????
สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238 |  วันที่: 04/03/2006 @ 01:16:15 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นในช่วงการครองอำนาจของนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปรากฏว่าหุ้นหลายๆ ตัวที่อยู่ในเครือข่ายของนักการเมืองกลับมีอัตราการเติบโตอย่างเด่นชัด ด้วยการปกคลุมจากปีกการเมือง...ที่แข็งแรง[/color:bc6fc803d6">
จนเมื่อบัลลังก์ของนายกฯทักษิณเริ่ม ง่อนแง่น สถานการณ์ของเครือข่ายหุ้นที่อิงแอบไว้กับอำนาจทางการเมืองจึงต้องเผชิญกับชะตากรรม...ที่ฝากอนาคตไว้ได้ยาก
ตรวจสอบผลการดำเนินงานปี 2548 ของหุ้นในก๊วนการเมืองหลายแห่ง พบ แรงเฉื่อย ของตัวเลข กำไรสุทธิ ที่ปรากฏออกมา โดยเฉพาะ ชินคอร์ป (SHIN) หลังถูกจับขายไปให้กับ เทมาเส็ก ก็มีกำไรถดถอยทันที จาก 8,699 ล้านบาท เหลือเพียง 8,573 ล้านบาทในปี 2548
...ขณะที่ธุรกิจมือถือของ เอไอเอส (ADVANC) ซึ่งเป็นปีแรกในรอบ 5 ปี ที่บริษัทมีกำไรลดลง โดยเหลือเพียง 18,908 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้าที่มีกำไรถึง 20,258 ล้านบาท
ส่วน ไอทีวี (ITV) และ ชิน แซทเทลไลท์ (SATTEL) แม้จะมีกำไรเพิ่มขึ้น แต่ก็น่าเป็นห่วงว่าขุมอำนาจเดิมของนายทุน ทักษิณ จะมีอนาคตเช่นไรหากต้องหลุดพ้นไปจากฐานอำนาจการเมือง
โดยเฉพาะ ITV จากที่เคยขาดทุนย่อยยับ แต่เมื่อผู้บริหารมีพลังถึงขั้นสามารถ ลด ค่าสัมปทานที่ต้องจ่ายให้รัฐบาลลงได้ พร้อมได้รับการดูแลด้วยงบโฆษณาของภาครัฐ ผลประกอบการปี 2548 ที่ประกาศก็ไม่ใช่สิ่งเซอร์ไพรส์ หลังคว้ากำไรเพิ่มขึ้นจาก 204 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 679 ล้านบาท
แต่ก็เริ่มมีหลายเสียงที่ค่อนข้าง แคลงใจ อยู่บ้างต่อความน่าเชื่อถือว่าอาจถูกการเมืองครอบงำ...โดยเฉพาะระดับผู้บริหารภายในสถานี
ส่วนดาวเทียมไทยคมทุกดวงของ SATTEL ก็ช่วยสร้างกำไรได้อย่างพุ่งพรวดเป็น 1,207 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้าที่มีกำไรแค่ 856 ล้านบาท ซึ่งนักสังเกตการณ์มองว่า ที่ดีขึ้นเพราะการ ต่อรอง ของนายกฯทักษิณ
แต่ฝั่งของ ซีเอส ล็อกซ์อินโฟ (CSL) หลังขับเคี่ยวกับราชันอินเทอร์เน็ตของ กลุ่มทรู กำไรก็เริ่มล้าลงไปเหลือ 293 ล้านบาท หล่นหายไปจากปี 2547 ที่มีกำไร 328 ล้านบาท
ติดตามด้วย เอสซี แอสเสท (SC) ซึ่งน่าจะเป็นอีกฐานที่มั่นระยะยาวของก๊วนชินวัตร หลังจากที่น้องสาวคนสุดท้องของตระกูล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกพี่ชายส่งข้ามจากเอไอเอส ไปนั่งบริหารงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2549 เป็นต้นไป
และยังคงรักษาระดับกำไรสุทธิ 2548 ไว้ที่ 432 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้าที่มีกำไร 422 ล้านบาท
ขณะที่ เอ็มลิงค์ (MLINK) ของน้องสาวนายกฯ ก็เริ่มรับกำไรอย่างเห็นน้ำเห็นเนื้อหลังจากหันมาเอาดีกับงานประมูลโครงการรัฐ จนมีกำไรในปี 2548 กว่า 179 ล้านบาท
และยังมี วินโคสท์ อินดัสเทรียล (WIN) หุ้นรีไซเคิลในกลุ่มอสังหาฯของตระกูล วงศ์สวัสดิ์ ก็สามารถกลับมามีกำไรได้เป็นปีแรก 18.9 ล้านบาท
ทั้งหมดนี้คือหุ้นการเมือง พันธุ์แท้ ที่เสี่ยงต่อการถูก ปิดฉาก อนาคตในทันที หากตระกูลชินวัตรถูกสลายขั้วอำนาจในเร็ววัน
ด้านหุ้นในเครือข่ายที่ใกล้ชิดกับฐานอำนาจ อย่าง ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง (STEC) ถือเป็น หุ้นรับเหมา ที่รับเต็มๆ จากผลพลอยได้ทางการเมือง เมื่อ อนุทิน ชาญวีรกุล (รมช.สาธารณสุข) ส่งหุ้นต่อให้เครือญาติเพื่อไปร่วมสำราญ กับนักการเมืองซีกไทยรักไทย
แล้วก็มาถึงคิว จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) ของอากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ที่ถูกมองว่าเป็น ดีเอ็นเอ ของนายกฯทักษิณ หลังยอมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงหลังยอมเป็น นอมินี ในดีลเทคโอเวอร์ (อย่างไม่เป็นมิตร) เครือมติชน เมื่อปีที่ผ่านมา
...แต่เห็นกำไรปีล่าสุดของ GRAMMY ก็ยิ่งใจหาย หลังจากคว้ากำไรสุทธิปี 2548 มาได้เพียง 203 ล้านบาท ลดฮวบ จากปีก่อนหน้าที่มีกำไรถึง 700 ล้านบาท
นี่คือหุ้นการเมืองที่นักลงทุนกำลังให้ความสนใจต่ออนาคตบนเส้นด้าย...ถ้าหากนายกฯทักษิณถูกกระแสสังคม ปลด จากวงแหวนแห่งอำนาจได้สำเร็จ
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ[/color:bc6fc803d6">
|
