สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ห่วงสำนักหนี้ใกล้เจ๊ง ถ้ากฟผ.ไปกู้เงิน เพราะต้องให้คลังค้ำประกัน หวั่นส่งผลให้หนี้สาธารณะพุ่งเกิน 50% ของจีดีพี ด้าน 2 โรงไฟฟ้าเสนอปรับลดอัตราผลตอบแทนการลงทุน ขณะที่รัฐบาลดิ้นหาทางแปรรูปกฟผ.ต่อ

ดร.นริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า จากที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ต้องล้มแผนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด จะส่งผลให้ภาระหนักจะตกอยู่กับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะที่ต้องเข้าไปค้ำประกันเงินกู้ให้กับ กฟผ.อีกหลายแสนล้านบาท เพื่อนำมาขยายโรงไฟฟ้า ซึ่งอาจทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเกินกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกิน 50%ของจีดีพี

สบน.เจ๊งแน่ ถ้าต้องเข้าไปค้ำประกันเงินกู้ให้กฟผ. เงินทุนที่จะนำมาใช้ก็อาจติดเพดานเงินกู้ ดังนั้นหากไม่มีการปรับเปลี่ยนแผนก็จะมีปัญหาตามมา แนวทางแก้ไขปัญหาขณะนี้ อาจต้องให้กฟผ.ปรับลดสัดส่วนในการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าลง โดยให้บริษัทเอกชนเข้ามาประมูลเพื่อลงทุนแทนรัฐ ส่วนกฟผ.ก็จะมีส่วนแบ่งตลาดไฟฟ้าลดลงด้วยจากเดิม 50% ก็จะเหลือเพียง 30% เท่านั้น ดร.นริศ กล่าว

ด้านนางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กล่าวว่าปีนี้กฟผ.ยังไม่ได้มีแผนขอเงินกู้เข้ามาเสนอเลย และกฟผ.ก็กู้เองได้ คลังไม่จำเป็นต้องค้ำประกัน เนื่องกฟผ.มีเครดิตที่สูง

กฟผ.กู้เงินคงไม่ใช่ไปแย่งเงินจากระบบจนทำให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น อย่างที่สศค.คาดไว้เพราะตอนนี้เท่าที่ทราบความต้องการที่จะปล่อยกู้มีมากกว่าผู้ที่กู้อยู่ภายหลังจากที่เมกะโปรเจ็กเลื่อนออกไป และหากกฟผ.หันมาใช้วิธีกู้เงินจากสถาบันการเงินแทน จะส่งผลให้หนี้สาธาณะเพิ่มขึ้นจนเกินเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่วางไว้ไม่เกิน 50%นั้น คงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เนื่องจากการกู้ของกฟผ.จะเป็นในลักษณะทยอยกู้ไม่ใช่กู้ครั้งเดียวเป็นแสนล้านบาทนางพรรณี กล่าว

สำหรับแผนที่มีผู้เสนอให้กฟผ.ทำซิเคียวริไทร์ แทนการกู้เงินเหมือนกับศูนย์ราชการนั้น เป็นไปได้ยากหากจะทำได้ก็คงเป็นเพียงบริษัทลูกของกฟผ.เท่านั้น แต่ถ้ากฟผ.จะทำเองโดยนำสินทรัพย์ที่มีอยู่ไปวางเพื่อค้ำประกันเงินกู้จากการออกพันธบัตรนั้น ก็จะทำให้เจ้าหนี้รายอื่นของกฟผ.ขอให้ทำแบบเดียวกันบ้างซึ่งคงเป็นไปได้ยาก

แหล่งข่าวจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)เปิดเผยว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)และการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)เตรียมให้คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าหรือเรคกูเลเตอร์ พิจารณาอัตราผลตอบแทนการลงทุน(ROIC)ใหม่ เพราะเห็นว่า กฟผ.ไม่ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)เพื่อระดมทุนแล้ว จึงควรปรับเพื่อให้ 2การไฟฟ้ามีผลตอบแทนการลงทุนที่สูงขึ้น เพราะกฟผ.ได้8.39%ในขณะที่ 2 การไฟฟ้าได้รับเพียง 4.8%

แหล่งข่าวจาก บริษัท กฟผ.จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า การที่ 2 การไฟฟ้าขอพิจารณาปรับ ROICทาง กฟผ.ก็ไม่ได้ขัดข้อง แต่ขึ้นอยู่ที่นโยบายของกระทรวงพลังงานว่าจะให้ปรับหรือไม่อย่างไร และขณะนี้ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวจากกระทรวงพลังงานเพื่อให้ดำเนินงานแต่อย่างใด และหากจะกลับไปใช้หลักเกณฑ์เดิม คือ SFR แทนการใช้ ROIC ไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด เพราะเมื่อ กฟผ.กลับคืนสถานะเดิมคือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเหมือนกันก็เกลี่ยรายได้กันได้ไม่มีปัญหา และเห็นว่าไม่เกี่ยวกับอัตราค่าไฟฟ้าว่าจะถูกลง เนื่องจากค่าไฟฟ้าจะถูกหรือแพงขึ้นอยู่ที่ ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงเท่านั้น

นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.มีมติให้กระทรวงพลังงานทำหนังสือขอความเห็นไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับขั้นตอนทางกฎหมายที่ต้องดำเนินการในการแปลงสภาพทรัพย์สินและหนี้สินอำนาจภาระหน้าที่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)และพนักงาน ให้ถูกต้องตามกฎหมายภายหลังที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งพิพากษาเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาการแปรรูปรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย2 ฉบับ เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา

เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วกระทรวงพลังงานได้ปรึกษาหารือกับกระทรวงการคลังกฟผ.เพื่อขอความชัดเจนในขั้นตอนการดำเนินการต่าง ๆให้ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนในเรื่องของนโยบายนั้นศาลปกครองให้สามารถดำเนินการได้ตามอำนาจของรัฐบาลชุดใหม่เพราะคำพิพากษาดังกล่าวระบุว่าเรื่องนี้ผิดที่ขั้นตอนทางเทคนิคการแปรรูปด้วยเหตุนี้จึงต้องส่งเรื่องให้กฤษฎีกาพิจารณาว่าต้องทำอย่างไรต่อไป