???? สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 1,238 | วันที่: 24/03/2006 @ 17:18:24 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต เป็นที่ทราบกันดีว่าจุดอ่อนสำคัญที่สุดของ บางจากปิโตรเลียม (BCP) ก็คือ เรื่องของเทคโนโลยีการกลั่นน้ำมัน...ที่ล้าสมัยอย่างมาก หรือถ้าบริษัทจะต้องลงทุนสร้างเทคโนโลยีขึ้นมาใหม่... ก็แทบจะไม่คุ้ม เมื่อเทียบกับระยะเวลาการคืนทุน [/color:099f5ec64c">
และนี่คือ โจทย์ ทางธุรกิจที่ผู้บริหารบางจากรู้อยู่ลึกๆว่า...แก้ไขได้ยากที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน
บางจาก กำลังเสาะหาทุนก้อนใหม่ 1.7 หมื่นล้านบาท ไว้ลุยโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (PQI) เพื่อลบ ข้อบกพร่อง ด้านเทคโนโลยีการกลั่นน้ำมัน
ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากปิโตรเลียม ตัดสินใจเดินหน้าก่อสร้างโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (PQI) ที่จำเป็นต้องอาศัยเงินทุนมหาศาลกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท (ประมาณ 378 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ 45 บาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินบาท)
ขณะที่หนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทที่อัตรา 2 ต่อ 1 ก็แทบจะไม่เอื้อต่อแนวคิดในการจัดหาเงินกู้...เพื่อเงินมาลงทุน
จนเมื่อ ปตท. (PTT) ซึ่งอยู่ในฐานะพี่เลี้ยงของ BCP เข้ามาช่วย ปลดล็อก ด้วยการยอมใส่เงินเพิ่มทุนเข้ามาประมาณ 120 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 5.4 พันล้านบาท) ขณะที่ทาง BCP ก็เตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่นักลงทุนเฉพาะเจาะจง กับนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ อีกประมาณ 55 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.47 พันล้านบาท)
...จึงส่งผลให้ BCP สามารถจัดหาเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ได้ในจำนวนที่ใกล้เคียงกับมูลค่าเงินที่เพิ่มทุนเข้ามาใหม่ โดยสามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อทุนไว้ได้ในระดับเดิม ซึ่งตามโมเดลแล้ว BCP ต้องการเงินสินเชื่ออีกประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 9.0 พันล้านบาท) เพื่อนำมาต่ออนาคตของบริษัทในโครงการ PQI
ขณะนี้เรากำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงิน คงเหลือเพียงแค่การตกลงในรายละเอียดและเงื่อนไขของระยะเวลาผ่อนชำระ และอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น ดร.อนุสรณ์ ชี้แจง พร้อมอธิบายต่อไปว่า
ลักษณะของเงินกู้คงจะเป็นในรูปของ ซินดิเคต โลน คาดว่าจะมี ธ.ทหารไทย ธ.กรุงศรีอยุยา และ ธ.นครหลวงไทย เป็นแกนนำในการปล่อยกู้ โดยมีระยะเวลาชำระคืนประมาณ 10 ปี
สิ่งที่เราตั้งใจในปีนี้คือการผลักดันการก่อสร้างโครงการ PQI ให้สำเร็จ เพราะนี่คือเรื่องใหญ่ที่สุดสำหรับอนาคตของบางจาก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องจักรได้จริงตั้งแต่ต้นปี 2552 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันเมื่อทำตรงนั้นได้ เราก็จะผลักดันอย่างต่อเนื่องทางด้านของพลังงานทดแทน และจำเป็นต้องพยายามดูแลบริษัทให้มีกำไรในระดับที่น่าพอใจด้วย
ดร.อนุสรณ์ อธิบายอนาคตหลังโครงการ PQI ประสบความสำเร็จว่า จะส่งผลให้โรงกลั่นน้ำมันของ BCP เปลี่ยนแปลงจาก Simple Refinery เป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิ ใกล้เคียง กับ Complex Refinery
หมายความว่า บริษัทจะสามารถกลั่นน้ำมันดิบให้เป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปที่มีมูลค่าสูงกว่าเดิมคือจะได้น้ำมันดีเซล และน้ำมันเบนซิน ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ค่าการกลั่นเพิ่มขึ้นจาก 1.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็น 6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
โดยเฉพาะในส่วนของดีเซล ที่จะสามารถผลิตเพิ่มขึ้นได้จากปัจจุบันที่ 34,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 55,000 บาร์เรลต่อวัน
ความต่างระหว่างโรงกลั่นแบบ Simple Refinery กับ Complex Refinery ก็คือ โรงกลั่นแบบแรกจะสามารถผลิตน้ำมันที่มีมูลค่าสูง (ดีเซลและเบนซิน) ได้ในสัดส่วนที่ต่ำเพียง 60-65% เท่านั้น ส่วนที่เหลือจะได้เป็นน้ำมันเตา ซึ่งขายได้ราคาต่ำ...ขณะที่โรงกลั่นแบบ Complex จะสามารถผลิตน้ำมันคุณภาพสูงได้ถึง 80-85%
เทคโนโลยีของเราตอนนี้ยังกลั่นน้ำมันคุณภาพสูงได้ในปริมาณที่น้อยเกินไป ขณะที่การบริโภคน้ำมันเตาก็เริ่มมีราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะถูกทดแทนด้วยถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ
โดยปัจจุบันโรงกลั่นบางจากมีกำลังการกลั่นน้ำมันขนาด 120,000 บาร์เรลต่อวัน แต่เมื่อก่อสร้างโครงการ PQI เสร็จ บริษัทจะมีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นอีกวันละ 25,000 บาร์เรล
และยังสามารถผลิตน้ำมันคุณภาพสูงได้ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม
ดร.อนุสรณ์ ยังอธิบายผลดีที่ได้ ปตท. เข้ามาร่วมทุนเพิ่มขึ้นว่า การที่เราจะมองหาเงินกู้ 1.7 หมื่นล้านบาท มันไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นคือเราต้องมีพันธมิตรร่วมทุน และที่สำคัญเขาต้องมีเงินทุน และต้องเป็นที่ยอมรับของสถาบันการเงินและนักลงทุน
เพราะประโยชน์ที่เราจะได้นอกจากเชิงธุรกิจแล้ว ส่วนหนึ่งก็คือความเชื่อมั่นจากนักลงทุนข้างนอก และสถาบันการเงินที่ปล่อยเงินกู้ให้กับเราก็จะยิ่งมีความเชื่อมั่นว่า...เมื่อบริษัทระดับ ปตท. ลงมาแล้ว ก็น่าจะทำให้ BCP แข็งแรงขึ้น
สำหรับในตัวสัญญากับ ปตท. ทางเขาก็ทำสัญญาว่าจะซื้อน้ำมันจากเรา 30% ของกำลังการกลั่น
หมายความว่า เราจะเหลือน้ำมันเพียงแค่ 70% เท่านั้น...ขณะที่ทางบางจากก็มีตลาดกระจายน้ำมันของเราอยู่แล้วประมาณ 50%
เพราะนั้น เราจะเหลือน้ำมันอีกเพียง 20% ซึ่งถือว่าไม่มาก และคงจะกระจายน้ำมันได้ไม่ยาก ซึ่งการมีตลาดรองรับไว้หมดนี้ จะช่วยให้โรงกลั่นของเรามีประสิทธิภาพจากความต่อเนื่อง และจะได้ต้นทุนการผลิตต่ำลง
เชื่อว่าไม่เกินเดือนมิถุนายนปีนี้ ทุกอย่างจะเรียบร้อยตั้งแต่การซื้อหุ้นเพิ่มทุนของปตท. และนักลงทุนสถาบัน รวมถึงการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคาร เสร็จหลังจากนั้นเราจะเริ่มก่อสร้างโครงการ PQI ในทันที
จึงน่าลุ้นว่า โครงการ PQI จะสามารถช่วยทำให้หุ้น BCP หลุดออกจากอาการ ติดหล่ม ได้จริงหรือไม่
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ[/color:099f5ec64c">
|