May 2, 2024   9:06:05 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นวงจร "เหล็ก-เดินเรือ"ลมหวน/ปิโตรเคมี"ขาลง
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 07/04/2006 @ 22:12:55
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

นักลงทุนส่วนใหญ่ ติดหุ้น คอมโมดิตี้ โดยเฉพาะกลุ่ม ปิโตรเคมี เหล็ก และ เดินเรือ ชี้ทางออกช้าไปแล้วที่จะขายทิ้งตอนนี้ ยกเว้นหุ้นปิโตรเคมี ขึ้นให้ขายทิ้ง แล้วอย่าใส่เงินเพิ่ม ขณะที่หุ้นเดินเรือ และเหล็ก ยังมีอนาคต


ปีนี้ถือว่าราคาหุ้นกลุ่มเดินเรือถึงจุด Bottom และอยู่ในจังหวะฟื้นตัวตามอุตสาหกรรมเหล็ก เพราะสองธุรกิจนี้จะมีความสัมพันธ์กันถึง 81% ถ้าติดหุ้น PSL แนะนำให้ขาย แล้วเปลี่ยนมาถือ TTA และ RCL เมื่อราคาลดลง

-------------------------------------------

นับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมาหุ้นบางกลุ่มราคาปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะ หุ้นวงจร ที่มักเป็นประเภท คอมโมดิตี้ (สินค้าโภคภัณฑ์ที่อิงดีมานด์ และราคาในตลาดโลกเป็นหลัก) ที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มนี้มักเคลื่อนไหวราคาค่อนข้างหวือหวา ตามวัฏจักรธุรกิจของอุตสาหกรรมนั้นๆ

เมื่อราคา และปริมาณความต้องการสินค้าในตลาดโลกลดลง ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี เหล็ก และเดินเรือ (ยกเว้นพลังงานยังดีอยู่)

ฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท ศึกษาหุ้นประเภทคอมโมดิตี้ (Commodity) โดยเสนอกลยุทธ์การลงทุน และทางออกสำหรับการลงทุนช่วงนี้ ให้แก่นักลงทุนที่ติดหุ้นดังกล่าว...

หุ้นคอมโมดิตี้ที่อนาคต ไม่สดใส ในสายตานักวิเคราะห์ บล.บีฟิท ก็คือ หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี ซึ่งแนวโน้มธุรกิจยังอยู่ในวัฏจักรขาลง สอดคล้องกับราคาหุ้นที่ลดลงมามากเช่นเดียวกัน

เหตุที่ราคาหุ้นปิโตรเคมีลงมามากในช่วงที่ผ่านมา เกิดจากธุรกิจปิโตรเคมีต้นน้ำอยู่ในวงจรขาลง และมีมาร์จินแคบลง นักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานบล.บีฟิท แสดงความเห็น

แม้ความต้องการ เอทธิลีน จะมีมากขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และคาดว่าราคาน่าจะสู่ระดับสูงสุดในปีนี้ แต่การที่โรงงานผลิตขนาดใหญ่จะก่อสร้างแล้วเสร็จ จะทำให้เกิดอุปทานใหม่ๆ สู่ตลาดจำนวนมากขึ้นตั้งแต่ปี 2550-2551 จะทำให้ราคาเอทธิลีนอ่อนตัวลงตาม เป็นผลให้ส่วนต่างกำไรของผู้ประกอบการจะลดลงมาก

ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีต้นน้ำมีส่วนต่างที่แคบลง แต่ธุรกิจปลายน้ำ อย่างผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก กลับเติบโตสดใสสวนทาง เนื่องจากความต้องการใช้มีมากขึ้น ทำให้อุปทานยังมีน้อยกว่าความต้องการ จึงคาดว่าในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าจะยังมีความต้องการเข้ามาอีกมาก ส่งผลให้แนวโน้มราคาดีขึ้น

หุ้นอินโดรามา โพลีเมอร์ส (IRP) โดดเด่นที่สุดในกลุ่มปิโตรเคมี เพราะได้ประโยชน์จากวงจรปิโตรเคมีขั้นปลายน้ำ ที่ความต้องการเม็ดพลาสติก PET ของตลาดโลกยังเติบโตสูงถึง 8-10% ในปีนี้ ขณะที่กำลังการผลิตใหม่ในประเทศไทย ยุโรป และอเมริกาจะเพิ่มขึ้นมาเป็น 5.24 แสนตันในปี 2550 จะทำให้กำไรของบริษัทเติบโตตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นมาก เราคาดว่าปีนี้กำไร IRP จะเติบโต 39% ถือว่าเป็นหุ้นตัวเดียวในกลุ่มที่มีกำไรโตมาก และแนะนำให้ซื้อลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว

สำหรับผู้ที่ติดหุ้นปิโตรเคมีอยู่ก่อนหน้านี้ เอกพิทยา เอี่ยมคงเอก รองกรรมการผู้จัดการ บล.บีฟิท ให้แนวทางการลงทุนว่า หากคิดจะขายหุ้นในช่วงนี้ คงจะช้าเกินไปแล้ว เพราะราคาหุ้นปรับตัวลงมามากแล้ว แต่ไม่แนะนำให้ซื้อเพิ่มในช่วงนี้ เนื่องจากวงจรธุรกิจปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาลง ทำให้ส่วนต่าง (Space) แคบ แต่หากราคาหุ้นขึ้นให้ขาย และไม่ควรนำเงินก้อนใหม่มาลงทุนเพิ่ม ยกเว้นหุ้น IRP ที่แนะให้ลงทุนได้

สำหรับหุ้น เดินเรือ เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่ติดหุ้นกันมาก นักวิเคราะห์จาก บล.บีฟิท ประเมินว่า เหตุที่ราคาหุ้นเดินเรือปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นปี เป็นผลจากค่าระวางเรือที่ปรับลดลง ทำให้รายได้ของบริษัทเดินเรือต่างๆ ลดลงตาม

กลุ่มเดินเรือได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ทำให้ราคาหุ้นตอบสนองมาก และเร็วกว่าผลการดำเนินงาาน คาดว่ารายได้ของกลุ่มจะไม่โตไปกว่านี้ สะท้อนจากดัชนีค่าระวางที่ถึงจุดสูงสุดไปแล้วเมื่อปี 2548 แต่ราคาหุ้นก็ปรับลดลงมากจนทำให้ค่าพี/อี เรโชค่อนข้างต่ำ

อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยบล.บีฟิท มองว่า จากค่าระวางเรือที่ปรับตัวลงมา อาจเป็นแรงกดดันให้อัตราการปลดระวางเรือเพิ่มขึ้นในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ปริมาณเรือลดลงบ้าง ขณะที่ความต้องการใช้เรือในการขนส่งถ่านหิน เหล็ก พืชผลเกษตร ยังมีอยู่ โดยเฉพาะแนวโน้มเศรษฐกิจของจีนที่คาดว่ายังเติบโตอยู่ถึง 8.9% ในปีนี้

ตลอดจนแนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กของจีน ที่ปรับตัวดีขึ้น จะส่งผลดีต่อค่าระวางเรือในทิศทางที่ดีขึ้น

เราประเมินว่าตั้งแต่ปี 2550-2551 ธุรกิจเดินเรือจะดีขึ้น จากจำนวนเรือที่ชะลอตัวลง และความต้องการใช้เรือขนส่งที่เพิ่มขึ้น

สำหรับหุ้นเดินเรือที่ฝ่ายวิจัยแนะนำ ได้แก่หุ้น โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) และ หุ้น อาร์ ซี แอล (RCL) และแนะนำให้ ขายทิ้ง หุ้น พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) เนื่องจากค่าระวางเรือลดลงมากกว่าTTA และ RCL เพราะรายได้หลักของ PSLจะมาจากค่าระวางเรือเป็นหลัก ขณะที่ TTA ได้กระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจเรือขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่ง ทำให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในราวกลางปี และปลายปีนี้ ผลกระทบจากค่าระวางเรือลดลงจึงน้อยกว่า

ปีนี้ถือว่าราคาหุ้นกลุ่มเดินเรือถึงจุดต่ำสุด (Bottom) และอยู่ในจังหวะฟื้นตัวตามอุตสาหกรรมเหล็ก ถ้าใครติดหุ้น PSL แนะนำให้ขาย แล้วเปลี่ยนมาถือ TTA และ RCL เมื่อราคาลดลง แต่ไม่ควรใส่เม็ดเงินใหม่เข้าไป หรือถ้าหากลงทุนในหุ้นเหล็กได้กำไรก่อน แล้วค่อยมาซื้อหุ้นเดินเรือ เพราะสองธุรกิจนี้จะมีความสัมพันธ์กันถึง 81% เอกพิทยา กล่าว

ทางด้าน หุ้นเหล็ก เลวร้ายมาตลอดทั้งปี 2548 หลังจากจีนเพิ่มกำลังการผลิต ส่งผลให้ปริมาณเหล็กในตลาดโลกมีมากถึง 1,129 ล้านตันเป็นครั้งแรก ขณะที่ความต้องการใช้จริงมีอยู่เพียง 998 ล้านตันเท่านั้น ทำให้มีส่วนเกินกว่า 100 ล้านตัน ส่งผลให้ราคาเหล็กลดลงต่อเนื่อง

ปีที่ผ่านมาราคาเหล็กในตลาดผันผวน และลดลงเร็วมาก ส่งผลต่อหุ้นเหล็กรีดร้อน อย่างเช่น สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) เพราะต้องซื้อเหล็กในราคาต้นทุนที่สูง เมื่อราคาเหล็กลดลง ทำให้แทบทุกบริษัทขาดทุน เพราะขายได้ในราคาที่ต่ำกว่าราคาต้นทุน

อย่างไรก็ตามราคาเหล็กในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา (ไตรมาส 4/ 2548 และไตรมาส 1/2549) ราคาเริ่มนิ่ง ทำให้ผู้ประกอบการสามารถซื้อเหล็กได้ในราคาที่ถูกลง และขายได้ในราคาที่ดีขึ้น สต็อกต้นทุนราคาสูงได้ถูกระบายออกไป ทำให้ผลกำไรของกลุ่มเหล็กดีขึ้น ขณะนี้ราคาเหล็กเริ่ม ปรับขึ้น ในช่วงสั้นแล้ว

แม้ราคาเหล็กในช่วงสั้นจะเริ่มดีดตัว แต่เราเชื่อว่างบไตรมาส 1/2549 ของผู้ประกอบการส่วนมาก จะยังไม่สวย แต่แนวโน้มผลการดำเนินงานจะเริ่มดีขึ้นหลังสต็อกสินค้าเก่าเริ่มระบายออกไป

ฝ่ายวิจัยบล.บีฟิท ได้ตั้งสมมติฐานไว้ 2 กรณี สำหรับหุ้นเหล็กที่จะได้ประโยชน์ด้านบวก โดยพิจารณาจากระดับสินค้าคงคลังของบริษัทที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก และอัตราการหมุนของสินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับสูง

กรณีแรก...หากราคาเหล็กกลับมาเป็น ขาขึ้น...

บริษัทที่จะได้รับผลในเชิงบวกมากที่สุด คือ สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) เนื่องจากมีระดับสต็อกสินค้าในระดับสูง รวมถึงมีอัตราการหมุนของสินค้าถึงเกือบ 5 เดือน ขณะที่ นครไทยสตริปมิล (NSM) ที่มีอัตราการหมุนของสินค้าเกือบ 4 เดือน รองลงมาได้แก่ ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส (INOX) บางสะพานบาร์มิล (BSBM) และ มิลเลนเนียม สตีล (MS) มีอัตราการหมุนของสินค้าประมาณ 3 เดือน แต่บริษัทที่ได้รับผลในเชิงบวกน้อยที่สุด คือ จี สตีล (GSTEEL) ที่มีอัตราการหมุนของสินค้าน้อยที่สุด

กรณีที่สอง..หากราคาเหล็กปรับตัวลดลงจากปัจจุบัน...

ฝ่ายวิจัยประเมินว่า หุ้นเหล็กที่จะได้รับผลกระทบในเชิงลบสูงที่สุดคือ SSI และ NSM เนื่องจากมีสต็อกสินค้าในสัดส่วนที่สูง และราคาวัตถุดิบปัจจุบันส่วนมากจะตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกับราคาตลาด ดังนั้น หากราคาปรับตัวลดลงต่ำกว่าราคาปัจจุบัน เชื่อว่าจะมีการตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าที่สูงขึ้น

ขณะที่บริษัทที่ได้รับผลกระทบในระดับรองลงมา ได้แก่ MS, INOX , BSBM และ GSTEEL

เราแนะนำให้ซื้อหุ้นกลุ่มเหล็กหลังจากผลงานไตรมาส 1/2549 ออกมาแล้ว เพราะคาดว่าผลงานจะออกมาไม่สวย โดยให้ซื้อขายช่วงสั้น (เทรดดิ้ง) ตามราคาเหล็กที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่คนที่ถือยาวได้จะน่าสนใจ เอกพิทยา กล่าวสรุป

 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#1 วันที่: 10/04/2006 @ 08:52:39 : re: หุ้นวงจร "เหล็ก-เดินเรือ"ลมหวน/ปิโตรเคมี"
thanks krab....
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com