????
สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238 |  วันที่: 17/04/2006 @ 07:11:49 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต SAMART-SIM รับผลดีเงินบาทแข็งค่า ทำรายได้ไตรมาส2 สวย ต้นทุนสินค้าดอกเบี้ยจ่ายลดกำไรเพิ่ม จ้างเครือปูนใหญ่สร้างโรงไฟฟ้าเขมร เซ็นสัญญา 20 เม.ย.นี้ ปี 51 เริ่มรับรู้รายได้ 2,000 ล้านบาทต่อปี โบรกเชียร์ซื้อปีนี้ตัวนำกลุ่มสื่อสาร[/color:790bc6f82e">
แหล่งข่าวจากบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ SAMART เปิดเผยว่าการที่เงินบาทแข็งค่ามากที่สุดรอบ 6 ปี โดยขึ้นมาแตะ 37.968 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯทำให้บริษัทในเครือ SAMART ได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะ SIM เนื่องจากเป็นบริษัทฯ นำเข้าเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อมาขายในประเทศ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนลดลง ทำให้มีกำไรจากการจำหน่ายเครื่องได้มากขึ้นขณะที่ราคาขายในท้องตลาดซึ่งเป็นเงินบาทยังอยู่ในระดับเดิม
ทั้งนี้บริษัทฯมักซื้อเครื่องลูกข่ายรุ่นใหม่กักตุนไว้เพื่อจำหน่ายนานถึง 6 เดือน ดังนั้นการซื้อเครื่องช่วงนี้จะทำให้มีกำไรมาก
นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินบาทยังส่งผลดีต่อภาระหนี้ของ
SAMART และ SIMเพราะทำให้เงินต้นสกุลดอลลาร์รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายลดลง
บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียพลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มสื่อสารคือ SAMART และ SIM ซึ่งส่งผลผลการดำเนินงานไตรมาส 2/49ดีขึ้นให้โดย SAMART มีหนี้สกุลดอลลาร์ 15% จำนวน 17 ล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 320ล้านบาท บวกดอกเบี้ย LIBOR 2%ต่อปี ชำระเป็นรายเดือนเดือนละ 3.55 แสนดอลล่าร์โดยบริษัทมีหนี้ระยะสั้นประมาณ 2,569.19 ล้านบาทของมูลหนี้ทั้งหมด
ขณะที่ SIM มีอยู่ 21% หรือประมาณ 475 ล้านบาท จากมูลหนี้ทั้งหมด 2,377.55ล้านบาท ดังนั้น หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1%จะทำให้ทั้ง 2 บริษัท มีกำไรเพิ่มขึ้น 3%
นอกจากนี้ทั้ง 2 บริษัท ยังมีกำไรจากการจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นด้วย จึงแนะนำให้ซื้อเก็งกำไรทั้งสองตัว
บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ กลุ่มสามารถน่าลงทุนมากที่สุดในบรรดาหุ้นสื่อสาร เนื่องจากมีรายได้เติบโตต่อเนื่องทั้งกลุ่ม และไม่มีความเสี่ยงด้านปัจจัยการแข่งขันที่รุนแรง อย่างหุ้นกลุ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น ADVANC UCOM และ TRUE
นอกจากนั้น หุ้นกลุ่มนี้จึงมีข่าวดีหนุนต่อเนื่อง เช่น การก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่เขมร ซึ่งจะเป็นตัวสร้างรายได้เป็นอย่างดี และไม่มีการแข่งขันที่รุนแรง ส่วน SIM นั้นก็สามารถขยายตลาดในต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า SAMART จะเซ็นสัญญาจัดตั้งโรงผลิตกระแสไฟฟ้าที่ประเทศกัมพูชา ระหว่างสามารถคอร์ป กับ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย อุตสาหกรรม จำกัด ในวันที่ 20 เม.ย.49 นี้
สำหรับสาเหตุที่ใช้เวลานานในการเริ่มต้นโครงการ เพราะต้องใช้เวลาในการศึกษามากพอสมควร เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่มาก ต้องทำการศึกษาแหล่งเงินทุนอย่างละเอียด และเป็นธุรกิจใหม่ที่กลุ่มสามารถฯ ไม่เชี่ยวชาญมาก่อน
เบื้องต้นคาดว่าจะใช้กระแสเงินสดของบริษัทฯ บางส่วน และกู้ยืมบางส่วน แต่ไม่มีการเพิ่มทุน ดังนั้น ในปี 49 กลุ่มสามารถจึงมีภาระการใช้เงินที่สูงพอสมควรซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนหลักหมื่นล้านบาท และใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างนาน 2 ปี
เป้าหมายการลงทุนนั้น SAMART มองไปถึงโครงการเกี่ยวเนื่อง เช่น สายส่ง และเชื้อเพลิงในการผลิต(วัตถุดิบ) ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 51 ปีละประมาณ2,000 ล้านบาท โดยคิดเป็นราคาจำหน่ายไฟฟ้ายูนิตละ 75 เซนต์ โรงไฟฟ้าดังกล่าวมีกำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์
กลุ่มสามารถฯ ตั้งเป้าหมายสร้างสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศให้เท่ากับรายได้ในประเทศในปี 51 และ นโยบายการลงทุนต่อจากนี้จะมุ่งไปยังธุรกิจที่มีความต่อเนื่องในระยะยาว และมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน แม้จะต้องมีการลงทุนมหาศาลในครั้งเดียว ก็ถือว่าคุ้มค่า
โครงการโรงไฟฟ้าใช้เงินลงทุนมากแต่ในทางกลับกันก็ให้ผลตอบแทนสูงเพราะร่วมมือกับรัฐบาลกัมพูชา
ที่มา ข่าวหุ้น[/color:790bc6f82e">
|
