2 คู่แฝด ได้แก่ คู่ของ เอสวีโอเอ (SVOA) กับ ไอที ซิตี้ (IT) และ คู่ของ เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรม (NEP) กับ นวนคร (NNCL)

ปัจจุบัน เอสวีโอเอ ถือหุ้น ไอที ซิตี้ จำนวน 111,666,601 หุ้น สัดส่วน 34.65% คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนใน ไอที ซิตี้ เท่ากับ 1,004.99 ล้านบาท (คำนวณที่ราคาปิด 9 บาท)

ส่วน เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ ถือหุ้น นวนคร จำนวน 35,595,000 หุ้น สัดส่วน 36.76% คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนใน นวนคร เท่ากับ 498.33 ล้านบาท (คำนวณที่ราคาปิด 14 บาท)

ขณะที่ มาร์เก็ตแคป ของหุ้นแม่ เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ ณ ราคาปิด ที่หุ้นละ 3.62 บาท มีมูลค่ารวม 478.54 ล้านบาท..ซึ่งต่ำกว่า

เท่ากับว่ามูลค่าเงินลงทุนใน นวนคร ยังสูงกว่า มูลค่ากิจการ ทั้งหมด ของหุ้นแม่ ประมาณ 20 ล้านบาท

ทางด้าน มาร์เก็ตแคป ของหุ้นแม่ เอสวีโอเอ ณ ราคาปิด ที่หุ้นละ 1.19 บาท มีมูลค่ากิจการ รวม 1,025.82 ล้านบาท (รวมหุ้นบุริมสิทธิ)

แม้ว่ามูลค่าเงินลงทุนใน ไอที ซิตี้ จะต่ำกว่า มาร์เก็ตแคป ของ เอสวีโอเอ ประมาณ 20 ล้านบาท..แต่ตัวเลขนี้ก็ถือว่า ใกล้เคียงกันมาก

นี่คือ Hidden Asset หรือ สินทรัพย์แฝง ที่ ซ่อน อยู่ในตัวของ บริษัทแม่

หมายความว่า..ถ้าเราซื้อหุ้น ตัวแม่ ก็เหมือนกับได้(มูลค่า)หุ้น ตัวลูก พ่วงมาด้วยฟรีๆ

แต่มีข้อน่าสังเกตว่า บริษัทแม่ ทั้ง เอสวีโอเอ และ เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ กลับมีผลงานสู้ บริษัทลูก ของตัวเองไม่ได้ เป็นสาเหตุทำให้ราคาหุ้นแม่ไม่สะท้อน..มูลค่าที่แท้จริงออกมา

ในไตรมาส 1/2549 ที่ผ่านมา เอสวีโอเอ มีกำไรสุทธิ 42.71 ล้านบาท โดยมาจากส่วนแบ่งกำไร จาก ไอที ซิตี้ จำนวน 12.78 ล้านบาท ขณะที่บริษัทลูก ไอที ซิตี้ ทำกำไรสุทธิได้ 36.90 ล้านบาท

ด้าน เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ ในไตรมาส 1/2549 บริษัทมีผลการดำเนินงาน(ปกติ) ขาดทุนสุทธิ 12.52 ล้านบาท แต่ได้รับส่วนแบ่งกำไรจาก นวนคร มาช่วยเสริม 17.89 ล้านบาท ทำให้บริษัทสามารถปิดงบ ด้วยตัวเลขกำไร 2.39 ล้านบาท

ซึ่งถ้าเปรียบเทียบศักยภาพของ 2 หุ้นแม่ ระหว่าง เอสวีโอเอ กับ เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ จะพบว่า เอสวีโอเอ มีอนาคต และปัจจัยพื้นฐาน ที่ดีกว่า

อย่างไรก็ตามมูลค่ากิจการของ ไอที ซิตี้ ที่จะมาสร้างมูลค่าให้กับ เอสวีโอเอ ค่อนข้างจะ เต็มมูลค่า แล้ว โดย ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินราคาเป้าหมายของหุ้น ไอที ซิตี้ ในปี 2549 ที่ราคา 6.90 บาท คำนวณจากตัวกำไรสุทธิคาดการณ์ 179 ล้านบาท และปี 2550 มีราคาเป้าหมาย 9.20 บาท คิดจากกำไรสุทธิคาดการณ์ 240 ล้านบาท เติบโตในอัตรา 18% และ 35% ตามลำดับ

แต่ราคาหุ้นในปัจจุบัน ปรับขึ้นมาเท่ากับราคาเป้าหมาย ของปี 2550 แล้ว เพราะประเมินว่า ไอที ซิตี้ ยังมีแนวโน้มเติบโตดีในระยะ 2 ปีนี้ (2549-2550) และมีความสามารถจ่ายปันผลสม่ำเสมอ

ทั้งนี้ ไอที ซิตี้ ตั้งเป้าเปิดสาขา IT CITY ให้ครบ 40 สาขา ภายใน 3 ปี โดยจะเปิด 7 สาขาในปี 2549 ส่วนในปี 2550-2551 มีแผนเปิดเพิ่มปีละ 5 สาขา ซึ่งจะทำให้มีสาขาครบ 40 แห่ง ภายในปี 2551

ขณะเดียวกันตามแผนธุรกิจของ ไอที ซิตี้ จะรุกธุรกิจขายเครื่องใช้ไฟฟ้า Mega Store ขนาดพื้นที่ 8,000 ตารางเมตร เพิ่มเติมจากธุรกิจ(หลัก)ขายสินค้า IT โดยจะวางพื้นที่ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า 70% อีก 30% ขายสินค้า IT คาดว่าจะเริ่มเปิดสาขาแรกในเดือนสิงหาคมปีนี้ ใช้งบลงทุนประมาณ 65 ล้านบาท

ดังจะเห็นว่ามูลค่าหุ้นในปัจจุบันของ ไอที ซิตี้ เทรดกันที่ พี/อี ค่อนข้างสูง ประมาณ 18-19 เท่า ส่วนราคาหุ้นก็ขึ้นมา ดักรอ การเติบโตล่วงหน้า หรือ ซื้ออนาคต ล่วงหน้าไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้หากจะทำให้ หุ้น เอสวีโอเอ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากๆ (ราคาวิ่ง) กว่านี้ ก็ต้องอาศัยศักยภาพการเติบโต ของตัวเอง เป็นตัวช่วย จะหวังยืนบน ขาลูก อย่างเดียวไม่ได้

ขณะที่หุ้น เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ เริ่มเห็นสัญญาณ ไม่แจ่มใส เพราะหลังจาก พลโท ปริญญา ชัยสุกวัฒน์ ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง กรรมการตรวจสอบ ของบริษัท มีผลตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2549 หลังจากนั้น ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2549 นิสันติ์ ประธานราษฎร์นิกร กรรมการผู้จัดการ ก็ยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งตาม..ก่อนหน้าที่บริษัทจะประกาศงบการเงิน ไตรมาส 1 ไม่กี่วัน

อย่างไรก็ตามหุ้น เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ ก็ยังน่าลุ้นตรงที่ราคาหุ้นที่เทรดกันยังต่ำกว่า มูลค่าทางบัญชี ต่อหุ้น 4.80 บาท และยังต่ำกว่ามูลค่ากิจการที่บริษัท เข้าไปลงทุน(ถือหุ้น)ใน นวนคร อีกด้วย

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย บล.พรูเด้นท์ สยาม ประเมินราคาเหมาะสมของหุ้น นวนคร ในปี 2549 ไว้ที่ 16.50 บาท เป็นหุ้นที่มีจุดเด่นตรงที่มี พี/อี ต่ำ และให้ผลตอบแทนจาก เงินปันผล สูงที่สุดในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมด้วยกัน

ในเมื่อราคาหุ้น นวนคร ยังมีอนาคต ราคาซื้อขาย ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน มองอีกมุม..การลงทุนในหุ้นแม่ เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ ก็นับว่าน่าเสี่ยง..ที่จะวางเดิมพัน