ต่างชาติขายอีกแล้วค่ะ แต่ดีหน่อยที่ลดลงเหลือ 2 พันล้านบาท
แต่หุ้นก็ยังขึ้นไปได้ด้วยแรงดันของสถาบันและรายย่อยที่กลับมาเก็บหุ้นตัวใหญ่ แต่วอลุ่มบางเต็มทน
การเด้งขึ้นครั้งนี้ก็แค่หลุมลวงตาเท่านั้น สัปดาห์นี้หุ้นคงได้แต่แกว่งตัวในช่วงแคบๆ และอาจสาละกันเตี้ยลงอีก
ใครเงินสดตุนไว้อย่างเพิ่งเข้าซื้อจนหมด ถ้าอดใจไม่ไหวก็ทยอยเก็บดีกว่าค่ะเพราะยังมีของถูกให้ซื้อหาอีกเยอะ

*แทบไม่น่าเชื่อว่า 5 เดือนปีนี้แรกกิมเอ็งจะเสียแชมป์มาร์เก็ตแชร์ให้กับเครดิตสวิสซะงั้น
เพราะต่างชาติเข้ามามาก จนน่ากลัว สัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 33.09%จากเดิมที่ 27.89 %
พูดง่ายๆ ว่าตอนนี้กำชะตาชีวิตตลาดหุ้นไทยเอาไว้หมดแล้ว ไม่รู้ว่ากองทุนจะอาจหาญต่อสู้ไปได้อีกนานแค่ไหนค่ะ
เพราะถ้าซื้อแล้วฝรั่งไม่กลับมา กองทุนก็คงหมดแรงข้าวต้มเหมือนกัน
ก็ต่างชาติตุนหุ้นไว้เยอะ กองทุนมีแค่แชร์ซื้อขายแค่10% พลังยังน้อยนิดนักค่ะ

*มีคนบอกว่าปี 45-46 เป็นปีทองหุ้นอสังหาฯ ปี 47 เป็นหุ้นเดินเรือ ปิโตรฯ
ปี 48หุ้นพลังงาน หรือไม่ก็ธุรกิจผูกขาด และปีนี้จะเป็นหุ้นค้าปลีก
ไม่ใช่แบงก์หรือก่อสร้างอย่างที่มองไว้ตอนปลายปีที่แล้ว
สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ที่แน่ๆ ค้าปลีกก็เริ่มบ่นว่าคนซื้อสินค้าน้อยลงเหมือนกัน ฮา!
ปีนี้คงต้องเลือกเป็นตัวๆ มากกว่าการมองแบบ Top down คงไม่รอดค่ะ

*สำหรับอนาคตของ BLISS กำลังจะเปลี่ยนไป
ซึ่งอาจจะถูกเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีหรือไม่ดีก็เป็นได้
หลังจากที่มีกระแสข่าวลือว่า ประกายดาว เขมะจันตรี กรรมการผู้จัดการของบริษัทกำลังจะอำลาไปเร็วๆ นี้
ส่วนจะเป็นด้วยเหตุผลอะไรนั้น เดี๊ยนไม่อาจรู้ได้

*แต่ที่รู้ชัดเจนที่มีการส่งสัญญาณให้เห็นตั้งแต่ พลเรือเอกประวิทย์ ปาลศรี
เข้ามานั่งตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหาร เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2549 ที่ผ่านมา
โดยเป็นตำแหน่งที่เพิ่มจากประธานกรรมการที่มีอยู่เดิม
ซึ่งพลเรือเอกคนนี้เป็นลูกหม้อเก่าที่อยู่ในบริษัทมานานตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยเข้ามาในฐานะคนของนายทุน

*ขอย้อนประวัติเก่าเมื่อ 10 กว่าปีก่อน...
ซึ่งแต่เดิม BLISS เป็นของนายทุนที่ว่ากันว่าเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าใหญ่ ตรงอนุสาวรีย์ชัยฯ
ใจดีให้เงิน 200 ล้านบาท มาเปิดบริษัทขายมือถือ โดยมีพลเรือเอก ประวิทย์ เป็นคนคอยดูแลอยู่ข้างหลัง

*ในบรรดาผู้บริหารของBLISS จะมีหลักๆ อยู่ 2 คน...
คือประกายดาว เขมะจันตรีกับ อรรถวิชญ์ เอกธนิตพงษ์ โดยทั้ง 2 เป็นเพื่อนกันมานาน
แต่ดูเหมือนว่าประกายดาว จะมีความโดดเด่นในเรื่องแนวการบริหารและทำธุรกิจที่ดีกว่าอรรถวิชญ์
ซึ่งจะเก่งในเรื่องของเทคนิค หรือเทคโนโลยี ซึ่งที่ผ่านมาประกายดาวจะเป็นคนที่สั่งการและกำหนดทิศทางของบริษัททั้งหมด...

*ผลตอบแทนที่ให้ทำให้กับนายทุน ที่ใส่เงินลงทุนให้จำนวนมากนั้น
จะเรียกว่าตอนนี้ได้สร้างให้กับเจ้าของตัวจริงไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่บริษัทสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงปลายปี 2547 ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
และสามารถเพิ่มทุนจากการออกวอร์แรนต์พ่วงอีกด้วย โดยสามารถระดมทุนจากตลาดหุ้นได้หลายร้อยล้านบาท

*คงไม่แปลกหลังจากที่มีการทดแทนบุญคุณเรียบร้อยแล้ว ก็คงต้องถึงเวลาที่จะถอนตัว
และล่าสุดประกายดาว และจงกลณี ซึ่งเป็นน้องสาว โดยทั้งคู่ได้ขายหุ้น BLISS ออกมารวมทั้งสิ้น 14,700,000 หุ้น
ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นละ 8 บาท การลดสัดส่วนแบบนี้ทำให้ปัจจุบันประกายดาว ถือหุ้นอยู่ประมาณ 2 % กว่า
จากเดิมที่ถือเกือบ 5 % ขณะที่ในส่วนของจงกลณีลดเหลือเพียง 1% กว่าเท่านั้น จากเดิมถืออยู่ 5.54 % เช่นกัน

*สำหรับสัดส่วนหุ้นที่ถูกขายออกไปจากกลุ่มเขมะจันตรี
ที่เป็นทั้งผู้บริหารและผู้ถือหุ้นนักลงทุนรายย่อยคงไม่ต้องตกใจมากนะคะ
เพราะถ้าให้ โมนิก้าฟันธง!!!! จะได้ความว่า หุ้นจำนวนดังกล่าว 14.7 ล้านหุ้น
คงไม่ได้ถูกเทขายในตลาดหรือให้กับนักลงทุนรายย่อยอย่างแน่นอน
เพราะเมื่อดูจากวันที่ขายหุ้นออกมานั้น จนถึงปัจจุบันไม่ต่างกันเท่านั้นนัก
ส่วนคนที่มารับช่วงต่อนั้น คงไม่พ้นกลุ่มนายทุนเจ้าของเดิมนั่นเอง

*ถ้าการเปลี่ยนดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ดังข่าวลือที่ว่า ผู้ถือหุ้นคิดจะลงทุนหรือลงทุนแล้วในหุ้นBLISS
คงต้องจับตาดูให้ดีว่านายทุนรายนี้ จะหาใครมานั่งแทนที่ประกายดาว
และคงต้องดูในเรื่องความสามารถของผู้บริหารคนใหม่ด้วย
เพราะปัจจุบันุธุรกิจมือถือ ที่ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงเหลือเกิน
เพราะนอกเหนือจากสายปานทางการเงินแล้ว ความสามารถของผู้บริหารก็เป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง
ที่จะชี้นำว่าบริษัทแห่งนี้จะรุ่ง หรือจะร่วงคะ ราคาหุ้นปิดที่ 7.65 บาท บวกไป 0.20 บาทคะ

*ในรายของอากู๋หรือ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ที่ถือว่าชีวิตตอนนี้อยู่ในช่วงขาลงอย่างสมบูรณ์
หลังจากที่ถูกวิพาษวิจารณ์ตั้งแต่ไปซื้อหุ้นMATI +POST ตั้งแต่นั้นมาอะไรก็ดูเหมือนจะแย่ไปหมด
และล่าสุดหลังจากที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/249ประกาศออกมา
ก็พบว่ามีกำไรที่ลดลงอย่างฮวบฮาบอย่างเห็นได้ชัด จาก 45 ล้านบาทเมื่อปีก่อน เหลือเพียง 4.7แสนบาทในปีนี้

*ไม่รู้ใครทำอะไรอากู๋ไว้ถึงได้ย่ำแย่ขนาดนี้ เพราะล่าสุดราคาหุ้นGRAMMY ร่วงต่ำสุดในรอบหลายปีเลยก็ว่าได้
ทำให้อากู๋ต้องเข้ามาซื้อหุ้นตัวเอง 8.7 หมื่นหุ้น นานแล้วที่ไม่เห็นอากู๋ซื้อหุ้นตัวเอง ถือว่าได้เห็นเป็นบุญตา
ซึ่งครั้งนี้หวังว่าคงจะไม่เหมือนกับเฮียฮ้อ สุรชัยเชษฐโชติศักดิ์ ของอาร์เอส
ที่เข้าไปเก็บหุ้นตัวเองที่ร่วงไม่เป็นท่าเหมือนผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมานะคะ
ราคาหุ้นปิดที่ 7.15 บาท บวกไป 0.40 บาท

*ส่วนกระทาชายที่มีนามว่าวิกรม กรมดิษฐ์ ....
ยังเดินหน้าเก็บหุ้นAMATA ของตนเองอย่างไม่ลดละหลังจากที่เก็บไปแล้วจำนวน 2 ล้านกว่าหุ้น
และล่าสุดก็เข้าไปเก็บอีกแล้วจำนวน 4,160,000 หุ้น ที่ราคา 18.60 บาท
งานนี้ใช้เงินไปเบ็ดเสร็จ 77,376,000บาท แค่นี้รับรองขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกคะ

*สำหรับเรื่องว่าAMATA จะมีอินไซด์อะไรหรือเปล่านี้ โมนิก้ามองว่าคงจะไม่มีคะ
เพราะนิสัยของวิกรมคนนี้ ไม่ทำอะไรที่โจ่งครึมขนาดนี้หรอกคะ
ส่วนจะเป็นเรื่องที่ไปรับซื้อหุ้นคืนจากใครหรือกองทุนไหน อันนี้ เดี๊ยนไม่ทราบคะต้องถามไถ่กันเอาเองนะคะ
ราคาหุ้นปิดที่ 19.20 บาท บวกไป 0.60 บาท

...