April 27, 2024   4:06:25 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ถือเงินสดให้มาก-อยากลุยต้องเล่นสั้น
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 06/03/2006 @ 19:09:48
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เซียนแนะทางออกช่วงการเมืองเดือด
ถือเงินสดให้มาก-อยากลุยต้องเล่นสั้น
-สัญญาณเทคนิคเพียวๆ ชี้ปีนี้ SET ทะลุ 800 จุด
-หุ้นเด็ดน่าลุยสั้นๆ ต้อง NNCL,HEMRAJ,SPALI-W3,CSL,KH,SEAFCO[/color:76a6e70d47">



นายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บล.บัวหลวง กล่าวถึงปัจจัยทางการเมืองยังเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากว่า แต่มองว่าทุกคนมีเป้าหมายไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงแต่เชื่อว่าน่าจะสงบในอีก 3-6 เดือนข้างหน้าน่าจะสงบและเริ่มนับ 1 ใหม่ โดยสิ่งที่น่าสนใจคือ นักลงทุนต่างชาติที่ยังเข้ามาลงทุน เนื่องจากค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่องจากเดิมอยู่ที่ระดับ 40 บาท/เหรียญสหรัฐ และขณะนี้อยู่ที่ 38.50 บาท / เหรียญสหรัฐแล้วอาจส่งให้นักลงทุนต่างประเทศอาจขายออกมาบ้างและปัจจัยที่ดีอย่าง ราคาน้ำมันโลกจากเดิมที่ปรับลดลงต่อเนื่อง แต่ขณะนี้ประเมินว่าอาจอยู่ในช่วงการปรับขึ้นตามสัญญาณทางเทคนิคซึ่งจะส่งผลต่อหุ้น PTT , PTTEP ให้ปรับตัวขึ้นในช่วงนี้ และส่งผลให้ดัชนีตลาดฯน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

แต่ขณะเดียวกันประเมินว่าหากกำหนดกรอบของ ดัชนีตลาดฯในช่วงที่ผ่านมาได้ทำจุดสูงสุดที่ 780 จุด และจุดที่แสดงเป็นแนวโน้มขาลงที่ระดับ 753 จุด ซึ่งหากในสัปดาห์หน้าดัชนีตลาดฯ ยังสามารถอยู่เหนือระดับ 750จุดได้ มองว่ายังสามารถเล่นได้และหากเกิดเหตุการณ์รุนแรงอย่างในช่วงที่เกิดการปัญหาทางการเมืองทางการเมือง ค่าพีอีของ SET Index อยู่ที่ระดับ 9-12 เท่า และครั้งที่ต่ำที่สุดในช่วงของเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ค่าพีอีอยู่ที่ 8.5 เท่า
และหากสมมติว่าเกิดเหตุความรุนแรงขึ้นมองว่าจุดที่น่าจะเข้าซื้อหุ้นคือระดับค่าพีอีที่ 8.5 เท่าคือดัชนีฯ ที่ 680 จุด

เขากล่าวต่อว่าทิศทางเม็ดเงินต่างชาติที่เข้ามารอบนี้คงไม่ได้คาดหวังเรื่องของอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียที่หลายคนคาดว่าเป็นเฮจฟันด์ซึ่งจะอ้างอิงกับอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหลักจึงมองว่าหากค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องถึงระดับประมาณ 38 บาทต้นๆ ที่ขณะนี้ยังมีช่องว่างอีกประมาณ 60 ?70 สตางค์ นั้นอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเปลี่ยนทิศทางการลงทุนทั้งนี้ยังมีสิ่งที่ต้องจับตาดูในส่วนของจีนจะลอยค่าเงินหยวนอีกครั้งหรือไม่ซึ่งจะทำให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าขึ้นและญี่ปุ่นจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายดอกเบี้ยหรือการขึ้นดอกเบี้ยส่งผลค่าเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าขึ้น

สำหรับการลงทุน ขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาของหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง หากยังไม่มีเรื่องการเปิดประมูลของโครงการดังกล่าว ความเคลื่อนไหวน่าจะside way หรือปรับลดลง แต่ในกลุ่มนี้หุ้นขนาดใหญ่ที่มีความน่าสนใจคือ บมจ.อิตัลไทย (ITD) พีอีต่ำกว่า15 เท่า ส่วนการเลือกหุ้นปันผล ขณะนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับหุ้นเด็ดนั้นแนะนำเก็งกำไร บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เนื่องจากประเมินว่าแนวโน้มราคาน้ำมันยังโอกาสปรับขึ้นต่อและส่งผลให้ราคาหุ้น PTTEP อาจปรับขึ้นเช่นกัน และ หุ้น บมจ. นวนคร (NNCL) มีอัตรากำไรเติบโตขึ้นต่อเนื่องในส่วนของการดำเนินงาน NNCL ยังมีพื้นที่ที่ จ.นครราชสีมา ประมาณ 800 ไร่ ที่ยังสร้างรายได้ให้บริษัทในช่วงอีก 2-3 ปี บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ)คาดว่ากำไรเติบโตขึ้นอยู่ที่1,200 ล้านบาท , อัตราผลตอบแทนที่ 6 %รอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวระดับ1.10 ?1.11 บาท

อย่างไรก็ตาม ทิศทางดัชนีตลาดฯ ปี 2549 ทาง บล.บัวหลวง ยังไม่มีการปรับประมาณการใด เชื่อว่าปัจจัยทางการเมืองยังคงไม่รุนแรงแม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวบ้างแต่ทางด้านอัตราการเติบโตของจีดีพียังไม่ได้มีการปรับแต่อย่างใดและการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดฯอยู่ประมาณ 715 ? 795 จุด ซึ่ง 795 จุดเท่ากับพีอี 10 เท่า และ 715 จุด คือพีอี 9 เท่า กลยุทธ์คือเมื่อดัชนีตลาดฯปรับใกล้ระดับ 715จุดเข้าซื้อและหาก ดัชนีตลาดฯปรับใกล้ 795 จุดขาย

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่า ในเรื่องของประเด็นการเมือง เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากและการพูดคุย อาจทำให้เกิดการขัดแย้งได้ แต่ในส่วนของตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยดีเรื่องของนักลงทุนต่างชาติที่ยังเข้ามาลงทุน แต่ขณะเดียวกัน มองว่าค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นใกล้สถิติเดิมอยู่ที่ประมาณกว่า 38 บาท ,ปัจจัยเศรษฐกิจชะลอตัวการเติบโตของจีดีพี ไม่น่าจะเกิน 4.5 %เนื่องโครงการเมกะโปรเจ็กที่ต้องเลื่อนไป,แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอย่างหุ้นในกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ เดิมเคยเติบโต 30-40 % แต่คาดว่าปี 49 ไม่น่าจะเติบโตเกิน 3 %ซึ่งหากหุ้นกลุ่มหลักไม่ปรับขึ้นคาดว่า ดัชนีตลาดฯไม่น่าจะปรับขึ้นมากนักรวมถึงปัจจัยการเมืองที่ยังพลิกผัน จึงเชื่อว่า ดัชนีตลาด ฯไม่น่าจะปรับขึ้นได้เช่นกันกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้แนะขาย เพื่อถือเงินสดให้มากที่สุดเมื่อ ดัชนีตลาด ฯปรับขึ้น

หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ คือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แต่มีในช่วงที่ผ่านมาราคาได้ปรับขึ้นมากจึงต้องเลือกรายตัวที่ราคายังไม่ปรับขึ้นมาโดยประเมินว่าการเลือกหุ้นขณะนี้มี 2 ? 3 แบบ คือ การเลือกหุ้นปันผลที่คุ้มค่า ต้องมีราคาหุ้นที่ยังไม่แพง ,หุ้นที่มี turn around จากลบเป็นบวกเช่นหุ้นที่กำลังจะออกจากการกลุ่มรีแฮปโก้ หรือมีข่าวว่าจะออกจากกลุ่มรีแฮปโก้ และหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการปี 49 ฟื้นตัวและหุ้นยังมีราคาถูก

หุ้นที่มองว่ามีความน่าสนใจในช่วงที่ดัชนีตลาดฯ ผัวผวนในสัปดาห์หน้า อาทิ บมจ. ศุภาลัย (SPALI) ที่คาดว่าจะมีเงินปันผลในระดับ 0.30 บาท แต่ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมากแล้วจึงมองว่าตัวที่น่าสนใจคือ SPALI-W3 หากซื้อตอนนี้แล้วไปแปลงสภาพนอกจากจะได้กำไรจากส่วนต่างที่เกิดขึ้นกับหุ้นแม่แล้ว ยังได้รับสิทธิในเงินปันผลอีกด้วย และ บมจ. ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL) ซึ่งคาดว่าจ่ายอัตราเงินปันผล 0.30 บาท

อย่างไรก็ตาม ในปี 2549 ตามสัญญาณทางเทคนิค ดัชนีตลาดฯ มั่นใจว่าดัชนีตลาดฯ จะสามารถปรับขึ้นได้ถึงระดับ 800 จุดอย่างแน่นอนซึ่งเป็นไปตามสัญญาณทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ปัจจัยที่กังวลมากที่สุดคือเรื่องของการขายหุ้นของต่างชาติ ส่วนปัจจัยการเมืองนั้นไม่กังวลเนื่องจากเชื่อว่าสามารถจบได้อย่างดี

นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์กล่าวถึงภาวะตลาดหลักทรัพย์ช่วงนี้ว่าดัชนีฯยังคงเป็นขาขึ้นแม้ว่าสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังกดดันการลงทุนเนื่องจากมองว่ายังมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

?ส่วนตัวแล้วไม่เชื่อว่าหุ้นจะลง หลักๆแล้วตลาดน่าจะขึ้นต่อได้แม้มีปัญหากดดันการเมือง และราคาน้ำมันบ้างแต่ถ้าค่าเงินบาทยังแข็งค่าและมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามากองทุนระยะสั้นก็มีโอกาสดันหุ้นให้เพิ่มขึ้นได้?

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมดัชนีฯยังเป็นขาขึ้นแต่หากสถานการณ์ทางการเมืองยังรุนแรงต่อเนื่องจะกดดันต่อดัชนีการบริโภคให้ลดลงและสะท้อนให้ตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนกุมภาพันธ์ไม่ดีรวมถึงความเชื่อมั่นนักการลงทุนก็ชะลอลงในทิศทางเดียวกัน

ทั้งนี้หากสถานการณ์การเมืองคลี่คลายและมีความชัดเจนขึ้นอาจได้เห็นดัชนีฯปรับตัวในระดับ 770 จุดได้ในช่วงต้นเดือนหน้าโดยปลายปีนี้ประเมินว่าดัชนีฯจะอยู่ที่780 จุด ได้โดยปีนี้หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างยังไม่ค่อยดีนักเนื่องจากอาจได้รับผลกระทบจากโครงการเมกะโปรเจ็กที่อาจล่าช้าไปซึ่งผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างที่ไม่ได้รับผลกระทบจะต้องมีงานในมือ (BACKLOG) รอรับรู้ประมาณ 2 ? 3 ปีจากนี้ โดยหากสนใจหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจริงแนะนำให้เล่นตามกระแสข่าวตามโครงการที่ประมูลได้โดยหุ้นเด่นในกลุ่มดังกล่าวได้แก่ SEAFCO เนื่องจากไม่กระทบกับโครงการเมกะโปรเจ็ก และมีงานต่อเนื่องจากภาคเอกชน

สำหรับหุ้นเด่นแนะนำลงทุน ได้แก่กลุ่มพลังงานต้นน้ำ โดยเฉพาะ PTTEP ธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยแม้ราคาซื้อขายจะไม่ขึ้นแรงแต่ประมาณการขายที่มีต่อเนื่องจากผลัดดัน ให้ราคาหุ้นปรับตัวในทิศทางดีขึ้นโดยประเมินราคาเหมาะสม 570 บาท นอกจากนี้ยังแนะนำหุ้น EGCOMP เนื่องจากมีกำลังไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ โดยเฉพาะจาก BLCP ซึ่งน่าเอื้อให้กำไรสุทธิเติบโตขึ้น โดยประเมินราคาเหมาะสม 91 บาท ขณะเดียวกันแนะนำหุ้น GLOWเนื่องจากเป็นหุ้นที่ปันผลดีโดยประเมินราคาเหมาะสม 29 บาท

ด้าน นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า หากสถานการณ์ทางการเมืองมีความรุนแรงอาจส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เช่นเดียวกันช่วงพฤษภาทมิฬที่ผ่านมา ที่กดดันดัชนีฯ ให้ปรับลดลงเด่นชัด โดยหากสถานการณ์การเมืองดังกล่าวไม่มีความรุนแรง เชื่อว่าดัชนีฯ ยังคงเคลื่อนไหวบวกลบสลับกันเป็นส่วนใหญ่

ทั้งนี้ เกรงว่าสถานการณ์ทางการเมืองดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดแรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากพบว่านักลงทุนต่างประเทศส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นในการดำเนินงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอาจส่งผลให้นโยบายการพัฒนาประเทศไม่ต่อเนื่อง ก็อาจฉุดความมั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศได้

อย่างไรก็ตาม หุ้นเด่นที่แนะนำลงทุนเป็นกลุ่มปิโตรเคมี โดยเฉพาะ IRP เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีวัตถุดิบต้นน้ำเป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นเมื่อราคาวัตถุดิบต้นน้ำปรับลดลงจึงได้ประโยชน์จากอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายกำลังการผลิตเพิ่มก็ยิ่งส่งผลดีต่อบริษัท

ทางด้านผู้บริหาร บริษัทจดทะเบียน ในนายพุทธชาติ รังคสิริ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ทีดับบลิวแซด (TWZ) ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท และคาดว่าน่าจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2549 อยู่ที่ 3,500 ล้านบาท เติบโต 20% จากปี 2548 ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรม

สำหรับกรณีที่ผู้ประกอบการเครือข่ายโทรศัพท์เครื่องที่แข่งขันด้านราคานั้นไม่กระทบต่อมาร์จิ้นของอุตสาหกรรมเนื่องจากกรณีดังกล่าวเป็นเพียงกลยุทธ์การการตลาดส่วนกรณีที่AISเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นว่า ไม่กระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทเนื่องจาก TWZ ยังคงเป็นตัวแทนการจำหน่ายโทรศัพท์มือถือให้AIS เช่นเดิมพร้อมมองว่าเปลี่ยนผู้ถือหุ้นรายใหม่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระบบโทรศัพท์มือถืออาจจะหนุนให้มีการพัฒนาระบบที่ดีขึ้น

ธุรกิจโทรศัพท์มือถือยังไม่ถึงสภาวะอิ่มตัว เนื่องจากยังขยายตัวจากเลขหมายโทรศัพท์ ซึ่งผู้ประกอบการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือคาดว่าจะขยายตัว 10% ของทุกปี หรือ 3 ล้านเลขหมาย ซึ่งขณะนี้มีการใช้เลขหมายโทรศัพท์มือถือทั้งหมด 30 ล้านเลขหมาย หรือเกือบ 50% ของประชากรทั้งประเทศและผู้ประกอบการเครือข่ายมีการออกกลยุทธ์เพื่อรักษาฐานลูกค้า และกระตุ้นการใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้น และอีกปัจจัยหนึ่งมาจากการเปลี่ยนรุ่นโทรศัพท์มือถือที่ทันสมัยมากขึ้นจากผู้บริโภค เนื่องจากโทรศัพท์มือถือมีอายุการใช้งานเพียง 1-2 ปีเท่านั้น นายพุทธชาติกล่าว

ในช่วงท้าย เขาระบุว่าราคาหุ้น TWZ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่ถือว่าเกินปัจจัยพื้นฐาน เนื่องจาก PE อยู่ที่ 8-9 เท่า เมื่อเทียบกับบริษัทผู้จำหน่ายรายอื่นมี PEถึง 14 เท่า

นายวิโรจน์ เจริญตรา กรรมการผู้จัดการ บมจ.พรีบิลท์ (PREB) ให้ความเห็นว่าสภาวะการเมืองที่ร้อนแรงนั้นและส่งผลให้โครงการเมกะโปรเจ็กชะลอตัวลงนั้นไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ PREB เนื่องจากบริษัทเป็นผู้รับเหมาฯ ขนาดกลาง บริษัทไม่ได้อิงกับงานจากภาครัฐบาล โดยรายได้ปี 2549 ที่ตั้งเป้าขยายตัว 30% นั้นบริษัทไม่ได้รวมโครงการเมกะโปรเจ็กแต่เป็นรายได้ภาคเอกชน โดยเฉพาะAP บริษัทได้รับงานทั้งหมด 700 ล้านบาท จากงานทั้งหมดของAPที่มีมูลค่า 3,000 ล้านบาท ดังนั้ยบริษัทยังมีโอกาสที่จะได้รับงานเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามถ้ามีโครงการเมกะโปรเจ็กก็ถือเป็รายได้เสริมให้บริษัท

สำหรับปีนี้ บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปี 2549 เติบโตประมาณ 30% จากปี 2548 เนื่องจากงานที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนรายได้ 50% ของงานทั้งหมดมาจาก AP-LH และอีก 50% เป็นงานของเอกชนต่างๆ
ราคาหุ้น PREB ถือว่าเป็นหุ้นที่ราคาถูกมาก PE เพียง 6-7 เท่า เทียบกับหุ้นกลุ่มรับเหมาฯที่มีค่า P/E ถึง 10-20 เท่า และราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีที่ 3-3.5 บาท หุ้น PREB ถือว่าเป็นหุ้นปันผล มีแคปปิตอลเกน และบริษัทมีธรรมภิบาลที่ดีนายวิโรจน์กล่าว
นายสมชาย คุลีเมฆิน กรรมการผู้จัดการ บมจ.โกลบอล คอนเน็คชั่นส์ (GC) อยากจะชักชวนให้ทุกคนไปเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย.นี้ ส่วนการเมืองที่ร้อนแรงเชื่อว่าไม่มีผลกระทบกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งเชื่อว่ายังคงขยายต่อเนื่องซึ่งก็เป็นผลดีกับบริษัท และในปี 2549 บริษัทตั้งเป้ายอดขายขยายตัว 12% มาอยู่ที่ 3,600 ล้านบาท เพราะหลังจากนี้ 5 ปีเน้นบริษัทจะเน้นให้บริษัทมีการขยายตัวอย่างมีคุณภาพ ดังนั้นบริษัทจึงลดอัตราการขยายตัวลง 25-30% ในระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทจะเน้นการขยายตัวทางด้านกำไรสุทธิและเงินปันผล

ดังนั้นปี 2549 มั่นใจว่าบริษัทจะมีผลประกอบการที่ดีกว่าปี 2548เนื่องจากมีเงินหมุนเวียนที่สูงกว่า 200 ล้านบาท จากเงิน IPO และจากเงินฝากสถาบันการเงิน 129 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทลดค่าใช้จ่ายอัตราดอกเบี้ยลดลง และบริษัทได้รับสิทธิเสียภาษีลดลง 5% เนื่องจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด
ในช่วงท้ายเขากล่าวว่า ราคาหุ้น GC ไม่ค่อยเคลื่อนไหวและมีปัญหาสภาพคล่องต่ำ ซึ่งไม่ถือว่าผิดปกติ เพราะมีบริษัทจดทะเบียนกว่า 200 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกับ GC เนื่องจากผู้ถือหุ้นของบริษัทคือลูกค้าที่ทำการค้า ด้วยกันส่วนใหญ่จะรอเงินปันผล และมองถึงธรรมภิบาลของบริษัท ทั้งนี้ GC มีผลตอบแทนด้านปันผลที่ดี คือจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 6 % และพิจารณาการจ่ายเงินปันผลส่วนหนึ่งจากเงินเฟ้อ


ที่มา efinancethai.com[/color:76a6e70d47">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com