April 29, 2024   6:53:16 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
 

U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
วันที่: 02/06/2006 @ 08:20:07
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ได้เวลานักลงทุนช้อปของถูก - ดัชนีถึงจุดต่ำสุด แบงก์-พลังงาน หุ้นพิมพ์นิยม
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 01 June 2006 04:08

ถึงเวลาทยอยซื้อสะสมหุ้นไทย ทั้งแบงก์ ไฟฟ้า พลังงาน หลังดัชนีแข็งไม่หลุดแนวรับ 700 จุด แม้โดนทดสอบหลายครั้ง นักวิเคราะห์ชี้โอกาสที่หุ้นจะลดลงอีกมีน้อยกว่าขึ้น เชื่อต่างชาติขายหมดหน้าตักแล้วแนะนักลงทุนอย่ายอมขายขาดทุนในช่วงนี้ ไม่นานดัชนีรีบาวน์ เชื่อไม่เกิน 1-2 เดือน หลังภาวะดอกเบี้ยเฟดนิ่ง มองระยะกลางดัชนีไปถึง 750 จุด
จากการสอบถามไปยังนักวิเคราะห์หลายแห่งถึงกลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นช่วงนี้ ส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า เป็นจังหวะที่จะทยอยซื้อหุ้นเก็บ โดยมองว่าโอกาสที่ดัชนีจะต่ำกว่า 700จุดเป็นไปได้น้อย เนื่องจากแนวรับที่ 700 ถือว่าแข็งแกร่ง โดยก่อนหน้านี้ดัชนีเคยปรับตัวลงไปทดสอบจุดดังกล่าวหลายครั้งแต่ก็สามารถกลับมายืนเหนือ 700 จุดได้ทุกครั้ง
นอกจากนี้เชื่อว่าแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อเนื่องใกล้หมด เพราะส่วนใหญ่เข้าซื้อช่วงปลายปีที่แล้วดัชนีแถว 701 จุดใกล้เคียงกับปัจจุบัน ส่งผลให้กำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นลดลง หรือแทบไม่เหลือ ซึ่งหากขายออกมาอีก มีโอกาสขาดทุนหรือเสมอตัว ขณะเดียวกันค่าเงินบาทเริ่มอ่อนตัวลงทำให้ส่วนต่างกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงด้วย
สำหรับหุ้นที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำซื้อได้แก่หุ้นในกลุ่มไฟฟ้า พลังงาน และแบงก์เนื่องจากเป็นหุ้นที่ต่างชาติให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ ประกอบกับส่วนใหญ่เป็นหุ้นพื้นฐานดีจึงมีความเสี่ยงน้อยที่จะเข้าลงทุนในสภาวะตลาดผันผวน
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก จำกัดกล่าวว่า นักลงทุนที่ติดหุ้นอยู่ไม่ควรขายหุ้นออกมาในช่วงนี้ เนื่องจากมีโอกาสที่จะขาดทุนสูงเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะติดหุ้นในช่วงที่ดัชนีตลาดอยู่ที่ระดับ 700-780 จุด โดยเชื่อว่าอีกไม่นานดัชนีตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ หลังแนวโน้มดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกามีความชัดเจน
นักลงทุนที่ติดหุ้นควรจะถือรอ เพราะถ้าขายตอนนี้ก็คงขาดทุน โอกาสที่ดัชนีตลาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมีมากกว่าที่จะอ่อนตัวลดลงเรื่อยๆ ซึ่งเลวร้ายที่สุดดัชนีตลาดหุ้นคงจะปรับตัวลดลงแถวๆ 680 จุดก่อนที่จะรีบาวนด์ และเชื่อว่าคงไม่เกิน 1-2 เดือนสถานการณ์ดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาน่าจะคลี่คลาย เม็ดเงินลงทุนของต่างประเทศที่ไหลออกไปถือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเช่น พันธบัตรระยะสั้น, สกุลเงินดอลล่าร์น่าจะเริ่มไหลกลับเข้ามาตลาดในภูมิภาคเอเชียเพราให้ผลตอบแทนที่ดีนายวรุตม์ กล่าว
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อหุ้นหากมีเงินสำหรับลงทุนระยะยาวสามารถที่จะทยอยซื้อสะสม หุ้นพื้นฐานดีเช่น พลังงาน,แบงก์ ส่วนนักเก็งกำไรควรที่จะถือเงินสด เพราะภาวะตลาดหุ้นช่วงนี้ค่อนข้างผันผวน
อย่างไรก็ดีตลาดหุ้นในระยะกลางยังมีแนวโน้มที่ดี เพราะหลังจากวันที่ 28-29 มิ.ย.มีสัญญาณชัดเจนจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ว่าแนวโน้มดอกเบี้ยจะเป็นเช่นไร นักลงทุนต่างประเทศน่าจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียอีกครั้ง หลังจากที่ขายออกเพื่อนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยระยะกลางกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีอยู่ระหว่าง 680- 750 จุด
ด้านนักวิเคราะห์บล.ไซรัส จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นผันผวนและบรรยากาศการลงทุนซบเซาเช่นปัจจุบัน นักลงทุนที่ติดหุ้นไม่ควรขายออกมา เพราะเชื่อว่าแรงขายใกล้จะหมดแล้ว ซึ่งหากนักลงทุนต้องการที่จะขายควรรอให้ดัชนีตลาดหุ้นรีบาวน์ขึ้นมายืนเหนือระดับ 700 จุดและสถานการณ์เงินเฟ้อ รวมถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐมีความชัดเจน
ส่วนนักลงทุนที่ต้องการซื้อหุ้นก็ควรรอให้สถานการณ์เงินเฟ้อ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐมีความชัดเจนเช่นกัน โดยควรเลือกซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานรองรับ และอัตรากำไรเติบโตในระดับที่น่าพอใจ

 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#1 วันที่: 02/06/2006 @ 08:23:41 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
SCCCซึมยาวยอดขายปูนอืดสนิท
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 01 June 2006 04:12

ปูนกลางรับสภาพเศรษฐกิจผันผวนทำกำลังซื้อผู้บริโภคหด ลดเป้ายอดขายจากเดิมโต 5%ขอแค่ท่าปีก่อนก็พอแล้ว ยืนยันยังไม่ปรับราคาปูนซีเมนต์
นางจันทนา สุขุมานนท์ รองประธานบริหารการตลาดและการขาย บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัดหรือ SCCC กล่าวว่า บริษัทมีแนวโน้มปรับลดยอดขายทั้งปีลงจากเดิมที่คาดเติบโต 5% เหลือเพียงทรงตัวจากปีก่อนที่มียอดขาย 12 ล้านตัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง
ยอดการผลิตปูนทั้งหมดในประเทศอยู่ที่ 30.5 ล้านตัน โดยเรามีสัดส่วน 27% หรือ12 ล้านตัน แบ่งเป็นขายในประเทศ 8.5 ล้านตัน ที่เหลือเป็นการส่งออก โดยราคาน้ำม้นที่เพิ่มขึ้น โครงการเมกะโปรเจ็กที่อาจต้องชะลอ รวมสุญญากาศทางการเมือง และภัยพิบัติธรรมชาติ อาจกระทบให้ยอดขายไม่โต ซึ่งเห็นว่าหากยอดขายเท่ากับปีก่อนได้ก็ดีแล้ว
สำหรับผลประกอบการปี 2549 ว่า คาดการณ์รายได้จะทรงตัวเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 22,711.95 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวโดยมองว่าหากทำรายได้เท่ากับปีก่อนได้ ถือว่าพอใจแล้ว
ส่วนแนวโน้มยอดขายไตรมาส 2/49 จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/49โดยแม้ตามปกติไตรมาส 2 เป็นช่วงโลซีซั่นเนื่องบริษัทมีการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันและภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน โดยเชื่อว่าจะทำให้ยอดขายไตรมาส 2/49 ดีขึ้นได้อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่มีการปรับราคาปูนเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด แม้ต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากการแข่งขันของคู่แข่งเพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทเน้นการให้บริการที่ดีเพื่อกระตุ้นยอดขาย
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#2 วันที่: 02/06/2006 @ 08:24:34 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
โยกเงินเล่นBCP-Wหนีหุ้นแม่แพง :แนวต้านใหม่3.34บาท-ปีนี้ยอดขาย8หมื่นล.
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 01 June 2006 04:12

BCP-W1 วิ่งกระจายอนุสรณ์เชื่อนักลงทุนแห่โยกเงินจากหุ้นแม่มาเก็งกำไรลูกแทน หลังBCP แพงเกินไป มั่นใจปีนี้ยอดขายสูงกว่า 8 หมื่นล้านบาท เหตุน้ำมันดูไบยืน 60 เหรียญต่อบาร์เรล สูงกว่าที่ประเมินไว้ระบุหลังโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเปิดดำเนินการตัวเลขสวยแน่
ราคาหุ้นใบสำคัญแสดงสิทธิบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP-W1ที่ได้เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมาได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยวานนี้ (31 พ.ค.) ปิดตลาด บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น บาท สูงสุด บาท ต่ำสุด บาทมูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น ล้านบาท ส่วนหนึ่งเกิดจากการเข้ามาเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อยหลังโบรกเกอร์หลายแห่งประเมินแนวรับที่ระดับ 2.50-3 บาท และแนวต้าน 3.30-3.34บาท
ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับข่าวหุ้นธุรกิจว่า สาเหตุที่ราคาหุ้น BCP-W1 ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนโยกเงินลงทุนจากหุ้น BCP มาเล่นลูกหุ้น หลังเห็นว่าราคาแม่อยู่ในระดับสูง
นอกจากนั้นนักลงทุนอาจมั่นใจในผลการดำเนินงานของบริษัทที่อยู่ในทิศทางที่ดี หลังโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน มูลค่าโครงการประมาณ 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เปิดดำเนินการในเชิงพาณิชย์ในปี 2551 ล่าสุดได้ก่อสร้างไปแล้วประมาณ 2 เดือน เพราะจะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็นประมาณ 1-1.2 แสนบาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันที่กลั่นได้ประมาณ 60,000 บาร์เรลต่อวัน
หลังโครงการดังกล่าวเปิดดำเนินการบริษัทจะมีน้ำมันเตาเหลือขายเพียง 10% จาก30% โดยจะขายให้กับโรงงานอุตสาหกรรม และโรงไฟฟ้า ซึ่งในอนาคตบริษัทจะขายให้เพียงโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น อย่างไรก็ดีสาเหตุที่บริษัทขายน้ำมันเตาลดลง เพราะราคาน้ำมันเตาถูกกว่าน้ำมันใสดร.อนุสรณ์ กล่าว
อย่างไรก็ดีสำหรับผลประกอบการปี 49 บริษัทคาดว่าจะมียอดขายมากกว่า 80,000ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันราคาน้ำมันดูไบอยู่ในระดับประมาณ 60 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งสูงกว่าราคาที่ประเมินไว้ 55 เหรียญต่อบาร์เรล แม้ว่ายอดขายน้ำมันในปีนี้อาจลดลงบ้างเล็กน้อย เพราะบริษัทมีกำลังการกลั่นต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 70,000 บาร์เรลต่อวัน
ด้านนายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า แนะนำหลีกเลี่ยงลงทุนหุ้นBCP-W1 เพราะขณะนี้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแนวต้าน 3.20 บาท หลังนักลงทุนเข้ามาเล่นเก็งกำไรต่อเนื่อง
ราคาลูกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในขณะนี้ไม่ได้เกิดจากการที่บริษัทจะปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเพราะขณะนี้ราคาหุ้น BCP ไม่ได้เคลื่อนไหวเลย แต่อาจเป็นผลจากการเก็งกำไรของรายย่อยมากกว่านายโกสินทร์ กล่าว
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#3 วันที่: 02/06/2006 @ 08:25:13 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
หุ้นSCCสวนตลาด รับลงทุน7.5พันล. ผลิตกระดาษเพิ่ม
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 01 June 2006 04:12

ห้น SCC พุ่งสวนตลาด หลังประกาศทุ่มงบกว่า 7,500 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตธุรกิจกระดาษ 200,000 ตันต่อปี หวังส่งออกต่างประเทศ 40,000 ตัน แถมเตรียมตั้งโรงงานผลิตปูนสำเร็จรูป จ.สระบุรี ขนาด 450,000 ตัน คาดเริ่มผลิตได้ปีหน้า
หุ้นบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน)หรือ SCC ดีดตัวสวนตลาดทันทีหลังผู้บริหารประกาศแผนลงทุนกว่า 7,500 ล้านบาท ในโรงงานผลิตกระดาษและโรงปูนสำเร็จรูปแห่งใหม่ เนื่องจากเกิดความเชื่อมั่นว่าจะเป็นตัวสร้างรายได้ให้กับ SCC อย่างมีนัยสำคัญ
โดยนายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)หรือ SCC เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 31 พ.ค.มีมติอนุมัติขยายการลงทุนอีก 2โครงการคือลงทุนเพิ่มเติมในการผลิตกระดาษพิมพ์เขียนของธุรกิจกระดาษ ตามที่ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) วันที่ 21 ธ.ค.48 เรื่องโครงการลงทุนขยายกำลังการผลิตกระดาษพิมพ์เขียน 160,000 ตันต่อปีสำหรับธุรกิจกระดาษจังหวัดของแก่น มูลค่าเงินลงทุนรวม 6,600 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ยังมีมติอนุมัติให้เพิ่มกำลังผลิตของโครงการดังกล่าวอีก 40,000 ตันต่อปี รวมเป็นกำลังการผลิตทั้งสิ้น 200,000 ตันต่อปีโดยใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 700 ล้านบาท รวมเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 7,300 ล้านบาท การเพิ่มกำลังการผลิตดังกล่าวทำให้กำลังการผลิตกระดาษพิมพ์เขียนของธุรกิจกระดาษโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 540,000 ตันต่อปีภายในสิ้นปี 2550
สำหรับกำลังการผลิตส่วนเพิ่มขึ้น 40,000 ตันต่อปีนั้น คาดว่าจะส่งออกไปขายยังต่างประเทศซึ่งมีความต้องการใช้กระดาษที่มีมูลค่าสูงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและสามารถรองรับแนวโน้มความต้องการใช้กระดาษที่ผลิตจากไม้เพาะปลูกสำหรับผลิตเยื่อกระดาษและมีการปลูกทดแทนเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งนี้โครงการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่จะทำให้เงินลงทุนต่อตันโดยรวมลดลงเนื่องจากสามารถใช้อุปกรณ์ขั้นพื้นฐานร่วมกับโครงการขยายกำลังการผลิตก่อนหน้านี้ได้
นอกจากนั้น ยังมีโครงการตั้งโรงงานผลิตปูนสำเร็จรูปบริษัท สยามมอร์ตาร์ จำกัดหรือ Mortar ที่โรงงานเขาวง ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 100% จะลงทุนตั้งโรงงานผลิตปูนสำเร็จรูปแห่งใหม่ซึ่งมีขนาดกำลังการผลิต 450,000 ตันต่อปีที่เขาวงจังหวัดสระบุรี โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 335 ล้านบาท
ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถเริ่มการผลิตได้เดือนพ.ค.2550 สำหรับปูนสำเร็จรูป ที่ใช้ในการก่ออิฐและฉาบผนังทั้งภายในและภายนอก โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตปูนสำเร็จรูป650,000 ตันต่อปี
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#4 วันที่: 02/06/2006 @ 08:25:52 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
GLOWพุงกางกำไรเพิ่ม200ล้าน :กฟผ.ขยับค่าเอฟที ลุ้นปันผลครึ่งแรก1.63บ.
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 01 June 2006 04:12

GLOW กำไรเพิ่มอีกเกือบ 200 ล้านบาท หากค่าเอฟทีขยับ 15 สตางค์ต่อหน่วยแถมยังได้ลูกค้าใหม่ VNT ดันกำไรพุ่ง ส่วนกลุ่ม SCC และปิโตรเคมีขั้นต้น ล่าสุดกำลังเจรจา คาดสรุปครึ่งปีหลังนี้ โบรกฯชี้ครึ่งปีแรกปันผล 1.63 บาท
แหล่งข่าวจากบริษัท โกลว์พลังงาน จำกัด (มหาชน)หรือ GLOW เปิดเผยกับ ข่าวหุ้นธุรกิจ ถึงประเด็นการปรับขึ้นค่าเอฟทีงวดใหม่ (เดือนมิ.ย.-ก.ย.49) ไม่เกิน 15สตางค์ต่อหน่วยว่า หากมีการปรับขึ้นค่าเอฟทีจริง ส่งผลดีต่อรายได้ของบริษัทอย่างมากและที่สำคัญการคำนวณค่าเอฟทีต้องคำนึงถึงต้นทุนทั้งต้นทุนก๊าซธรรมชาติ-น้ำมันดีเซล-น้ำมันเตาและถ่านหินเพราะปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทมีต้นทุนแค่ถ่านหินดังนั้นหากมีการปรับขึ้นค่าเอฟทีอีกรอบ จะทำให้บริษัทได้รับประโยชน์อย่างมาก
ส่วนรายได้จะเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนต้องขึ้นกับการคำนวณต้นทุนของบริษัท แต่เบื้องต้นกำไรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเริ่มเห็นชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไปและอาจทำให้บริษัทต้องปรับประมาณการใหม่อีกครั้งทั้งนี้หากคิดคำนวณการปรับขึ้นค่าเอฟทีเบื้องต้นที่ 10 สตางค์ บริษัทจะได้รับกำไรเพิ่มขึ้นปีละ 93 ล้านบาทดังนั้นหากค่าเอฟทีปรับขึ้นถึง15 สตางค์ น่าจะทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นปีละเกือบ 200 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทมีลูกค้าเพิ่มขึ้นอีก 1 ราย คือบริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) หรือVNT ซึ่งจะทำสัญญาต่อไฟจาก GLOW ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นไป และขณะนี้บริษัทกำลังเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ 3-4 ราย ได้แก่ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน)หรือ SCC ซึ่งเป็นลูกค้าปัจจุบันของบริษัทอยู่แล้วนอกจากนี้ยังมีกลุ่ม Downstream อีก 2-3 รายทั้งนี้งานในส่วนของ SCC นั้นเป็นโครงการ Cracker ซึ่งโครงการดังกล่าวจะสรุปในครึ่งปีหลังนี้อย่างไรก็ดีหากบริษัทได้ลงนามสัญญาจำหน่ายไฟและไอน้ำเพิ่มให้กับลูกค้าดังกล่าวข้างต้นบริษัทจะต้องขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 10% เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน ปีนี้บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นปีแรกจากเดิมที่จ่ายปันผลปีละครั้ง โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้จ่ายปันผลที่ 2.75 บาทต่อหุ้น ดังนั้นสำหรับปีนี้เชื่อว่าอาจใกล้เคียงหรือมากกว่านั้นเพราะปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดจำนวนมากและยังไม่มีแผนการลงทุนอะไร ฉะนั้นมองว่าควรจ่ายออกในรูปของเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นจะดีกว่า
ด้านนักวิเคราะห์บล.ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) หรือ US ระบุว่า ข่าวการปรับขึ้นค่าเอฟทีเป็นผลดีสำหรับ GLOW นอกจากนี้ GLOW กำลังขยายฐานลูกค้าโดยการเจรจาทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและไอน้ำเพิ่มให้กับลูกค้ารายใหญ่ 3-4 บริษัท คือ SCC ซึ่งเป็นลูกค้าปัจจุบันอยู่แล้ว ที่มีโครงการก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีขนาดใหญ่ คือ โครงการผลิตEthylene Cracker ขนาด 1 ล้านตัน และกลุ่มลูกค้าโรงงานปิโตรเคมีขั้นปลาย(Downstram Petrochemical Plants)ซึ่งเป็นปัจจัยบวกอย่างมีนัยสภคัญต่อการเติบโตของผลกำไรในระยะยาวของ GLOW ทั้งนี้ คาดว่า GLOW จะสรุปผลการเจรจาดังกล่าวได้ในครึ่งปีหลังของปี 2549
ทั้งนี้ผลประกอบการ GLOW ยังมีศักยภาพอัตราการเติบโตดีในระยะยาว ประกอบกับบริษัทอาจมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปีนี้เป็นปีแรกจากเดิมที่จ่ายปีละครั้ง บริษัทคาดว่า GLOW จะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประมาณ 1.63 บาทต่อหุ้นคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 5.8%
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#5 วันที่: 02/06/2006 @ 08:26:34 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
IHLแย้มข่าวดี กำไรปีนี้โต25% งานเพิ่มเพียบ
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 01 June 2006 04:11

IHL มั่นใจกำไรโต 25% หลังรับทำโมเดลใหม่ให้ค่ายรถยนต์นิสสัน และโตโยต้า ย้ำไตรมาส 2 ดีกว่าเดิมแน่ ระบุราคาหุ้นล่วงเหลือ 17 บาท เกิดจากตลาดหุ้นผันผวน และนักลงทุนกังวลผลประกอบการไตรมาส 2 จะเหมือนที่ผ่านมา
นายองอาจ ดำรงสกุลวงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด(มหาชน) หรือ IHL เปิดเผยว่า ในปี 49 บริษัทมั่นใจว่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตประมาณ 20-25% ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของรายได้ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 25% หรือมีรายได้ประมาณ1,200-1,300 ล้านบาท เพราะบริษัทได้รับทำโมเดลใหม่ๆให้กับกลุ่มรถยนต์นิสสัน 3 โมเดลและโตโยต้า 1 โมเดล โดยได้เริ่มทยอยดำเนินการมาแล้วตั้งแต่เดือนนี้
ในช่วงไตรมาส 2 และ 3/49 บริษัทยังได้รับเป็นผู้ผลิตเบาะหนังและชิ้นส่วนหนังให้กับรถยนต์อีกหลายรุ่น ทำให้ยอดขายในช่วงดังกล่าวเติบโตต่อเนื่อง ส่วนในด้านของต้นทุนการผลิตที่เป็นตัวกดดันกำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 1 ถือเป็นช่วงของต้นทุนที่สูงที่สุดแล้วและบริษัทก็มีนโยบายจะลดต้นทุนลงมาอีก เพื่อรักษาอัตรากำไรของบริษัทให้ดีต่อไป
ขณะนี้มีลูกค้าจากต่างประเทศหลายรายได้แสดงความสนใจที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเช่น จากสหรัฐอเมริกา ปากีสถาน อินเดีย เป็นต้น ทั้งนี้หากบริษัทรับผลิตสินค้าให้กับลูกค้าต่างประเทศดังกล่าวก็จะต้องใช้กำลังการผลิตจากโรงงานใหม่เข้ามารองรับ ซึ่งก็สอดคล้องกับการก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 6 ที่จะแล้วเสร็จในปลายปี 49
เราเจรจากับลูกค้าต่างประเทศมาได้ระยะหนึ่งแล้วก็มีแนวโน้มที่ดี และบางรายก็ได้ส่งตัวแทนเข้ามาดูกระบวนการผลิตที่โรงงานของบริษัทแล้ว ซึ่งลูกค้าก็พอใจมาก ทั้งในเรื่องมาตรฐานของการผลิตและคุณภาพของสินค้าที่ได้มาตรฐานสากล อย่างไรก็ดีในส่วนของการผลิตสินค้าป้อนลูกค้าต่างประเทศนั้น บริษัทยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะมีรายได้เท่าไรเพราะยอดสั่งซื้อจะเพิ่มขึ้นตามยอดการผลิตของรถรุ่นต่างๆนายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวต่อว่า สำหรับราคาของหุ้นของบริษัทที่ลดลงเหลือ 17 บาท จากที่เคยสูงกว่า 20 บาทนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจากสภาพตลาดหุ้นโดยรวมที่ดัชนีปรับลดลง และนักลงทุนกังวลหลังเห็นกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ของบริษัทที่ลดลง แต่ถ้าดูให้ดีๆจะเห็นว่ายอดขายเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และหากบริษัทควบคุมต้นทุนในไตรมาสต่อๆ ไปได้ก็จะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#6 วันที่: 02/06/2006 @ 08:27:17 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
EMCเปิดทางประเสริฐถือหุ้นใหญ่ :เจ้าตัวตั้งแง่ใส่เงินเพิ่ม-โกมลมั่นใจถือยาว
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 01 June 2006 04:11

EMC เปิดช่องให้ผู้บริหารคอนโดมิเนียมเดอะวอเตอร์ฟอร์ด เข้าซื้อหุ้นใหญ่ มั่นใจลงทุนระยะยาว โกมลคุยงานในมือเพียบเชื่อทั้งปีโตเกิน 10% ขณะที่ประเสริฐยังคาใจตั้งสำรองหนี้ 87 ล้านบาท อ้างรอให้ปัญหาเคลียร์ก่อนค่อยใส่เงินเพิ่ม
นายโกมล วงศ์พรเพ็ญภาพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน)หรือ EMC กล่าวยอมรับถึงสาเหตุที่นายประเสริฐได้เข้ามาซื้อหุ้น EMC เพิ่มว่า เพราะต้องการเข้ามาลงทุนแบบระยะยาวและต้องการจะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ปัจจุบันนายประเสริฐเป็นทั้งผู้ถือหุ้นและกรรมการใน EMC
สำหรับผลประกอบการปีนี้นั้น บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 2,100-2,200 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 10% จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 2,000 ล้านบาท โดยปัจจุบัน EMC มีงานในมือ(Backlog) ประมาณ 1,700 ล้านบาท นอกจากนั้นยังรอสรุปที่เมืองดูไบอีก 1 โครงการมูลค่าประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท
นายประเสริฐ เกษมโกเมศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอเตอร์ฟอร์ด จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจคอนโดมิเนียม และกรรมการบริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) หรือ EMC กล่าวกับ ข่าวหุ้นธุรกิจ ว่า มีความสนใจที่จะถือหุ้นของ EMC มากขึ้น ปัจจุบันที่ถืออยู่ประมาณ5.02% จากเดิม 0.03% แต่ต้องรอให้ปัญหาการตั้งสำรองภาระค้ำประกันบริษัทย่อยประมาณ 87 ล้านบาทจบลงก่อน เพราะการตั้งสำรองดังกล่าวทำให้บริษัทยังมีความเสี่ยงอยู่
ทั้งนี้ที่ผ่านมาได้เข้าไปทยอยซื้อหุ้นดังกล่าวเก็บไว้ตลอดตั้งแต่ราคา 3 บาทกว่า และก็ไม่ได้ลงทุนเฉพาะในหุ้น EMC เท่านั้น ยังเข้าไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นๆ ด้วย เช่น กลุ่มพลังงาน และธนาคาร
ตอนนี้ผมกำลังรอดูจังหวะอยู่ว่าจะเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มอีกเมื่อใด เพราะปัจจัยพื้นฐานของบริษัทก็ถือว่าดี ส่วนในอนาคตจะเข้าไปนั่งบริหารใน EMC หรือไม่นั้นยังไม่ได้มีการคุยกันกับทางผู้บริหารของบริษัท
ข่าวหุ้นธุรกิจ ได้เข้าไปตรวจสอบการซื้อขายหุ้นของนายประเสริฐ เกษมโกเมศพบว่า ได้เข้ามาทยอยเก็บหุ้นของ EMC ตั้งแต่เดือนมกราคม 2547 ในราคาหุ้นละ 2.17บาท จากนั้นก็เข้าไปซื้อและขายต่อเนื่อง และเมื่อต้นปีถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2549 ที่ผ่านมามีปริมาณซื้อประมาณ 22 ครั้ง (ไม่มียอดขายออก) คิดเป็นจำนวน 4,551,400 หุ้นโดยราคาเฉลี่ยต่ำสุดที่ 1.37-2.17 บาทต่อหุ้น
สำหรับประวัติของนายประเสริฐเป็นเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมหรูภายใต้ชื่อ เดอะ วอเตอร์ฟอร์ด ย่านถนนพระราม 4 และสนามกอล์ฟที่จังหวัดเชียงราย และเมื่อปี2548 ที่ผ่านมา โครงการนี้มีปัญหากับผู้อยู่อาศัย โดยผู้จัดการดูแลห้องชุดโครงการเดอะวอเตอร์ฟอร์ด ได้แจ้งดำเนินคดีกับผู้อยู่อาศัยจำนวน 7 ราย ในข้อหาการบริหารจัดการดูแลทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุด ผิดข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุดในการโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ และกระทำการอันเป็นการรบกวนสิทธิผู้อยู่อาศัยในอาคารชุด แต่สุดท้ายศาลมีคำพิพากษายกคำฟ้อง
ทั้งนี้ระหว่างที่มีการฟ้องร้องกันอยู่นั้น ทางเจ้าของโครงการได้ตัดมิเตอร์น้ำ และไฟเพื่อไม่ให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความสะดวกสบาย
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#7 วันที่: 02/06/2006 @ 08:28:02 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
LHยึดสุวรรณภูมิกระตุ้นรายได้ :เร่งผุดโครงการใหม่ ขานรับลูกค้าแห่จองทะลัก
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 01 June 2006 04:11

LH ยึดทำเลสนามบินสุวรรณภูมิ ผุดโครงการใหม่ 1 แห่ง พร้อมขยายเฟส 3 บ้านเดี่ยวสีวลี หวั่นเจ้าอื่นแย้งลูกค้า มั่นใจลูกค้าสนใจแห่จอง หลังรัฐมีแผนทำเมกะโปรเจ็กต่อเนื่อง วงในเชื่อเดือนนี้ เตรียมเปิด 3 แห่ง มูลค่ารวม5.8พันล้านบาท ระบุทั้งปี49 กำไรลดเหลือ 4.6 พันล้านบาท
แหล่งข่าวจากบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH เปิดเผยกับข่าวหุ้นธุรกิจว่า บริษัทเตรียมเปิดโครงการในย่านสนามบินสุวรรณภูมิจำนวน 2 แห่ง แบ่งเป็นโครงการใหม่ 1 แห่ง และโครงการต่อเนื่อง 1 แห่ง คือ โครงการบ้านเดี่ยวสีวลีสุวรรณภูมิ เฟส 3 ราคาขาย 3.4 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้น 4,000 ล้านบาทขณะที่เฟส 1 สามารถขายได้หมดแล้ว
ส่วนเฟส 2 อาจปิดการขายได้เร็วๆนี้ เพราะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ซื้อ หลังจากรัฐบาลมีแผนจะดำเนินการโครงการเมกะโปรเจ็กอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ดีเมื่อปลายปีก่อนบริษัทได้เปิดขายโครงการบ้านเดี่ยวนันทวัน สุวรรณภูมิจำนวน 84 ไร่ พื้นที่ 63 ตารางวาราคาขาย 6.2 ล้านบาท คาดว่าจะปิดการขายได้เร็วๆนี้เช่นกัน
ประเด็นดังกล่าววงการเงินเชื่อว่าช่วงเดือนมิ.ย.นี้ LH เตรียมเปิดขายโครงการนันทวันสาทรราชพฤกษ์ จำนวน 361 ยูนิต มูลค่า 3,356 ล้านบาท โครงการฆัณฑนา บางแคจำนวน 74 ยูนิต มูลค่า 538 ล้านบาท และโครงการย่านวงแหวน รัตนาธเบศร์ จำนวน 599 ยูนิต มูลค่า 1,917 ล้านบาท
ขณะที่เดือนก.ย.เตรียมเปิดอีก 1 แห่งคือโครงการชลลดาสนามบินสุวรรณภูมิจำนวน1,175 ยูนิต มูลค่า 6,300 ล้านบาท และเดือนต.ค.เปิดอีก 1 แห่ง คือ โครงการชัยพฤกษ์ สุวรรณภูมิ จำนวน 261 ยูนิต จำนวน 850 ล้านบาท เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ดีสาเหตุที่ LH ต้องรีบเปิดโครงการใหม่ในย่านสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะมีคู่แข่งบางรายที่เตรียมเปิดขายในย่านดังกล่าว อาทิ โครงการของบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) และโครงการบ้านจัดสรรบูล ลากูน ของบริษัท นัมเบอร์วัน เฮ้าส์ซิ่งดิเวลลอปเม้นท์ พื้นที่ 10 ไร่ ที่เตรียมเปิดแถลงข่าวในวันที่ 1 มิ.ย.49
แม้ว่าบริษัทเปิดขายโครงการใหม่ต่อเนื่อง แต่ช่วงไตรมาสแรกได้รับผลกระทบจากการเมืองที่ไม่สงบ ดอกเบี้ยและราคาน้ำมันที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ในปี 49 LH อาจมีกำไรสุทธิประมาณ 4,670 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.50 บาท เทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 5,181 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.62 บาทและมีรายได้รวมประมาณ22,227 ล้านบาทเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้จำนวน 22,745 ล้านบาท ดังนั้นราคาเป้าหมายจะอยู่ 7.45 บาท
ก่อนหน้านี้นายอดิศร ธนนันท์นรากุล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)กล่าวยอมรับว่า ยอดรับรู้รายในปี49 จะไม่มีอัตราเติบโตประมาณ 10-15% เหมือนเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยอาจมีตัวเลขใกล้เคียงกับปีก่อนเพราะได้รับผลกระทบจากการเมืองที่ไม่แน่นอน ราคาน้ำมันและดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง
นอกจากนั้นอัตรากำไรขั้นต้นอาจมีระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่อยู่ 33.6% เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้นประมาณ 5-6% อาทิ เหล็ก ค่าแรงและราคาน้ำมัน เป็นต้น ขณะที่อัตราหนี้สินต่อทุนสุทธิจะต่ำกว่า 0.42 เท่าเทียบกับปีก่อนที่อยู่ในระดับ 0.45 เท่า
ไตรมาส2 สถานการณ์ต่างๆจะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยเฉพาะเรื่องการเมืองแม้ว่าราคาน้ำมันและดอกเบี้ยจะยังสูงอยู่ก็ตาม เพราะในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดขายโครงการใหม่ 2 แห่งมูลค่า 3,930 ล้านบาท ดังนั้นผลประกอบการจะดีกว่าในไตรมาส 1ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 731.29 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.09 บาทนายอดิศรกล่าว
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#8 วันที่: 02/06/2006 @ 08:31:05 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
เม.ย.แย่ขาดดุลรอบ10เดือน น้ำมัน-ดอกเบี้ยกดเงินเฟ้อไม่ลง
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 01 June 2006 04:05

แบงก์ชาติเผยเม.ย.ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 283 ล้านดอลาร์ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน เหตุส่งออกชะลอเหลือแค่ 11.8% มูลค่า 9,122ล้านดอลลาร์ ขณะที่นำเข้าสูง 9,642 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เงินเฟ้อยังเร่งสูงมาที่ 6% น้ำมันแพงปัจจัยหลัก ขึ้นดอกเบี้ยยังยั้งไม่อยู่ แถมฉุดภาคลงทุนโตชะลอทุกส่วน
นางสุชาดา กิระกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศธปท. เปิดเผยว่าการส่งออกเดือนเมษายนชะลอตัวลงชัดเจน โดยขยายตัวเพิ่ม 11.8% คิดเป็นมูลค่า9,122 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเดือนมีนาคม บริษัทญี่ปุ่นได้เร่งการส่งออกเพื่อปิดบัญชีประกอบกับเดือนเมษายนมีวันหยุดมาก อย่างไรก็ตามธปท.ยังเชื่อว่าการส่งออกทั้งปีจะเป็นไปตามคาดคือขยายตัว 11-13%
ขณะที่การนำเข้าเดือนเมษายนมีมูลค่า 9,642 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 2.1% ส่วนใหญ่ยังเป็นการนำเข้าน้ำมัน ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 520 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ดุลบริการเกินดุลลดลงเหลือ 238 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากประชาชนไปท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น จึงทำให้ดุลบริการเกินดุลลดลง เพราะช่วงเดือนเมษายนเป็นช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์และปิดภาคเรียน ซึ่ง ธปท.แสดงความเป็นห่วงเรื่องการเดินทางไปต่างประเทศ จึงอยากกระตุ้นให้คนไทยเที่ยวในประเทศมากขึ้น
สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนเมษายนขาดดุล 283 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการขาดดุลครั้งแรกตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2548 หรือครั้งแรกในรอบ 10 เดือน แต่ ธปท.ยังเชื่อว่าดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปียังมีโอกาสสมดุลได้ หรือหากขาดดุลคงไม่เกิน 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนรายได้ของภาครัฐเดือนเมษายนมีรายได้จากการจัดเก็บ 127,000 ล้านบาทส่วนใหญ่เป็นการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ขณะที่รายได้จากการจัดเก็บภาษีชะลอตัวลงโดยฐานะการคลัง รัฐบาลเกินดุลเงินสด 16,000 ล้านบาท เป็นเดือนแรกในปีงบประมาณ2549
นางสุชาดา กล่าวอีกว่า จากภาวะราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ทำให้อัตราเงินเฟ้อเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6% ผ่านมายังผักและผลไม้และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ 2.9%
นางสุชาดา กล่าวว่าเศรษฐกิจเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่าชะลอตัวลงทั้งการบริโภค ภาคประชาชน และการลงทุนภาคเอกชน โดยการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคประชาชนชะลอตัวลงเนื่องจากราคาน้ำมันสูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จึงจูงใจให้ประชาชนฝากเงินมากขึ้นโดยดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน 0.8% แต่ชะลอตัวจาก 3.7% ในเดือนนาคม
ส่วนดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 1.5% จากระยะเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจาก 2.2% ในเดือนมีนาคม โดยเฉพาะการลงทุนในภาคการก่อสร้างที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจนจากราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นราคาบ้านที่แพงขึ้น จึงทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อบ้านและลดขนาดที่อยู่อาศัยลง
ขณะที่การลงทุนในหมวดเครื่องจักรชะลอตัวลงเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนยังไม่มั่นใจในนโยบายการลงทุนของภาครัฐที่ยังคงไม่ชัดเจน ทั้งต้นทุนราคาน้ำมันที่แพงขึ้นและวัตถุดิบ การแข่งขันทั้งในและต่างประเทศสูงขึ้น โดยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนเมษายนลดลงจาก 44.8 เป็น 43.5 เป็นระดับต่ำกว่า 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 24
อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังมั่นใจว่าการลงทุนภาคเอกชนตลอดปี 2549 จะยังขยายตัวที่ร้อยละ 7 ตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าขยายตัวดีขึ้นจาก 4.2%เป็น 4.5% และยังมีการขอรับสิทธิพิเศษส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ชิ้นส่วนยานยนต์ ปิโตรเคมีการทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#9 วันที่: 02/06/2006 @ 08:32:47 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
เวิลด์แบงก์คาดจีดีพีไทยปีนี้โต5%
Source - ข่าวหุ้น
Thursday, 01 June 2006 04:05

นายคาซี มาติน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่าธนาคารโลกคาดหมายการขยายตัวของจีดีพีของไทยในปี 2549 อยู่ที่ร้อยละ 5 จากการส่งออกสินค้าและบริการที่ดีขึ้น การชลอตัวการนำเข้าซึ่งเป็นผลมาจากกรขยายตัวที่ลดลงของการลงทุน การลงทุนภาคเอกชนคาดหมายว่าจะลดลงเป็นปีที่ 2 ท่ามกลางสภาพราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และควรจะให้ความสำคัญในลำดับต้น ๆ ไปที่การดำเนินการในการเพิ่มระดับการผลิต
ธนาคารโลกระบุว่า ธนาคารโลกได้จัดทำรายงานว่าด้วยการพัฒนาด้านการเงินของโลกโดยพบว่ามีเงินทุนภาคเอกชนที่ไหลเข้าสู่ประเทศกำลังพัฒนาสูงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2548 เป็นจำนวน 491,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากการแปรรูปกิจการการควบรวมกิจการ การเข้าซื้อกิจการ การปรับโครงสร้างหนี้ภายนอก รวมทั้งการที่นักลงทุนให้ความสนใจในตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นกันมาก แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้ได้รับความไว้วางใจอย่างมาก ทำให้ประเทศเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากสภาพตลาดโลกและบรรยากาศในการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น
ขณะเดียวกันการรวมตลาดทางการเงินของโลกที่ใกล้ชิดมากขึ้นก็เป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับผู้บริหารระดับวางนโยบายทั้งในประเทศที่กำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาแล้ว ในการคงระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงินให้ยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม การที่เงินทุนไหลเข้าไปยังประเทศกำลังพัฒนานี้เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนต่าง ๆ ทั้งความผันผวนของราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นและความไม่สมดุลของการชำระเงินของโลกที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้การลงทุนในประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกขยายตัวร้อยละ 8.4 ลดลงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2547
ในขณะที่ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้รายได้ลดลงและทำให้การบริโภคชลอตัว แต่ภูมิภาคนี้กลับปรับตัวกับสภาพนี้ได้อย่างน่าแปลกใจ แต่มีเพียงไทยประเทศเดียวที่ดุลบัญชีเดินสะพัดย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัดคือมากกว่าร้อยละ 3 ของจีดีพี อัตราการขยายตัวของจีดีพีที่แท้จริงของไทยลดลงอยู่ที่ร้อยละ 4.5 ในปี 2548 ส่วนในปี 2547 อยู่ที่ร้อยละ 6.1ซึ่งเป็นผลมาจากพิบัติภัยสึนามิและน้ำมันแพง ซึ่งส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนเมื่อปีที่แล้ว
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#10 วันที่: 02/06/2006 @ 08:35:16 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
ธ.โลกระบุดุลบัญชีฯไทยแย่ที่สุด
Source - กระแสหุ้น
Thursday, 01 June 2006 04:16

เวิลด์แบงก์ระบุเงินไหลเข้าประเทศกำลังพัฒนาเกือบ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีที่แล้ว ชี้การแปรรูป และการเข้าซื้อกิจการเป็นปัจจัยหลัก ขณะที่ไทยเป็นประเทศเดียวที่ดุลบัญชีเดินสะพัดย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัด
รายงานข่าวจากธนาคารโลกระบุว่า ธนาคารโลกได้จัดทำรายงานว่าด้วยการพัฒนาด้านการเงินของโลก โดยพบว่ามีเงินทุนภาคเอกชนที่ไหลเข้าสู่ประเทศกำลังพัฒนาสูงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2548 เป็นจำนวน 491,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากการแปรรูปกิจการ การควบรวมกิจการ การเข้าซื้อกิจการ การปรับโครงสร้างหนี้ภายนอก รวมทั้งการที่นักลงทุนให้ความสนใจในตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นกันมาก แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้ได้รับความไว้วางใจอย่างมาก ทำให้ประเทศเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากสภาพตลาดโลกและบรรยากาศในการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น ในขณะเดียวกันการรวมตลาดทางการเงินของโลกที่ใกล้ชิดมากขึ้นก็เป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับผู้บริหารระดับวางนโยบายทั้งในประเทศที่กำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาแล้ว ในการคงระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงินให้ยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม การที่เงินทุนไหลเข้าไปยังประเทศกำลังพัฒนานี้เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนต่างๆ ทั้งความผันผวนของราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น และความไม่สมดุลของการชำระเงินของโลกที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้การลงทุนในประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกขยายตัว 8.4% ลดลงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2547 ในขณะที่ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้รายได้ลดลงและทำให้การบริโภคชลอตัว แต่ภูมิภาคนี้กลับปรับตัวกับสภาพนี้ได้อย่างน่าแปลกใจ แต่มีเพียงไทยประเทศเดียวที่ดุลบัญชีเดินสะพัดย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัดคือมากกว่า 3% ของ GDP อัตราการขยายตัวของ GDP ที่แท้จริงของไทยลดลงอยู่ที่ 4.5% ในปี 2548 ส่วนในปี 2547 อยู่ที่ 6.1% ซึ่งเป็นผลมาจากพิบัติภัยสึนามิและน้ำมันแพง ซึ่งส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนเมื่อปีที่แล้ว
นายคาซี มาติน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ธนาคารโลกคาดหมายการขยายตัวของ GDP ของไทยในปี 2549 อยู่ที่ 5% จากการส่งออกสินค้าและบริการที่ดีขึ้น การชะลอตัวการนำเข้าซึ่งเป็นผลมาจากกรขยายตัวที่ลดลงของการลงทุน การลงทุนภาคเอกชนคาดหมายว่าจะลดลงเป็นปีที่ 2 ท่ามกลางสภาพราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และควรจะให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ ไปที่การดำเนินการในการเพิ่มระดับการผลิต
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#11 วันที่: 02/06/2006 @ 08:37:12 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
CCET ผ่านพ้นโลว์ซีซั่น จับตาQ3ได้แรงหนุนขาขึ้น
Source - กระแสหุ้น
Thursday, 01 June 2006 04:06

แคล-คอมพ์ จะกลับมาโดดเด่นไตรมาส 3 จากแรงหนุนภาพรวมอุตฯอิเล็กทรอนิกส์เติบโตพุ่ง ห่วงค่าเงินบาทแข็งเป็นตัวฉุด นักวิเคราะห์ระบุหุ้น CCET แนวโน้มกำไรยังเติบโตดีและโดดเด่นการจ่ายปันผล มองสัญญาณเทคนิคแนวต้านสูงสุด 3.88 บาท ส่วนราคาพื้นฐานเหมาะสมที่ 4.38 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานการตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CCET พบว่า ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ยังคงมีแรงเก็งกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยราคาหุ้นขยับขึ้นลงในกรอบ 3.68 - 3.88 บาท ทั้งนี้ปัจจัยหนุนที่ส่งผลต่อราคาหุ้น CCET ในช่วงที่ผ่านมาคือ ภาพรวมธุรกิจอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ปีนี้มีการเติบโตอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะแนวโน้มครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตามปัจจัยค่าเงินบาทของไทยที่แข็งค่าเป็นประเด็นที่น่าจับตามากที่สุด ที่จะกระทบกับผู้ประกอบการของไทยในปีนี้
นอกจากนี้ผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ยังคงต้องจับตาว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกมากน้อยแค่ไหน แต่หากแนวโน้มค่าเงินบาทจะไม่แข็งค่าไม่มากกว่านี้ จะส่งผลให้ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ยังคงโดดเด่นสุดในครึ่งปีหลัง
ก่อนหน้าผู้บริหารของบริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CCET ออกมายืนยันว่า ในปี 2549 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากปีก่อนที่มียอดขายอยู่ที่ 1,430 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นยอดขายทั้งภายในประเทศไทยและในประเทศจีน โดยผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/2549 คาดว่าน่าจะเติบโตในทิศทางที่ดีกว่าไตรมาสที่ 1/2549 ที่มียอดขายอยู่ที่ 347 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่สินค้าของบริษัทได้รับความนิยมและมีลูกค้าค่อนมากเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่1/2549 ที่เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจ
ราคาพื้นฐานเหมาะสม 4.38 บ.
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิกโก้ ประเมินว่า แนวโน้มทิศทางผลการดำเนินงานของไตรมาส 2/49 นี้ ประเมินว่าบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่ถือว่าแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้กำไรขั้นต้นของบริษัทในปีนี้ปรับตัวลดลงอยู่ที่ประมาณ 5.73% จากเดิม 5.77% สำหรับยอดขายของบริษัทในไตรมาสนี้ มองว่าทิศทางยังคงทรงตัวจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา
ทั้งนี้ประเมินว่าปีนี้บริษัทอาจมีการปรับพิจารณายอดขายลง จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากไตรมาสแรก ยอดขายของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ โดยไตรมาส1/49 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากการขายสินค้า เท่ากับ 13,642.08 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 4.63% จากไตรมาสที่ 1 ปี 2548 อีกทั้งบริษัทยังมีรายได้อื่นเป็นจำนวน 33.35 ล้านบาททำให้บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้นในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 เท่ากับ 13,675.43 ล้านบาท
อย่างไรก็ดียอดขายของ CCET จะกลับมาดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังโดยเฉพาะไตรมาสที่ 3 คาดว่าจะดีที่สุด ประกอบกับบริษัทได้ลูกค้า PCBA รายใหม่เข้ามาเพิ่ม ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้สินค้าประเภท Telecom Equipment จะมียอดขายที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะ Set Top Box , Blue tooth โดยปีนี้ประเมินกำไรสุทธิในปีนี้ของบริษัทจะเท่ากับ 2,112 ล. เพิ่มขึ้น 19.8% แนะซื้อ ราคาเหมาะสม 4.38 บาท
อีกทั้งหุ้น CCET ถือว่าเป็นหุ้นที่โดดเด่นเรื่องปันผล โดยประเมินการให้ผลตอบจากเงินปันผลในระดับที่สูง 8.9% ตามนโยบายปันผลของ 60% ของกำไรสุทธิ
ขณะเดียวกันหากประเมินตามสัญญาณทางเทคนิค จากฝ่ายวิเคราะห์พบว่า ทางเทคนิคราคาหุ้นยังไม่ค่อยโดดเด่นมากนัก ซึ่งส่วนใหญ่ราคาหุ้นจะเคลื่อนตัวอยู่ในกรอบเป็นส่วนใหญ่
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูไนเต็ด ประเมินว่า ราคาหุ้น CCET ยังแกว่งตัวในกรอบแนวต้าน 3.82-3.88 บาท โดยมีแนวรับ 3.60-3.54 บาท ทั้งนี้แนะซื้อขายในกรอบดังกล่าว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส กล่าวว่า ในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาราคาหุ้น CCET ยังคงแกว่งตัวในกรอบ ซึ่งมีกรอบแนวต้าน 3.86-3.88 บาท และมีแนวรับ 3.66-3.64 บาท
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#12 วันที่: 02/06/2006 @ 08:38:47 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
STEEL คุยครึ่งปีหลังรายได้พุ่ง โบรกฯมั่นใจฝีมือ-แนะนำลงทุน
Source - กระแสหุ้น
Thursday, 01 June 2006 04:07

สตีล อินเตอร์เทค ชี้ครึ่งปีหลังผลงานโดดเด่น หลังเปิดตัวสินค้าใหม่ดันยอดขายปีนี้โต 40% แย้มทิศทางไตรมาส2 เบื้องต้นมองแนวโน้มยังทรงตัวจากไตรมาสแรก ด้านนักวิเคราะห์ เชื่อธุรกิจยังเติบโตตามแนวโน้มอุตสาหกรรม จากยอดงานในมือ 80 ล้าน แนะซื้อ 3.30 บาท
นายประสิทธิ์ อุ่นวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตีล อินเตอร์เทค จำกัด (มหาชน) หรือ STEEL เปิดเผยว่า ประมาณช่วงเดือน มิถุนายนนี้ บริษัทจะสามารถติดตั้งเครื่องจักรใหม่ได้ โดยเครื่องจักรดังกล่าวจะสามารถเดินเครื่องผลิตเป็นเชิงพาณิชย์ได้ประมาณช่วงไตรมาส3/49 นี้ หลังจากที่บริษัทขยายกำลังการผลิตจะทำให้ยอดขายปีนี้เติบโตขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปี 48 ที่ผ่านมา โดยบริษัทคาดว่าครึ่งปีหลังนี้รายได้ของบริษัทนี้โดดเด่นมากกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ อาทิ หลังคาประเภทลอนสูง นายประสิทธิ์กล่าว
อย่างไรก็ดีเบื้องต้นบริษัทคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส2/49 นี้ ทิศทางจะยังคงทรงตัวไม่แตกต่างมากนัก จากไตรมาส1/49 ที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทมีกำไรสุทธิ 5.815 ล้านบาท แม้ว่าการตัดสินใจสั่งซื้อสินค้าจะเร็วมากขึ้น เนื่องจากราคาเหล็กในตลาดโลกมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ยังคงปัจจัยแวดล้อมด้านราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับสูงและและทิศทางอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอยู่ในช่วงขาขึ้นเป็นประเด็นกดดัน
ด้านบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัด ประเมิน บริษัท สตีล อินเตอร์เทค จำกัด หรือ STEEL ว่า คาดการณ์กำไรสุทธิปี 49 ของ STEEL ได้ที่ 27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องจากผลการดำเนินงานไตรมาส 1/49 ออกมาค่อนข้างดี โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นจาก 14% ในไตรมาส 4/48 เป็น 17% ส่งผลให้กำไรสุทธิขยายตัว 2
สำหรับช่วงที่เหลือของปี 49 คาดว่ายอดขายจะขยายตัวได้ ตามแนวโน้มของอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือ 80 ล้านบาทประกอบกับบริษัทอยู่ระหว่างนำเงินจาก IPO มาใช้ขยายกำลังการผลิตและเพิ่มสินค้าใหม่ ซึ่งจะดำเนินการได้ประมาณต้นไตรมาส 3 โดยฝ่ายวิจัย ประเมินยอดขายปี 49 ไว้ที่ 423 ล้านบาท อย่างไรก็ตามได้ปรับลดอัตรากำไรขั้นต้นลงเล็กน้อยจากประมาณการเดิมที่ 18.4% เป็น 17% เนื่องจากสัดส่วนยอดขายให้กับตัวแทนจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้น
ขณะเดียวกันกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ ซื้อลงทุน โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 49 ไว้ที่ 3.30 บาท ทั้งนี้ปัจจุบัน STEEL ซื้อขายที่ P/E 4.1 เท่าจากประมาณกำไรปี 49 ของฝ่ายวิจัยประเมิน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ประมาณ 8 - 9 เท่า ขณะที่แนวโน้มยังเติบโต และมีปันผลค่อนข้างสูง โดยคาด Dividend yield 9% ในปี 49 อย่างไรก็ตามสำหรับเป้าหมายปี 49 บริษัทยังคงซื้อขายในตลาด MAI ทำให้มีความเสี่ยงเรื่องปริมาณการซื้อขายที่ค่อนข้างน้อย ดังนั้นจึงประเมินโดยอิง P/E 6 เท่า ซึ่งต่ำกว่ากลุ่ม
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#13 วันที่: 02/06/2006 @ 08:48:30 : ...
...
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#14 วันที่: 02/06/2006 @ 09:16:16 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
united state of america .0008

http://media.hunsa.com/we_mediastation/frame/frame.asp?id=6153></iframe>
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#15 วันที่: 02/06/2006 @ 10:11:50 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
...................................................................

เก็บตะวันที่เคยส่องฟ้า
เก็บเอามาเก็บไว้ในใจ
เก็บพลังเก็บแรงแห่งแสงยิ่งใหญ่
ร่วมกันไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว

เก็บเอากาลเวลาผ่านเลย
สิ่งที่เคยผิดหวังช่างมัน
หนึ่งตัวตนหนึ่งคนชีวิตแสนสั้น
เจ็บแค่นั้นก็คงไม่ตาย

* ธรรมดาเวลาฟ้าครึ้มเมฆหม่น
พายุฝนอยู่บนฟากฟ้า
คงไม่นานตะวันสาดแสงแรงกล้า
ส่องให้ฟ้างดงาม

** หากตะวันยังเคียงคู่ฟ้า (หากตะวันยังเคียงคู่ฟ้า)
จะมัวมาสิ้นหวังทำไม (จะมัวมาสิ้นหวังทำไม)
เมื่อยังมีพรุ่งนี้ให้เดินเริ่มใหม่
มั่นคงไว้ดังเช่นตะวัน[/color:5a2cf2fcfa">[/size:5a2cf2fcfa">

http://www.kapook.com/musicstation/newmusicstation/play.php?id=592

ฟฟฟฟ3
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#16 วันที่: 02/06/2006 @ 16:47:48 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
http://media.hunsa.com/we_mediastation/frame/frame.asp?id=1171></iframe>
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#17 วันที่: 02/06/2006 @ 16:53:57 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
http://www.thaihoon.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=2070#8070
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#18 วันที่: 02/06/2006 @ 17:13:22 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
http://www.thaihoon.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&p=8127#8127

suam .000b .000b .000b .000b .000b .000b .0001
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#19 วันที่: 02/06/2006 @ 17:15:06 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
[u:dc63a27864">[b:dc63a27864">ของใช้จำเป็นในชีวิต[/color:dc63a27864">[/size:dc63a27864">[/b:dc63a27864">[/u:dc63a27864">

ทุกๆเช้าก่อนออกจากบ้าน ? อย่าลืมคิดถึงสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันเหล่านี้[/color:dc63a27864">

+ เครื่องประดับที่สวยที่สุดบนเรือนร่างคือ ? รอยยิ้ม

+ งานที่ทำแล้วพอใจที่สุดคือ ? การช่วยเหลือผู้อื่น

+ ความสุขที่ดีที่สุดคือ ? การให้

+ อาวุธร้ายแรงที่ต้องระมัดระวัง และเก็บรักษาให้ดีที่สุดคือ...
... คำพูดทำร้ายคนอื่น

+ พลังยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะทำให้ทุกอย่างสำเร็จคือ ? ความรัก

+ ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ? การไม่เคารพตัวเอง

+ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่จะต้องเอาชนะให้ได้คือ ? ความกลัว

+ ยานอนหลับที่ให้ผลดีที่สุดคือ ? ความสงบภายในใจ

[/color:dc63a27864">

ฟฟฟฟ3
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#20 วันที่: 02/06/2006 @ 17:18:05 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
.0003 ฟฟฟฟ2 .0001 ... .0007 .... ฟฟฟฟ3
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#21 วันที่: 02/06/2006 @ 17:18:33 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
กลัวเข็มฉีดยา กลัวหมอฟัน ห่างๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หมอฟันกับเรา คือทางขนาน .0008 .0008 นอกนั้น ได้เลย .0008 .0009
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#22 วันที่: 02/06/2006 @ 17:20:24 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
มีอีก 3 อย่าง งู ต๊กโต กาจั๊วะ .0008
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#23 วันที่: 02/06/2006 @ 17:22:43 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
สู้ม่า ฟฟฟฟ2 ฟฟฟฟ2 ฟฟฟฟ2 ฟฟฟฟ2 .0008 .0008 .0007 .0007 .0007 .0003 .0003 .0001 ฟฟฟฟ2 .0001
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#24 วันที่: 02/06/2006 @ 18:25:35 : Re: re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
ชื่อไหนของคุณ U
ชื่อไหนของคุณ am
ชื่อไหนมาร่วมแจมด้วยคะ
.0007 หนูมะเกี่ยวน๊า.. . ฟฟฟฟ3
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#25 วันที่: 02/06/2006 @ 18:30:04 : Re: re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
ดูแล้วอยากหัวเราะปากกว้างจัง
555555 .0008 .0009
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#26 วันที่: 03/06/2006 @ 13:28:32 : re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
.0005 .0008 .0005
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#27 วันที่: 03/06/2006 @ 22:33:38 : Re: re: จริงรึ ที่ว่าของถูกแล้ว ฤา แค่รีบาวน์
.000b
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com