4 พันล้านบาท หลังจากก่อนหน้านี้ได้ทำการเพิ่มทุน 2 พันล้านบาทเพื่อแบ่งชำระคืนเงินกู้บางส่วนของจำนวนเงินกู้ทั้งหมดมูลค่ารวม 6 พันล้านบาท
ต้องจับตาดูว่าปลายปีนี้ทาง PICNI จะหาแหล่งเงินทุนจากไหนมา
จ่ายเงินกู้ที่ครบกำหนด หลังก่อนหน้านี้เพิ่มทุนไปแล้ว 2 พันล้านเพื่อโปะเงิน
กู้บางส่วนไปโดยประเด็นนี้ยังต้องจับตามอง เพราะถือเป็นปมปัญหาที่ PICNI
ต้องรีบแก้ไข
ทั้งนี้ หากทาง PICNI มีการชำระคืนหนี้ได้ทั้งหมด แนวโน้มธุรกิจ
PICNI จะเริ่มฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากตามพื้นฐานแล้วโครงสร้างการดำเนินงาน
ของ PICNI อยู่ในเกณฑ์แข็งแกร่ง และมีสาขาโรงบรรจุแก๊สจำนวนมากทำให้
มีโอกาสรับเงินสดเข้ามาต่อเนื่องเพียงแต่ปัจจุบันยังติดปัญหาเรื่องหนี้สินอยู่
อย่างไรก็ดี ธุรกิจแก๊สของ PICNI ถือว่าเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้น
ต่ำโดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยปีนี้เพียงไม่ถึง10% ขณะที่ส่วนแบ่งทางการ
ตลาดก็ยังต่ำอยู่ในระดับ 10% เช่นกันซึ่งเมื่อต้องหักลบรายการพิเศษด้าน
ค่าเสื่อมสินทรัพย์ต่างๆยิ่งมีผลกระทบฉุดให้ผลประกอบการรวมลดลง แต่หากในอนาคตหากมีการเปิดเสรีแก๊สอาจหนุนให้ธุรกิจ PICNI ได้ประโยชน์และเอื้อผลประกอบการดีขึ้น
ส่วนราคาหุ้น PICNI ที่ปรับตัวลดลงอย่างมากว่าเป็นผลจากแรงขายของนักลงทุนหลังบริษัทประกาศผลารดำเนินงานไตรมาส3/2548 ขาดทุน
สุทธิ 1,423ล้านบาท โดยการประกาศขายหุ้นในสัดส่วน 6.95% ของน.ส. สุวิมล ทองกร ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทก็ถือเป็นปัจจัยลบที่สร้างความวิตกกังวลต่อนักลงทุน


* มองมีโอกาสส่วนทุนติดลบในอนาคต
ด้านโบรกเกอร์รายหนึ่ง กล่าวว่า ไม่มีคำแนะนำในหุ้น PICNI แต่
หากต้องการลงทุนระยะสั้นขอให้เพิ่มความระมัดระวังด้วย โดยเฉพาะ
PICNI ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจะทำให้ส่วนของทุนมีโอกาสติดลบได้ในอนา
คต

ที่มา efinancethai.com[/color:9ac27a62dd">

 กลับขึ้นบน
nikei
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 692
#1 วันที่: 16/11/2005 @ 19:05:30 : re: อนาคต PICNI น่ากลัว มีสิทธิติดบ่วงรีแฮปฯรอบ2
.000c .000c .000c ....................................................................
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#2 วันที่: 16/11/2005 @ 21:21:57 : re: อนาคต PICNI น่ากลัว มีสิทธิติดบ่วงรีแฮปฯรอบ2
.0004 OH MY GOD
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com