April 29, 2024   11:43:31 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เซียนหุ้น..พันล้าน" เสี่ยอ้วน.."ชัยสิทธิ์ วิริยะเม
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 18/04/2006 @ 02:48:30
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เปิดตัว เสี่ยอ้วน ชัยสิทธิ์ วิริยะเมตตากุล เซียนหุ้น..พันล้าน (อีกคน) ของตลาดหุ้นไทย ที่มีบุคลิก โลว์ โฟรไฟล์ แต่ชอบทำกำไรแบบ ไฮ โฟรฟิท แม้จะ จน ชื่อเสียง แต่สุด ร่ำรวย คอนเนคชั่น..รู้จักเขาที่นี่ที่เดียวเท่านั้น

ด้วยอุปนิสัยที่ค่อนข้างเก็บตัว ทำให้หลายคนอาจรู้จัก ชัยสิทธิ์ วิริยะเมตตากุล เพียงผิวเผิน...ในฐานะผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นใหญ่ โรงพยาบาลวิภาวดี แต่น้อยคนที่จะเข้าใจเหตุผลและวิธีการเล่นหุ้นระดับ พันล้าน ของเขา ที่แม้แต่ เซียน ยังต้องเรียก พี่

ชัยสิทธิ์ เปิดเผยเทคนิคเริ่มแรกว่า ผมจะตั้งรูปแบบของพอร์ตหุ้นเสียก่อน โดยวางสัดส่วน 80% เป็นการลงทุนระยะยาว กับอีก 20% จะกันไว้เพื่อเล่นแบบซื้อเร็วขายเร็ว คือจะเล่นไปตามกระแส เมื่อมีข่าวว่าหุ้นตัวนั้นดี

ตรวจสอบหุ้นทุกตัวในพอร์ตของ ชัยสิทธิ์ พบว่า พอร์ตของเซียนหุ้นรายนี้มีมูลค่าสูงกว่า 1,200 ล้านบาท ขณะที่มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า ชัยสิทธิ์ อาจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับหุ้นเก็งกำไรในตลาดหุ้น...จนร่ำรวยขึ้นมา

โดยเฉพาะ ไดนาสตี้ เซรามิค (DCC) ถือเป็นตัวหลักประจำพอร์ต ที่มีมูลค่ากว่า 627 ล้านบาท

กล้าพูดได้ว่าผมไม่เคยไปทำอะไรให้ชื่อตัวเองเสียหายในวงการตลาดหุ้น และคงไม่ใช่ทีเดียวหากจะบอกว่าผมเป็นนักเล่นหุ้นรายใหญ่ ก็อยากให้ไปดูพอร์ตหุ้นของผม จะเห็นได้ว่ามันไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว แต่เป็นเพราะผมชอบ...ซื้อสะสม

ส่วนที่มาของหุ้น DCC นั้น มันเป็นหุ้นที่ผมถือมานานแล้ว เพราะไปซื้อตั้งแต่สมัยที่เข้าไปเทคโอเวอร์พร้อมๆ กับ รุ่งโรจน์ แสงศาสตรา (ปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 และประธานบริษัท) และตอนนั้นซื้อมาแค่หุ้นละ 8 บาท

เชื่อมั้ย!! ต้นทุนหุ้นของผมตัวนี้...ถูกมากๆ ตอนนั้นลงทุนไปแค่ 20 กว่าล้านบาท เพราะธุรกิจมันยังขาดทุนอยู่ แล้วเศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี

จนเมื่อเราก็เข้ามาปรับปรุงงาน เปลี่ยนเครื่องจักร ซึ่งต้องยกเครดิตส่วนใหญ่ให้คุณรุ่งโรจน์ ทำให้ตอนนี้มูลค่าหุ้น DCC เฉพาะพอร์ตของผม...มันขึ้นมาตั้งกว่า 600 ล้านบาท

แล้วอย่างนี้ถามว่าเราไปปั่นหุ้นมั้ย! นี่คือสิ่งที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับผม

แม้มูลค่าหุ้นของผม รวมทั้งพอร์ตแล้วจะมากกว่า 1,000 ล้านบาท แต่เอาแค่ DCC กับ VIBHA ก็ล่อไปเกือบพันล้านแล้ว ผมจะมีคติว่า...ถ้าหุ้นตัวไหนที่ผมไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหาร ผมก็จะไม่ใส่เงินลงทุนมากเกินไป

ส่วนเหตุผลในการเข้าไปลงทุนในหุ้นของ ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม (TFD) เป็นจำนวนถึง 20.38% ก็อย่างที่บอกสไตล์ทำงานของผม ถ้าเราไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำงานหรือบริหาร...ผมก็จะถือหุ้นนั้นแต่น้อย แต่นี่เพราะผมเป็นกรรมการบริษัท

แล้วการตั้งข้อสังเกตว่า นักวิเคราะห์ ไม่แนะนำ ให้ลงทุนใน TFD หลังจากปีก่อน (2548) ไปขายสินทรัพยดี (พร็อพเพอร์ตี้) ไปให้แก่กองทุนอสังหาริมทรัพย์ จนทำให้บริษัทไม่น่าจะมีความสามารถทำกำไรได้มากเท่ากับปีก่อนๆ แล้วทำไมผมกลับเข้าไปลงทุน

ก็ขอถามว่า? แล้วทำไมทุกคนต้องมีมุมมองหรือคล้อยไปตามกับคนวิเคราะห์ด้วย พวกนักวิเคราะห์ที่มันวิเคราะห์หุ้น...เจ๊งไปกี่บริษัทแล้ว ชัยสิทธิ์ กล่าว พร้อมอธิบายต่อว่า

ธุรกิจจำเป็นต้องมีการวางแผนลงทุน เพื่อขยายกิจการ การที่นักวิเคราะห์มองว่า TFD เอาสินทรัพย์ดี (พร็อพเพอร์ตี้) ไปขายให้แก่กองทุนอสังหาริมทรัพย์...ก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะหยุดเพียงเท่านี้ ...ปี 2549 เราก็ยังจะมีโครงการอีกหลายโครงการที่จะซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อมาทำโครงการต่อ เราจะค่อยๆ สร้างสินค้าใหม่ขึ้นมา เอาเข้ามาในบริษัท เพื่อสร้างกำไร

ที่ขายพร็อพเพอร์ตี้เดิมออกไปเพราะต้นทุนทางธุรกิจมันสูง แล้วเรายังได้สภาพคล่องเข้ามาอีกตั้งหลายร้อยล้าน หนี้สินก็ลดลง จะไปกู้เงินลงทุนเพิ่มก็สบาย ทุกอย่างมันลงล็อกหมด แล้วจะไม่ให้ผมมั่นใจได้ยังไง

ชัยสิทธิ์ ส่งสัญญาณอย่างเปิดเผยว่า เขาจะซื้อหุ้น TFD เพิ่มอีก...โดยจะมีการแจ้งตลาดเมื่อซื้อ

เมื่อเราเข้าไปเหนื่อยแล้ว ก็จะใช้สมองของผมทำธุรกิจให้ดี จะทำให้มันมีคุณภาพด้วย และระยะยาว...ไม่ใช่ระยะสั้น

โดยรับรองว่าต่อไป TFD จะต้องเป็นหุ้นคุณภาพ...มีข้อแม้ว่า ถ้าผมยัง (บริหาร) อยู่นะ

แต่วันใดที่ผมไม่อยู่...ก็ตัวใครตัวมัน เพราะถ้าผมออกมาหรือขายหุ้น นั่นเพราะผมไม่สามารถทำให้มันมีคุณภาพได้ตามต้องการ ถ้าของไม่ดีแล้วผมจะอยู่ทำไม

ส่วนที่มีชื่อเขาเข้าไปถือหุ้นใหญ่ (21.29%) ใน บ.พีเออี (ประเทศไทย) (PAE) ซึ่งอยู่ในหมวดฟื้นฟูกิจการนั้น ชัยสิทธิ์ ยอมรับว่า เตรียมที่จะขายหุ้นตัวนี้ทั้งหมด (8.15 ล้านหุ้น) ด้วยสาเหตุเพราะไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการแห่งนี้ได้

เซียนหุ้นรายนี้ยอมรับว่า ทุกเหตุผลในการลงทุนเกิดขึ้นจากเนื้อประสบการณ์ที่ได้จากการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งเคยทำให้ ขาดทุน มาหลายร้อยล้าน

ผมเริ่มเล่นหุ้นตั้งแต่สมัยที่ SET ไปอยู่ที่ระดับ 1,700 จุด หรือประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่ตลาดหุ้นจะเกิดวิกฤติ ตอนนั้นเห็นเขาบอกกันว่า...เล่นหุ้นกำไรดี ผมก็เอาด้วย แต่ตอนนั้นกลับเจ๊งหุ้นไปกว่า 200 ล้านบาท ยอมรับว่าช่วงนั้นยังเล่นหุ้นไปค่อยเป็น โบรกเกอร์ให้ซื้ออะไรเราก็ซื้อตาม

ในพอร์ตของ ชัยสิทธิ์ วันนั้นมีตั้งแต่หุ้น ฟินวัน ศรีมิตร และ ยูนิเวส เป็นต้น

กลุ่มนี้ผมมีหมดเลย แล้วก็เสียทุกตัว เพราะตอนนั้นมันปั่นกันหมด คนบริหารก็ไม่โปร่งใส ถึงวันนี้ผมยังเก็บใบหุ้นเอาไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้เราสัญญากับตัวเองว่า เมื่อไรที่มีโอกาสเข้ามาถือหุ้นและได้บริหารงานในบริษัทใดก็ตาม ผมจะต้องไม่มีวันที่จะทำชั่วๆ อย่างนั้นเด็ดขาด และจะไม่ทำให้คนอื่นเขาต้องมารับความเสียหายไปกับเรา...รับรองได้

แล้วบาดแผลของ ชัยสิทธิ์ ก็เหมือนจะหายสนิท เพราะเงินที่เขาเสียไปตอนนั้น สามารถเอากลับคืนมาได้ทั้งหมด

หลังเสีย 200 ล้านบาท ไปกับหุ้นปั่น ผมก็มาเอาคืนจากเนื้อธุรกิจที่เราทำจริงๆ ...แค่ DCC ตัวเดียววันนี้ผมได้มาตั้ง 500 กว่าล้านบาท แล้วยังมาได้ปันผลต่อปีอีกถึง 40 ล้านบาท

และทุกวันนี้ผมยังมีเงินลงทุนในหุ้นไว้อีกจำนวนมากตั้งแต่ บ.น้ำมันพืชไทย (TVO) ซึ่งผมถืออยู่ตั้ง 3 ล้านหุ้น บ.กุลธรเคอร์บี้ (KKC) ...ผมก็ถือ โมเดิร์นฟอร์ม (MODERN) ผมก็มี ...รวมถึง บ.โรแยล ซีรามิค (RCI) ก็เป็นหุ้นที่เรารู้จักตัวอุตสาหกรรมอย่างดี

หลายตัวผมก็ลงทุนแบบ ซื้อลืม ไปเลย อย่าง ธ.เกียรตินาคิน (KK) ผมก็มีประมาณล้านกว่าหุ้นแล้ว ก็ถือมาตั้งแต่สมัยที่ SET มันยังแตะอยู่แถวๆ 200 กว่าจุดนั่น จนตอนนี้ KK มันไป 36 บาทแล้ว

หุ้นพวกนี้มันมีทั้งกำไรและเงินปันผล หลังจากรับปันผล ผมก็จะเอาเงินปันผลนั้นไปซื้อหุ้นเพิ่มอีก ไม่ได้มีการเทรดอะไรมากมาย แล้วอย่างผมนี่ไม่รู้จะเรียกว่าปั่นหุ้นได้อีกเหรอ แล้วพอร์ตของผมแต่ละปีแทบจะไม่มีการซื้อขาย แม้จะมีหุ้นเยอะก็จริง แต่มันก็กระจายๆ กัน

ส่วนการเล่นแบบเก็งกำไร...ก็มีบ้าง แม้แต่ หุ้นปิคนิค (PICNI) ผมก็เคยซื้อ!!

ตอนนั้นราคาสูงกว่า 10 บาท ผมก็ไปซื้อมา 2-3 ล้านหุ้น แต่ผม หนีทัน

เขาอธิบายเทคนิคทำกำไรจาก หุ้นปิคนิค ครั้งนั้นว่า ด้วยนิสัยเป็นคนชอบตัวเลข ตอนนั้นเห็นหุ้น ปิคนิค มันผิดธรรมชาติมาก จำได้ว่า วอร์แรนท์ แทบไม่มีการซื้อขาย...คนกลับไปนิยมซื้อหุ้นแม่

ปกติซื้อวอร์แรนท์มันก็คือ ซื้ออนาคต ถ้าหุ้นในอนาคตของคุณจะเติบโต ราคาวอร์แรนท์จะต้อง นำหน้า หุ้นแม่

แต่ตัวนี้วอร์แรนท์มันกลับถอยลง...และเยอะด้วย

ตอนนั้นราคาตัวแม่ (PICNI) เฉลี่ยอยู่หุ้นละ 17 บาท แต่ผมซื้อตัวลูก (PICNI-W1) เฉลี่ยที่ราคา 12 บาทกว่า ต่างกันตั้ง 4 บาทกว่า ลองไปถามนักวิเคราะห์ก็ตอบผมไม่ได้ เราก็ลุยซื้อตัวลูกอย่างเดียว เขาก็เตือนว่ามันไม่ค่อยมีสภาพคล่อง ผมบอกไม่เป็นไร เพราะอีกไม่กี่วันผมก็จะแปลงเป็นตัวแม่แล้ว แล้วผมก็จะมีสภาพคล่องเอง

ผมก็ซื้อ หลังจากแปลงเป็นตัวแม่เสร็จ ผมขายเกลี้ยงเลย กำไรทันที

นี่เพราะเราคลุกคลีกับมันจนรู้...คือ มันมีเซนส์ จนสามารถอ่านนิสัยมันถูกว่าต้องอย่างไหน รู้ก่อนแล้วว่าต้อง หนีเร็ว แต่ตอนที่ราคามันลงมา ผมก็ยังซื้ออีก ขึ้นไปหน่อยก็ขาย...ผมก็กำไรอีก

เขายืนยันว่า ไม่มีอินไซด์ ผมเดาเอาเอง มันเป็นเซนส์

 กลับขึ้นบน
อาฟง
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
#1 วันที่: 18/04/2006 @ 02:51:29 : re: เซียนหุ้น..พันล้าน" เสี่ยอ้วน.."ชัยสิทธิ์ วิริ
เส้นทาง สายสัมพันธ์ ของ ชัยสิทธิ์ วิริยะเมตตากุล ตลอดทางที่ผ่านมา มักจะถูกตั้งข้อสังเกตว่า ที่เขาเติบโตและมั่งคั่งขึ้นมาได้ เนื่องจากมีความสัมพันธ์อันดีกับเซียนหุ้น และผูกพันกับนักธุรกิจระดับชาติจำนวนมาก


นับตั้งแต่ความใกล้ชิดกับ วิชัย กฤษดาธานนท์ เจ้าของกฤษดามหานคร (KMC) รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงจำนวนมากในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร วปรอ. รุ่น 4414 ที่มีเพื่อนร่วมรุ่นตั้งแต่ บุญคลี ปลั่งศิริ ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ และ พายัพ ชินวัตร รวมถึงการเข้ามาถือหุ้น VIBHA ของนักเลงหุ้นอย่าง กมล เอี้ยวศิวิกูล

ในวงการธุรกิจ มันแทบเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่รู้จักกับบุคคลในแต่ละวงการ เราต้องยอมรับความจริงในข้อนี้ก่อน อย่างที่ผมรู้จักกับ คุณวิชัย นั้น เพราะพื้นฐานของผมเติบโตมาจากสายพร็อพเพอร์ตี้ เราก็เข้าไปลงทุนใน KMC กับเขาด้วย ผมเองก็มีบริษัทรับเหมา แล้วก็ยังสะสมแลนด์แบงก์ไว้จำนวนมาก

แต่... บริษัทรับเหมา ของผม (บ.เทพารักษ์ พัฒนาการ และ บ.ไทยริม แอนด์ แอสโซซิเอทส์) จะไม่เคยไปรับงานภายนอก ยกเว้นงานก่อสร้าง ม.เอแบค ที่บางนา ...นอกจากนั้น จะทำแต่โครงการ (โกดังเช่า) ในส่วนซึ่งเป็นที่ดินของผมเท่านั้น

ผมกลัวมากเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แม้แต่ที่โรงพยาบาลวิภาวดี ผมก็ไม่เคยเอาบริษัทรับเหมาของเราไปรับงาน

ส่วนความสัมพันธ์ใน วปรอ.4414 นั้น มันมีนักเรียนในรุ่นมากกว่า 180 คน ซึ่งในรุ่นก็มีการแยกออกเป็นกลุ่มต่างๆ ทั้งกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ เพราะจะให้ทุกคนมีความคิดที่เหมือนกันหมด...มันแทบจะเป็นไปไม่ได้

แม้แต่ตัวผมเอง ก็ไม่ใช่ว่าจะเห็นด้วยกับทุกๆ เรื่อง

อย่างที่รู้จัก บุญคลี เพราะเราเคยเรียนวิศวะ จุฬาฯ มาด้วยกัน แต่เขาเป็นคนเรียนเก่ง ส่วนผมเรียนไม่เก่ง เพียงแค่ปีเดียว...ผมก็จอด แล้วก็สอบเข้ามาเรียนใหม่จนได้ จึงเป็นรุ่นน้องเขาไป 1 ปี แล้วก็อยู่ในสังคมมาด้วยกัน ความเป็นมาระหว่างเรา...ก็มีแค่นั้น

สำหรับ พายัพ ชินวัตร แม้จะร่วมเรียนอยู่ใน วปรอ.4414 ด้วยกัน แต่ความจริงแล้วผมจะไม่ค่อยพัวพันกับหุ้นเหล่านี้ ไปดูพอร์ตของผมได้ หลักๆ มีแค่หุ้น VIBHA และก็ DCC

ชีวิตผมตอนนี้มันสูงสุดยิ่งกว่าสูงสุด ไม่ได้ต้องการอะไรอีก

เพราะฉะนั้น กรุณาอย่าเอาผมไปโยงกับ การเมือง หรือบรรดา หุ้นปั่น เลย ผมยอมรับนะ...ว่าผมรวย แต่ผมติดดิน และไม่เคยคุยโอ้อวดกับใครว่าผมรวย เพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าผมมี

ส่วนที่รู้จักกับ ดร.ก้องเกียรติ ก็เป็นวิศวะรุ่นน้องของผม แต่เป็นรุ่นน้องหลายปี จะมารู้จักคุ้นกันมากขึ้นจริงๆ ก็ที่ วปรอ.4414

ที่ผ่านมาเราเกรงใจเพราะคนรู้จัก ก็มีบ้างที่ขอให้เราช่วยเปิดพอร์ตกับเขา ทั้งที่ใช่ว่าเราอยากจะเปิด เพราะการมีพอร์ตอยู่เพียงที่เดียวมันก็สบายอยู่แล้ว ไม่ต้องปวดหัว

ส่วนกระแสข่าวว่าทาง บล.แอสเสท พลัส โดย ดร.ก้องเกียรติ มักจัดสรรหุ้นจองมาให้ผมตั้งเยอะแยะ...ก็ไม่เป็นความจริง ยอมรับว่ามีบ้าง แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง แล้วที่ได้หุ้นจองมาเพราะช่วงนั้นเราเทรดเยอะ เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นขึ้นมากๆ แต่ก็หลายตัว ที่แทบทุกคน โดนสอย หมด ผมก็โดนไปด้วย

ยกตัวอย่างหุ้น แกรนด์ แอสเสท (GRAND) ตอนนั้นเขาให้จอง ไอพีโอ (4.85 บาท) ผมก็ขาดทุน เพราะมันเทรดกันต่ำกว่าจอง

แต่วิธีแก้เกมของผมก็คือ ซื้อเฉลี่ย

ตอนที่มันลงลึก ผมก็ซื้อเก็บไปเรื่อย ถึงตอนนี้ผมก็มีกำไรจากหุ้น GRAND มากกว่าเท่าตัวแล้ว

พอดีเราเข้าใจพื้นฐานของหุ้น เพราะรู้จักกับเจ้าของหุ้น (พงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์) เขาย้ำว่าธุรกิจเขายังดี โครงการก็ขายได้ ซึ่งเราเองก็แปลกใจว่าแล้วทำไมหุ้นมันลง แต่ก็ทยอยเก็บสวนทางกับตลาดไปเรื่อยๆ แม้ตอนนี้จะกำไรแล้วก็ยังไม่ขาย...ยังถืออยู่

เพราะถ้าเชื่อว่าขายครั้งสุดท้ายแล้ว ผมก็จะยังได้กำไร

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าผมจะประสบความสำเร็จกับหุ้นทุกตัว...ที่ผมเจ๊งก็มีนะ อย่าง ไทยเยอรมัน-เซรามิค (TGCI)

เพราะผมเป็นกรรมการอยู่ใน DCC ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน และที่ลงทุนก็เพราะคำว่า เพื่อน ตอนนั้นเราคาดคะเนว่า ธุรกิจกระเบื้องมันดีแน่ ก็มองว่าทุกบริษัทต้องดีหมด

ผมก็เข้าไปซื้อ TGCI ...แต่คิดดูว่าเค้าเป็นบริษัทเดียวที่สามารถทำให้ขาดทุนได้ และก็ขาดทุนเยอะด้วย ปีล่าสุดก็ขาดทุนอีกกว่า 200 ล้านบาท ทั้งๆ ที่หุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันเขากำไรกันหมด

บ้าที่สุด...ผมขาดทุนกับหุ้นตัวนี้ (TGCI) ไปกว่า 10 ล้านบาท จากราคาหุ้นละ 10 กว่าบาท วันนี้เหลือแค่ 3 บาทกว่า ขาดทุนบานเลย ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้ขายออกไปแม้แต่หุ้นเดียว

แต่ว่าจะโทษเขาก็ไม่ได้ เพราะช่วงหนึ่ง จำได้เลยราคา TGCI เคยวิ่งจาก 10 บาท เป็น 25 บาท...เราก็ไม่ขาย นี่เพราะเราพลาดเอง

สำหรับการเข้ามาถือหุ้น VIBHA ของ กมล เอี้ยวศิวิกูล ตอนนั้นเขาติดต่อเข้ามาว่าอยากจะเข้ามาลงทุนระยะยาวกับโรงพยาบาล แล้วก็มีการทำธุรกิจร่วมกันในนาม บ.ออลเอ็กซ์เบิร์ท (ให้บริการด้านคลินิกวัยทอง และดูแลผิวพรรณ) เราจึงแบ่งหุ้นบางส่วนขายให้เขาไป

แต่มาภายหลังเมื่อ กมล ต้องการเงินทุนก้อนหนึ่งเพื่อเอาไปลงทุนในธุรกิจแห่งใหม่ (บ.ไมด้า เมดดาลิสท์) เขาจึงถอนเงินลงทุนออกไป ซึ่งผมก็เข้าไปซื้อเอาไว้
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#2 วันที่: 19/04/2006 @ 08:49:32 : re: เซียนหุ้น..พันล้าน" เสี่ยอ้วน.."ชัยสิทธิ์ วิริ
รวยแล้วพูดอะไรก็ได้

เล่นหุ้นใช้ Sense อย่างเดียวก็พอแล้วเหรอ
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#3 วันที่: 19/04/2006 @ 19:36:13 : re: เซียนหุ้น..พันล้าน" เสี่ยอ้วน.."ชัยสิทธิ์ วิริ
พวกนายทุนพวกนี้มันเอาเงินมาจากไหนมากมายกายกอง พ่อแม่ทำไว้ให้รึเปล่า สงสัยจริงๆ แล้วดูหุ้นแต่ละตัวยังกะหุ้นปั่น ใครจะไปเชื่อว่าเล่นหุ้นลงทุน แล้วดูแต่ละคนที่เขาคบหาซิ มีแต่นายทุนปั่นหุ้น สงสัยจะรวมหัวกันแหงๆ ถึงทำเงินได้มากมาย ใครเชื่อว่าเล่นหุ้นแบบนักลงทุนก็บ้าแล้ว อ๋อ..ลืมไปเขาว่าบ้างตัวเขาถือลงทุน(แค่ไม่กี่ตัวนะ) ฟฟฟฟ1
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#4 วันที่: 20/04/2006 @ 19:05:41 : re: เซียนหุ้น..พันล้าน" เสี่ยอ้วน.."ชัยสิทธิ์ วิริ
คนพวกนี้ทำบุญมาดี ความรู้ดี โอกาสดี แต่ต้องการมีทุกอย่างให้มากกว่าเดิม ผมก็เหมือนกัน แต่ว่าสิ่งใดก็ไม่สำคัญเท่าถ้าเราคิดว่าจะเล่นหุ้นให้อยู่รอดได้เพราะเห็นว่าธุรกิจหลายอย่างที่ทำมาในอดีตไม่เหมาะกับเรา ก็ต้องเอาจริงเอาจังให้โดยไม่ต้องโทษคนอื่น เริ่มด้วย ทำชีวิตปกติธรรมดากับทุกคนและครอบครัว แต่ชีวิตส่วนตัว จะเล่นหุ้น ก็ตามถนัด เช่น ฟังข่าว ดูกราฟ อ่านบทวิเคราะห์ ดูTviรายการหุ้น ฟังวิทยุ ข่าว inside ได้หมด ข้อห้ามเด็ดขาด ห้ามกู้ยืมเงินคนอื่น รวมทั้งสถาบันการเงินที่ดอกเบี้ย 25 ขึ้นไปมาเล่น เเล้วถ้าหลังจากฟังและวิเคราห์ข้อมูลต่างๆ มาแล้วจะซื้อหุ้น ต้องตั้งจุด Stopp loss ไว้ก่อนเลย ถ้าเราไม่อยู่สั้ง Marketing ไว้ เช่นก่อนซื้อ GbX 3 ตั้งใจไว้เลยว่าถ้าเราเห็นราคา 2.90 ขายทันที ถึงเวลาจริงๆ ก็ต้องทำให้ได้ ใช้ได้กับหุ้นทุกตัว ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าของหุ้นกับใครรู้จักกับใครเราก็ไม่เกี่ยวเพราะข่าว Gbxมีมาเดือนกว่าแล้ว ก่อน XD ลงมาทีไรก็เด้ง XD แล้วก็เด้ง จู่ๆ ก็ลงแบบเทกระจาด ถามว่าถ้าคุณเป็นคนซื้อครั้งหลังสุดถ้าไม่มีจุด Stop loss จะทำอย่างไร แล้วถ้าเงินทุนไม่มากจะหาทุนที่ไหนมาเล่นต่อ บอกแล้วว้าห้ามกู้ แล้วไอ้คนที่ทุบหุ้นลงมาไม้ละ แสน 5แสน ใครละ เมื่อวานนี้เห็นยันราคาBid แน่นเลย ขายเท่าไหร่ไม่ลง บางทีรอเป็นสัปดาห์ รูปแบบมากมายหลายกลุ่มหลายพวกไม่มีใครรู้ได้หรอกขนาดเจ้าของหุ้นเองยังเสร็จเลย แม้แต่หุ้นพื้นฐานดี ปันผลดี แต่ถ้าเราไปซื้อทีหลังก็ติดยอดดอย รอปันผล ราคาหุ้นลง หักกลบลบกันแล้วขาดทุนมากกว่าปันผล แถมราคาหุ้นที่ซื้อติดยอดดอย เพราะฉะนั้น เชื่อผม ใครจะเป็นยังไงก็ช่างหลังจากตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อหุ้นตัวนี้ราคาเท่านี้ต้องตั้งจุด Stopp loss ไว้ แล้วคุณจะโชคดี มีเงินหมุนเวียนในการลงทุนหุ้นตลอด ไม่ว่าใครจะมาจริงมาหลอก ไม่เหมือนพวกสื่อสารเวลาหุ้นลงดันบอก ขายทำกำไร บางคนขายเพราะจำเป็น ถูกฟอสเซล บังคับขาย มันบอกขายทำกำไรอย่างเดียวงี่เง่าสิ้นดี
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com