April 30, 2024   8:30:27 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > LPNรายได้Q2ทะลุ1.5พันล้าน :น้ำมันแพงกระตุ้นยอดขายคอนโดฯแนวรถ
 

P_aud
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 531
วันที่: 26/04/2006 @ 20:55:27
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

LPN รับสภาพไตรมาสแรกยอดรับรู้รายได้ไม่โตตามเป้า 480 ล้านบาทเหตุเลื่อนโอนโครงการลุมพินีเซ็นเตอร์นวมินทร์ ออกไปเดือนก.พ.จากเดิมม.ค.49 ผู้บริหารเชื่อควอเตอร์ 2รายได้ 1,500 ล้านบาท ระบุราคาน้ำมันพุ่ง ส่งผลดีต่อการขายโครงการเพราะมีคอนโดฯใกล้รถไฟฟ้า

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1/49 บริษัทอาจมียอดรับรู้รายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ประมาณ 480 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้โอนโครงการลุมพินีเซ็นเตอร์นวมินทร์ในช่วงเดือนก.พ.49 จากเดิมที่คาดว่าจะโอนในเดือนม.ค.ที่ผ่านมาดังนั้นบริษัทต้องนำรายได้จากโครงการดังกล่าวไปรับรู้ในช่วงไตรมาส 2/49

เบื้องต้นคาดว่าในช่วงดังกล่าวบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 1,200-1,500 ล้านบาทโดยจะมาจากการโอนโครงการ 2 แห่ง คือโครงการสุขุมวิท 77 เฟส 2 ล่าสุดมียอดขายแล้ว 99% และโครงการปิ่นเกล้า ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 100% ขณะนี้อยู่ระหว่างรอส่งมอบห้องชุดให้กับลูกค้า

สำหรับผลประกอบการทั้งปี 49 บริษัทมั่นใจว่าจะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 5,000ล้านบาท เนื่องจากโครงการ 3 ใน 4 ได้มีการส่งมอบห้องชุดให้กับลูกค้าแล้ว ขณะที่อาจมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับ 34-35% ส่วนในปี 50 บริษัทจะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 6,500 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1 และ2 จะรับรู้รายได้จากโครงการนราธิวาส-เจ้าพระยาขณะที่ในไตรมาส 3 จะรับรู้รายได้จากโครงการสะพานควาย และในช่วงไตรมาส 4 จะรับรู้รายได้จากโครงการลุมพินีเพลสรัชดา-ท่าพระ

ในปี 49 บริษัทจะใช้เงินซื้อที่ดินประมาณ 1,500 ล้านบาท ล่าสุดซื้อที่ดินไปแล้ว 2แปลง คือ ย่านสะพานควาย และท่าพระ ประมาณ 600-700 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกนี้จะพิจารณาซื้อที่ดินในย่านงามวงศ์วาน อ่อนนุช สุขุมวิท 101 และห้วยขวาง เพื่อเปิดโครงการลุมพินี เซ็นเตอร์ มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท จำนวน 3,600 ยูนิต

นายโอภาส กล่าวต่อว่า สำหรับราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในขณะนี้ส่วนตัวมองว่าจะส่งผลดีต่อการขายโครงการของ LPN เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่ของบริษัทจะอยู่ใกล้รถไฟฟ้าและแหล่งชุมชน ดังนั้นจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัท

ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้นมองว่าจะส่งผลกระทบต่อโครงการของบริษัทน้อยมากไม่เกิน 1.5% ซึ่งต้นทุนที่จะมีผลกระทบต่อบริษัทคือราคาสินค้าวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นอยู่ในขณะนี้ โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้พยายามรักษาต้นทุนให้อยู่ในระดับต่ำเนื่องจากบริษัทเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่จึงมีความสามารถในการต่อรองซื้อวัสดุได้

ปีนี้บริษัทอาจมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในระดับ 0.90 เท่า เทียบกับปีก่อนที่อยู่ในระดับ 0.51 เท่า โดยจะพยายามรักษาไม่ให้เกิน 1 เท่า ดังนั้นในช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะในปี 45 ได้เพิ่มทุนไปแล้วจำนวน 300-400 ล้านบาท และเมื่อเดือนต.ค.48 บริษัทได้เงินจากการแปลงวอร์แรนต์กว่า 300 ล้านบาทอย่างไรก็ดีบริษัทมีกระแสเงินสดในมือประมาณ 200-300 ล้านบาทต่อเดือนนายโอภาสกล่าว

ที่มา:
ข่าวหุ้น

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com