April 26, 2024   7:27:50 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > UV สร้างเครือข่าย "โฮลดิ้ง คัมปานี"
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 31/03/2006 @ 18:37:36
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ยูนิเวนเจอร์ (UV) กำลังเคลื่อนยุทธศาสตร์ เข้าสู่ โฮลดิ้ง คัมปานี แบบเต็มขั้น หลังจากปรับแนวรุกเน้นลงทุนด้านพัฒนาอสังหาฯ ควบโปรเจคโรงไฟฟ้า ภายใต้คอนเซปต์ ร่วมทุน โดยไม่ตัดทิ้งธุรกิจเดิม เพื่อปูฐานทางธุรกิจให้แน่นที่สุดทุกๆด้าน


บางกระแสเริ่มตั้งคำถามว่านี่คือการตระเตรียม ก่อนเปิดทางให้ กิตติรัตน์ ณ ระนอง เข้ามานั่งบริหารงาน...ใช่หรือไม่

ท่ามกลางรอยต่อชีวิตของ กิตติรัตน์ ที่ยังคงยืนกรานขอปลดตัวเองจากเก้าอี้กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์

ทบทวนการเดินแผนยุทธศาสตร์ ปี 2549 ของ ยูนิเวนเจอร์ (UV) ที่กำลังรุกเข้าสู่การลงทุนในหลายอุตสาหกรรมที่เล็งเห็นผลตอบแทนที่แน่นอนในอนาคต

ในขณะที่โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทครั้งล่าสุด (31 ม.ค. 2549) ก็พบชื่อ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ยังปรากฏเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท จำนวน 31.60 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 5.96% โดยมีน้องสาว อรฤดี ณ ระนอง ถือหุ้น UV อยู่อีกจำนวน 5.94 ล้านหุ้น 1.12% พร้อมกับนั่งคุมทัพในตำแหน่งประธานอำนวยการ

ล่าสุด ยูนิเวนเจอร์ กำลังเร่งจัดโครงสร้างและวางยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของบริษัท ให้เกิดเป็นภาพอนาคตที่ชัดเจนกว่าในอดีตที่ผ่านมา โดยเริ่มมีการแบ่งสายธุรกิจที่หลากหลายและมีความชัดเจนขึ้นโดยลำดับ

ตั้งแต่ หนึ่ง ธุรกิจผลิตจำหน่ายผงสังกะสีออกไซด์และเคมีภัณฑ์ สอง ธุรกิจจำหน่ายเครื่องบันทึกเวลาและอุปกรณ์ควบคุมระบบจอดรถ สาม ธุรกิจการลงทุน หรือ โฮลดิ้ง คัมปานี และ สี่ ธุรกิจอื่นๆ ซึ่งเน้นไปทางด้านการเป็นที่ปรึกษาโครงการลงทุนในด้านต่างๆ

ตลอดปีนี้เราจะให้น้ำหนักลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากที่สุดโดยจะเข้าไปในเชิงบริษัทร่วมทุน...รวมทั้งสิ้น 5 โครงการ คำนวณมูลค่ารวมทุกโครงการได้กว่า 5,000 ล้านบาท แต่รายได้ของเราจะเป็นไปตามสัดส่วนการลงทุน อรฤดี อธิบายแผนลงทุนให้ฟัง

โดยปี 2548 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 1,107 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 118 ล้านบาท และคาดว่ารายได้ตลอดปีนี้ จะเติบโตไม่น้อยกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยรายได้หลักกว่า 70% จะมาจากธุรกิจผงสังกะสี และกลุ่มอสังหาฯอีก 25% ส่วนที่เหลือจะมาจากธุรกิจด้านที่ปรึกษาลงทุน

แต่หากมองในแง่ของกำไรบริษัท จะได้มาจากการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯมากที่สุดถึง 70% และจากธุรกิจผงสังกะสีอีกประมาณ 20%

อรฤดี อธิบายว่า วิธีการเข้าไปลงทุนในธุรกิจอสังหาฯบริษัทจะเลือกลงทุนเฉพาะในโครงการที่มีศักยภาพ...โดยเฉพาะในด้านทำเล เพียงแต่โครงการส่วนนั้นอาจประสบปัญหาทางด้านการเงิน หรืออาจมีปัญหาอื่นๆที่เจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินการต่อให้แล้วเสร็จ

โดยเราจะลงทุนผ่านบริษัทย่อย คือ แกรนด์ ยูนิตี้ และ ปริญ เวนเจอร์ ที่เราใช้เป็นฐานในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับโครงการแต่ละประเภทตั้งแต่บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม รวมแม้แต่อาจเป็นการซื้อโครงการนั้นๆมาบริหารต่อเองทั้งหมด

นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนและบริหารโครงการอสังหาฯผ่านทางกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กินรีพร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งบริษัทถือหุ้นทั้งหมดด้วยเช่นกัน

ตอนนี้เรายังมีการศึกษาโครงการที่เจ้าของโครงการ หรือเจ้าของที่ดินเสนอเข้ามาให้เราไปร่วมทุนด้วยอีกจำนวนมาก แต่คงต้องค่อยๆดูไป

แม้บริษัทจะมุ่งลงทุนด้านพัฒนาอสังหาฯที่กำลังขยายตัวและเป็นยุทธศาสตร์หลัก จนทำให้ภาพธุรกิจผงสังกะสีและธุรกิจอื่นๆ เริ่มถูกบดบัง แต่ผู้บริหารบริษัทก็ยังคงยืนยันที่จะไม่ย้าย หุ้น UV เข้าไปอยู่ในกลุ่มพัฒนาอสังหาฯอย่างแน่นอน

เนื่องจากว่าอีกทางหนึ่ง ยูนิเวนเจอร์ ก็เริ่มขยายอาณาจักรย่อมๆแห่งนี้ไปสู่การลงทุนด้านพลังงาน ด้วยการร่วมทุนกับพันธมิตรเพื่อเตรียมสร้าง โรงไฟฟ้า ขนาด 3 เมกะวัตต์ ที่ จ.ระยอง ภายใต้ บ.สหสินวัฒนา โคเจนเนอเรชั่น เพื่อจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในละแวกใกล้เคียง โดยเป็นการเข้าไปร่วมลงทุนผ่านทาง บริษัทย่อย คือ เอสโก้ เวนเจอร์ (ESCO Ventures) ซึ่ง ยูนิเวนเจอร์ เข้าหุ้นอยู่ 60% ร่วมกับ บลจ.วรรณ และพันธมิตรอื่นๆ

โดยโรงไฟฟ้าแห่งนี้จะเน้นการใช้เชื้อเพลิงที่เป็นวัสดุเหลือใช้จากธรรมชาติ...ไม่ว่าจะเป็นกากอ้อย หรือกากน้ำตาล ซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงที่ประหยัดต้นทุน โดยคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนสร้างทั้งสิ้น ไม่เกิน 400 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ภายในปีนี้ และจะเดินเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทันปี 2550 ตามแผนงานที่วางไว้

ส่วนผลตอบแทนจากโครงการโรงไฟฟ้าแห่งนี้ ก็จะเป็นไปตามนโยบายลงทุนซึ่งแต่ละโครงการต้องสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าปีละ 20%

อรฤดี อธิบายว่าวิธีการลงทุนของบริษัทนั้น อันดับแรกจะต้องมองเห็นดีมานด์ในอนาคตเสียก่อน...เพราะนี่คือโจทย์สำคัญ ซึ่งเราก็ศึกษาก่อนเล็งเห็นว่าความต้องการพลังงานไฟฟ้าในประเทศก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แนวโน้มของแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าก็เริ่มไม่สอดรับกับความต้องการใช้พลังงาน

เราก็ตัดสินใจโยกเงินลงทุนส่วนหนึ่งมาด้านธุรกิจพลังงาน และเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะขยายการลงทุนด้านพลังงาน ผ่านทาง บ.เอสโก้ เวนเจอร์ เพิ่มขึ้นอีก โดยจะพิจารณาแผนการลงทุนเพิ่มจากฐานลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมที่มีฐานผลิตเพื่อการส่งออกที่แน่นอน และมีรายได้สม่ำเสมอ

โดยสรุปแล้ว จะสังเกตได้ว่าโครงการลงทุนของ ยูนิเวนเจอร์ ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางด้านการอาศัย โนว์ฮาว เป็นสำคัญ ก่อนที่จะใส่ เงินลงทุน เข้าไป ซึ่งถือว่าปลอดภัยกว่าที่บริษัทจะมุ่งลงทุนเองทั้งหมด ขณะที่พันธมิตรที่บริษัทเข้าไปร่วมทุน...ทุกรายก็ล้วนมีความเชี่ยวชาญในสายธุรกิจนั้นๆ...เพียงแต่อาจมีปัญหาในบางจุด โดยส่วนใหญ่จะเป็นในเรื่องของเงินทุน

ที่สำคัญ ยูนิเวนเจอร์ ถือเป็นบริษัทที่มีสัดส่วน หนี้สินต่อทุน ในระดับที่ต่ำมาก หรือประมาณ 0.19 เท่า และถือเป็นอีก จุดแข็ง ที่จะช่วยบริษัทยังสามารถขยายการลงทุนได้อีกมาก และถือเป็นสัญญาณว่าราคาหุ้น UV พร้อมแล้ว...ที่จะไปต่อ

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ BizWeek[/color:502e7c0e02">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com