April 29, 2024   2:32:04 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > จับสัญญาณ "ทนายวิชัย" จุดพลุ "SGF
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 18/04/2006 @ 02:52:36
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

จับตา ความเคลื่อนไหว บริษัท สยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง (SGF) ที่วันนี้กลุ่มทนาย วิชัย ทองแตง และ ตระกูลบูรพชัยศรี กำลังซุ่มเงียบเตรียมจุดพลุหุ้น SGF อีกครั้ง


หลังจากทั้งสองได้เข้ามาเทคโอเวอร์เมื่อปี 2546 โดย ทนายวิชัย เข้าซื้อหุ้นจำนวน 75 ล้านหุ้น ผ่าน บริษัท เปาโลเมดิค มีต้นทุนที่ 0.89 บาทต่อหุ้น ขณะที่ ตระกูลบูรพชัยศรี ซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 105 ล้านหุ้น มีต้นทุนที่ 1.23 บาทต่อหุ้น

เป้าหมายการปั้นหุ้นของ ทนายนักเทคโอเวอร์ คือ การยกฐานะ เอสจีเอฟ ให้เป็น ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย เมื่อไปไม่ถึงดวงดาว ส่งผลไปถึงพลังขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัท ถดถอย ลงอย่างมาก

ล่าสุด แหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดทนายวิชัย เปิดเผยกับ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า ขณะนี้ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ปรับโครงสร้างบริษัทเสร็จเรียบร้อยแล้ว นับจากนี้จะให้น้ำหนักกับราคาหุ้นของบริษัทมากขึ้น

โดยจะอาศัยเม็ดเงินกู้จาก ธนาคาร เอช วี บี สาขาสิงคโปร์ จำนวน 52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท เป็น ชนวนติดเครื่องหุ้น

ซึ่งขณะนี้ได้รับอนุมัติเงินกู้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงการร่างสัญญานิติกรรม ซึ่งจะเซ็นสัญญาเงินกู้ได้ ภายใน 1-2 เดือนนี้

โดยเงินจำนวน 2,000 ล้านบาท จะทำให้บริษัทสามารถปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้นจาก 1,400 ล้านบาท ในปี 2548 เพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท ภายในปี 2552

...แม้ว่าการกู้เงินดังกล่าว จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E เรโช) ของบริษัทปัจจุบันสูงถึง 4 เท่าอยู่แล้ว จะพุ่งทะลุไปถึง 7-8 เท่าเลยทีเดียว

แต่แหล่งข่าวรายเดิม ยืนยันว่า การได้รับเงินกู้เข้ามาถือว่าเป็นผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น แม้ว่าอัตราส่วนหนี้จะดูสูง แต่ผู้ถือหุ้นก็จะได้รับผลตอบแทนไปเต็มๆ จากรายได้และกำไรที่จะสูงขึ้น

ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของบริษัทที่วางไว้ ก็คือ เร่งให้ SGF มีกำไรต่อหุ้นสูงที่สุด ก่อนที่จะนำไปล้างขาดทุนสะสมที่เหลืออีกจำนวน 259.59 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลได้ ภายในปี 2549

...ซึ่งปฏิบัติการทั้งหมดนี้จะส่งผล (เลิศ) ไปที่ราคาหุ้น!!!

สำหรับทิศทางของธุรกิจ แฟคตอริ่ง ที่กำลังเผชิญกับการแข่งขันจากธนาคารที่มีต้นทุนต่ำกว่า แต่แหล่งข่าวรายนี้ ยืนยันว่า ไม่น่าห่วง เนื่องจากขณะนี้มีลูกค้าที่รอปล่อยกู้ค่อนข้างมาก รอเพียงเม็ดเงินกู้เข้ามา

แฟคตอริ่งของเรากับแฟคตอริ่งของธนาคารมันจับลูกค้าคนละกลุ่มกัน ซึ่งเราสามารถรับลูกค้าที่มีความเสี่ยงได้มากกว่า จะทำให้เราได้รับส่วนต่างที่มากกว่า จึงมั่นใจว่าจะรักษาส่วนต่างได้ 4-6% ส่วนผลงานจะเห็นได้ชัดเจนช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากได้เงินกู้

พร้อมกันนี้บริษัทยังมีแนวรุกที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม คือ ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งได้รับอนุมัติ เมื่อปีที่ผ่านมา โดยสินเชื่อชนิดนี้มีส่วนต่างที่สูงกว่าการปล่อยสินเชื่อแฟคตอริ่งมาก

เรามั่นใจว่าธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลจะแข่งขันได้ เนื่องจากดอกเบี้ยที่คิดกับลูกค้านั้นเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 25% ถือว่าต่ำกว่าสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ หรือนอนแบงก์ทั่วไป

อย่างไรก็ตามหากผลงานทุกอย่างออกมาพลาดเป้า ไม่สามารถที่จะล้างขาดทุนสะสมได้ บริษัทก็มี ทางออกที่สอง เตรียมไว้คือ

จะเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ SGF-W2 จำนวน 47.77 ล้านหุ้น ที่เหลือจากการใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นเดิม มาขายให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) เพื่อล้างขาดทุนสะสมแทน อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวย้ำว่าจะใช้วิธีนี้ก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น

นอกจากนี้ เอสจีเอฟ อยู่ระหว่างรอ ยึดทรัพย์ จากลูกหนี้รายหนึ่งมูลหนี้ประมาณ 160 ล้านบาท ซึ่งศาลชั้นต้นได้ให้บริษัทเป็นผู้ชนะคดี ในปี 2547 แต่บริษัทเพิ่งจะเริ่มเห็นช่องโหว่ดำเนินการยึดทรัพย์ได้ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา

พร้อมกันนี้ยังพบด้วยว่า ทนายวิชัย ได้มีการปรับโครงสร้างการถือหุ้น โดยวิธีการกระจายหุ้นของตัวเอง ออกไปไว้ในพอร์ต นอมินี เป็นจำนวนมาก

โดยเปลี่ยนมือจาก บริษัท เปาโลเมดิค ในสัดส่วน 13.30%...มาเป็นชื่อ บริษัท ไทรทองธุรกิจ ซึ่งเป็นบริษัทค้าอสังหาริมทรัพย์ของตระกูล ในสัดส่วน 7.19%

จำนวนหุ้นในส่วนที่เหลือ (บางส่วน) ได้กระจายไปสู่มือของ นอมินี อาทิ อำนาจ วงศ์สุวรรณ หรือ แป๊ะ กรรมการอิสระของ บริษัท ไดโดมอน กรุ๊ป (DAIDO) โดย อำนาจ มีชื่อขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 ในสัดส่วน 4.23% ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น เขาไม่เคยติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่ SGF ด้วยซ้ำ

การกระจายหุ้นครั้งนี้เพราะทนายวิชัยต้องการที่จะ ซื้อๆ ขายๆ หุ้นให้คล่องตัวมากขึ้น โดยไม่ติดเกณฑ์รายงานการเปลี่ยนแปลงหุ้นที่ 5%

ขณะที่ฝั่ง ไทรทอง บูรพชัยศรี ก็ส่งสัญญาณควักเงินกว่า 10 ล้านบาท ซื้อวอร์แรนท์ ตามสิทธิไปแล้ว กว่า 52.5 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 0.20 บาท

ว่ากันว่าการซื้อวอร์แรนท์ครั้งนี้ ถือเป็นการ ถัวเฉลี่ยต้นทุน หุ้นในพอร์ต บูรพชัยศรี ให้ลดต่ำลง

ท่ามกลางกระแสข่าวว่า จะมี โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ และ ก๊วนปิคนิค มาร่วมวงด้วย

เพราะล่าสุดบริษัทถูกตั้งข้อสงสัยว่าไป กู้เงินจาก บริษัท อีสเทิร์นไวร์ ของ โกมล จำนวน 500 ล้านบาท แล้วนำไปปล่อยกู้ต่อให้กับ กลุ่มปิคนิค ซึ่งมีกระแสข่าวว่าเกี่ยวข้องกับ บริษัท เจเจ แลนด์ ของพันธมิตร กลุ่มลาภวิสุทธิสิน

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวผู้ใกล้ชิด วิชัย บอกว่า บริษัทไม่มีความเกี่ยวข้อง และไม่ได้พยามที่จะสร้างคอนเนคชั่นกับกลุ่มของคุณโกมล ทั้งหมดเป็นการกู้เงินตามปกติเท่านั้น ส่วนการปล่อยกู้ต่อให้กับกลุ่มที่เคยกู้เงินจาก อิสเทิร์นไวร์ นั้น เป็นไปตามหลักการปล่อยกู้ทั้งหมด

เรื่องเป็นอย่างนี้ ที่ปรึกษาทางการเงินเดินมาถามเราว่า อยากกู้ 500 ล้านไหม จะปล่อยให้..ใครไม่อยาก เราหา 100 แต่ได้ตั้ง 500 ล้านบาท ส่วนการที่เราปล่อยกู้ให้กลุ่มนี้เราไม่รู้ เครดิตสกอริ่ง(ระบบตรวจสอบเครดิต)เขาผ่านแล้วเรื่องอะไรจะไม่ปล่อย

สำหรับการดูแลหุ้น SGF นั้น ทางกลุ่มมี มาร์เก็ตเมกเกอร์ ดูแลเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้กลุ่มอื่นเข้ามาช่วย ซึ่งเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ถ้าจะมี

อย่าลืมการยุ่งกับคนอื่นมีปัญหา คนอื่นเล่นแร่แปรธาตุเยอะ เอาคนนู้นมา คนนี้มา อาจจะซวย เราไม่ยุ่งกับใคร

 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#1 วันที่: 19/04/2006 @ 19:23:46 : re: จับสัญญาณ "ทนายวิชัย" จุดพลุ "SGF
ประเภทเอาหุ้นเน่ามาปั่นให้แมงเม่าติดอีกล่ะมั้งเนี่ย พอได้เงินแล้วก็ปล่อยให้เป็นหุ้นผีหลอก น่าเบื่อจริงๆ ฟฟฟฟ1
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com