April 20, 2024   8:03:48 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องสาระน่ารู้ > เอามาฝากค่ะ
 

am
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 123
วันที่: 16/05/2006 @ 19:20:00
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

[b:04f138a2ef">[i:04f138a2ef">[u:04f138a2ef">ทำอย่างไรดี หุ้นในมือราคาไม่กระดิก[/u:04f138a2ef">[/i:04f138a2ef">[/b:04f138a2ef">[/color:04f138a2ef">[/size:04f138a2ef">


http://api.settrade.com/actions/customization/IPO/newWebboard/board.jsp?content=qa.jsp&tid=6006



นักลงทุน เมื่อเข้าซื้อหุ้น ไม่ว่าจะซื้อโดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยทางเทคนิค หรือซื้อตามแห่โดยไม่พิจารณาเหตุผลใด ๆ

เมื่อซื้อแล้ว ย่อมหวังว่า ราคาหุ้นในมือจะกระเตื้องขึ้น หรือแม้กระทั่งติดปีกบิน

แต่ความเป็นจริงมักจะไม่เป็นไปเช่นนั้น
ปัจจุบัน ถ้าดูจากพฤติกรรมการลงทุน เราสามารถแยกนักลงทุนออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่

กลุ่มแรก ชอบเข้าซื้อหุ้น เมื่อเห็นราคาหุ้น เริ่ม เดิน เป็นกลุ่มที่เล่นตามกระแสตลาด เห็นหุ้นตัวไหนขยับ ก็จะไล่ซื้อหุ้นตัวนั้น

อีกกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มที่อาศัยปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค จะเลือกซื้อหุ้นที่ตนเองได้ศึกษามาแล้ว และมีสัญญาณส่อว่าจะต้องขึ้น ทุกครั้งที่ซื้อ ย่อมหมายถึง ตัวเองเห็นว่าจังหวะนั้นดีที่สุด เป็นโอกาสของตนแล้ว เนื่องจากก่อนซื้อ ตนได้ติดตามศึกษาข้อมูล
ภาวะจิตใจของพวกเขาตอนนั้น คิดว่าหุ้นจะต้องขยับในไม่ช้า เขาสามารถรอได้ ถ้าเป็นไปตามนั้นก็ดีไป
แต่ถ้าเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาด เวลาผ่านไปนานแล้ว หุ้นยังเฉย แถมราคายังทำท่าจะลดลงอีก
ถ้าทั้งกระดานซึม ก็ยังพอทำเนา แต่ถ้าตัวอื่นวิ่ง ทิ้งให้หุ้นที่ตนอุตส่าห์คัดเลือก ยืนอยู่กับที่ เชื่อว่านักลงทุนผู้นั้นคงมึนหนัก
ผู้ที่ประสบเหตุการณ์ อิหลักอิเหลื่อ แบบนี้ ก็พยายามหาทางออก และทางออกนั้นมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป
ทางออกของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ทั้งนี้เพราะจุดเริ่มต้น หรือภูมิหลังของการเลือกลงทุนหุ้นตัวใดตัวหนึ่งของนักลงทุนแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

ในสถานการณ์เฃ่นนี้ ไม่มีสูตรสำเร็จ ที่ใช้ได้กับทุกคน คือไม่มี ยาหม้อใหญ่ ที่ใครก็สามารถนำไปกินรักษาโรคของตนเองได้

อย่างไรก็ดี ยังมีหลักการพื้นฐานที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้กับปัญหาเฉพาะหน้าของตนเองได้
ก่อนที่จะพิจารณาต่อไป เราจะต้องแยกภาวะของตลาดในขณะนั้นเสียก่อน ว่าBullish หรือ Bearish กล่าวคืออยู่ในภาวะกระทิง หรือภาวะ หมี

และต้องทำความเข้าใจก่อน ถึงแม้ว่าตลาดจะอยู่ในภาวะขาขึ้นมีบรรยากาศกระทิง แต่หุ้นก็ไม่ได้ดาหน้าขึ้นพร้อมกันทุกกลุ่มหรือทุกตัว
ในภาวะเช่นนี้ เรา จะต้องแยกแยะให้ออกเสียก่อนว่า กลุ่มนำตลาดในขณะนั้นอยู่ตรงไหน
ที่ว่ากลุ่มนำในตลาดนั้น ที่สำคัญคือหุ้นที่ราคาพุ่งแรงเร็วกว่าหุ้นอื่น
มีปริมาณการซื้อขายมาก
หุ้นเหล่านี้จะกระจายอยู่ในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในธุรกิจเดียวกัน
อาจจะเป็นหุ้นกลุ่มหวือหวา หุ้นยอดนิยม กลุ่มหุ้นพื้นฐานดี กลุ่มหุ้นราคาต่ำ ซึ่งกระจายอยู่ในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆทั่วกระดาน

ต่อไป พิจารณาว่า หุ้นที่ถืออยู่ จะเข้าสู่ภาวะกระทิง เหมือนหุ้นอื่นหรือเปล่า
หุ้นที่กำลังจะเข้าภาวะกระทิงนั้นมีสัญญาณบ่งบอกให้เราเห็นเสมอ
กล่าวคือ ปริมาณการซื้อขายเริ่มขยายตัว ราคาทำท่าจะดีด
เมื่อหุ้นที่ถือมีลักษณะเช่นนี้ จงรอ และพร้อมกันนั้นต้องพิจารณาภาวะตลาดโดยรวมด้วย ว่า ภาวะกระทิงนั้นใกล้จะสิ้นสุดหรือเพิ่งเริ่มต้น
หากผู้ลงทุนพบว่า หุ้นในมือของตนเองไม่ขยับจะทำอย่างไรดี

ตอนแรก ๆ ได้แนะนำให้สังเกตดูว่า กลุ่มนำตลาดเป็นหุ้นประเภทไหน ทั้งนี้เพื่อจะได้มองเห็นทิศทางของตลาดว่า มีความเป็นไปได้ไหมที่จะเวียน มาถึงหุ้นของตนบ้าง

ตอนนี้ เราจะมาดูว่า ภาวะตลาดของหุ้นกลุ่มนำในขณะนั้นอยู่ในช่วงต้น ช่วงกลาง หรือช่วงปลาย
วิธีดูก็ไม่ยาก โดยดูที่ราคา และวอลลุ่มการซื้อขาย ตราบใดที่ราคาเริ่มขึ้น และวอลลุ่มซื้อมีมากกว่าขาย แสดงว่า อยู่ในช่วงต้น

แต่ถ้าราคาขึ้นมาพอสมควร วอลลุ่มซื้อไม่แตกต่างกับวอลลุ่มขาย แสดงว่า เข้าสู่ระยะกลางแล้ว
ส่วนในช่วงปลาย นั้น ราคาทำท่าจะไปต่อไม่ไหว วอลลุ่มขายมากกว่าวอลลุ่มซื้อ
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนสถานะนี้ ก็ไม่มีเส้นแบ่งเขต บ่งบอกให้เห็นได้ชัด นักเล่นหุ้นต้องอาศัยประสบการณ์และการเรียนรู้ที่มีมา
ทำกำไรขาลง ตลาดหุ้นยังไม่เปิดโอกาสให้ นักลงทุนรายย่อยทำ ปล่อยให้เป็นโอกาสของของกองทุนกับนักเล่นหุ้นต่างชาติเท่านั้น

การทำกำไรขาลงเป็นสิ่งที่ทำง่ายสำหรับตลาดหุ้นเกิดใหม่
ใช้วิธี Sort sales การขายล่วงหน้าโดยไม่มีใบหุ้น

อันนี้แตกต่างกับ การ short against port ที่นักลงทุนรายย่อย กลาง และ ใหญ่ กระทำ

การขาย short sales นั้นเป็นการขายแบบไม่ต้องมีหุ้นอยู่ในมือ รายละเอียดปลีกย่อยหาอ่านได้ จากห้องสมุดตลาดหลักทรัพย์
ด้วยเหตุนี้ นักเล่นหุ้นที่ถือ หุ้นนิ่ง ไว้ในมือ จะต้องดูว่า หุ้นในกลุ่มนำนั้นอยู่ในช่วงใด ต้น กลาง หรือปลาย
หากพบว่า กลุ่มนำกำลังแกว่ง ก้หมายความว่า เงินลงทุนในตลาดกำลังแกว่งอย่างไร้ทิศทางด้วย
โอกาศที่เงินทุนเหล่านั้นจะไหลพุ่งมาทางหุ้นตัวที่เราถืออยู่ก็มีมาก ถ้าตัวที่เราถืออยู่ในธุรกิจนั้น น่าจะถือรอต่อไป โอกาสอยู่ไม่ไกล

แต่ถ้าหาก พบว่า ในกลุ่มหุ้นที่กำลังขึ้นแรงนั้น ไม่มีหุ้นชนิดที่ตัวเองกำลังถืออยู่เลย ก็ควรรีบปล่อยเสีย เอาเงินไปเปลี่ยนเป็นหุ้นในกลุ่มที่เริ่มวิ่งนั้นทันที ยิ่งเร็วยิ่งดี ทั้งนี้ เพราะหุ้นที่เริ่มออกวิ่งนั้นจะไม่หยุดภายในวันสองวัน เราต้องหาทางซื้อหุ้นในกลุ่มนี้เข้าแทนที่หุ้นตัวเก่าในมือและขายหุ้นตัวเก่านั้นทิ้งเสีย
ถ้าหุ้นกลุ่มนำได้เข้าสู่ช่วงกลางแล้ว ก็ต้องดูว่าหุ้นในมือตนเองนั้นอยู่ในภาวะไหน หากมันได้ปรับตัวมานานพอสมควรแล้ว รอให้นักลงทุนระยะสั้นเข้ามาไล่เก็บในรอบต่อไปก็ไม่เลว เพราะถึงตอนนั้น ราคาจะดีดขึ้น ก็สามารถปล่อยทำกำไรได้
แต่ถ้าหากไม่แน่ใจว่า นักลงทุนระยะสั้นจะเข้าจริงหรือไม่ เร็วหรือช้าแค่ไหน ขณะเดียวก็ไม่กล้าทิ้งของ ก็ยังมีทางสายกลางให้เลือก ขายหุ้นในมือสักครึ่ง นำเงินไปลงทุนในหุ้นวิ่ง

ทั้งหมดที่กล่าวนี้ อยู่บนสมมุติฐานว่าหุ้นอยู่ในภาวะกระทิง

แต่ถ้าพบว่า ทั้งตลาดอยู่ในภาวะหมี ตลาดมีแนวโน้มลงเอา ลงเอา ก็ไม่จำเป็นต้องกอดหุ้นไว้ ล้างไอ้ตัวที่ ถ้าเราไม่ขาย มันก็ลง เสียเถิด
กำเงินสดไว้ เพราะขณะที่หุ้นมีค่าลดลง ค่าของเงินที่เรามีอยู่ไมได้ลดลงตาม
แล้วก็มาเข้าตลาดใหม่ เมื่อตลาดยังอยู่ในภาวะอำนวย และ ตัวเองยังหลงไหลในกำไรที่ได้มาง่ายจากตลาดหุ้น[/color:04f138a2ef">

ที่มา: จาก settrade..... ขอบคุณท่านผู้เขียน ( SABINA ) มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com