กระทรวงการคลังเตรียมทบทวนเป้าเศรษฐกิจปี 2549 ใหม่ หลังเผชิญปัญหาน้ำมัน - ดอกเบี้ย
ขณะที่ ธปท.ยอมรับแทรกแซงเงินบาทอย่างหนักในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา ด้าน รมว.คลังยังมั่นใจ ธปท.ดูแลค่าเงินบาทให้เหมาะสมได้


* เตรียมทบทวนGDP ปี 2549
นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยอมรับว่า การที่จะทำให้ภาวะทางเศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัว 5%
ตามที่กระทรวงการคลังประมาณการไว้ทำได้ยาก....
เพราะราคาน้ำมันสูงขึ้นและเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว แต่ยอมรับว่าปัญหาราคาน้ำมันทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวบ้าง
แต่หากสถานการณ์การเมืองยุติได้เร็วจะสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเสถียรภาพเศรษฐกิจได้


นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ยอมรับว่า หลังจากต้องเผชิญกับปัญหาราคามันสูงขึ้นต่อเนื่อง
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ซึ่งคาดไว้ที่ 4.5% - 5% ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยก็ปรับขึ้นมาเกือบชนเพดานแล้ว
รวมทั้งค่าเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นจากที่คาดไว้ที่ระดับ 39.6 ดอลลาร์สหรัฐ มาอย่างต่อเนื่อง
สศค.ได้เตรียมทบทวนตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศ ในปี 2549 อีกครั้งในเดือนพฤษภาคมนี้
โดยสิ่งที่ยังเป็นปัจจัยบวกในขณะนี้คือ การส่งออกที่ขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยกลุ่มที่ยังขยายตัวได้ดีคือ สินค้ากลุ่มยานยนต์ ยางพารา คอมพิวเตอร์
ทำให้รายได้จากการส่งออกจะเป็นปัจจัยหลักต่อการขยายตัวเศรษฐกิจของประเทศ
เนื่องจากเศรษฐกิจไตรมาสแรกประเทศคู่ค้ายังขยายตัวได้ดี เช่น จีน เศรษฐกิจขยายตัว 10.2%
เกาหลีใต้ ขยายตัว 6.2% สิงคโปร์ ขยายตัวในระดับดีด้วยเช่นกัน โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 4.9% ในปีนี้

ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนไตรมาสแรกชะลอตัวลงจากไตรมาส 4 ของปี 48
โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ขยายตัว 13.9% ชะลอจาก 16.5% ในไตรมาส 4 ปี 48



ที่มา - กระแสหุ้น -[/color:01378ffaa1">

-----------------------------------------------------------
.0004 .0004 ??? .0004 .0004

* ธปท.ยอมรับแทรกแซงเงินบาท

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวยอมรับว่า
ธปท.ได้เข้าแทรกแซงการแข็งค่าของเงินบาทในช่วง 4 - 5 เดือนที่ผ่านมา

ซึ่งเป็นการเข้าแทรกแซงมากที่สุดและหนักที่สุดหลังจากเงินบาทและสกุลเอเชียแข็งค่าขึ้น ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2548
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 8.2% นับตั้งแต่ต้นปี 2549

สาเหตุจากสหรัฐใช้นโยบายเงินดอลลาร์อ่อนค่า เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้า ทำให้มีเงินทุนไหลเข้าในเอเชียและไทย

โดย 4 เดือนที่ผ่านมาเงินทุนไหลเข้าไทยสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 11,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 448,500 ล้านบาท
และเป็นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มากที่สุด
เนื่องจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (พีอี เรโช) ของตลาดหุ้นไทยยังต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
จึงมีโอกาสทำกำไรสูง เป็นเงินลงทุนโดยตรง (FDI) 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 128,700 ล้านบาท
ลงทุนในพันธบัตรและขณะนี้เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้


ที่มา - กระแสหุ้น -[/color:f6d62e317a">