April 29, 2024   4:04:01 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
 

U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
วันที่: 05/06/2006 @ 09:19:24
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

คุณฉุยคุยเอง : หาจังหวะ ขายหุ้นลดพอร์ต ถือเงินสด, นักลงทุนระยะยาว รอซื้อช่วง Panic

ศาลฎีกา มีมติเสียงข้างมาก 72 เสียง ไม่รับพิจารณาสรรหา กกต. เพิ่มเติม ตามที่ ปธ.วุฒิเสนอ ทำให้สถานการณ์การเมืองไทยเรา ยังน่าเป็นห่วงเพราะ ยังไม่สามารถสรรหา กกต. ให้ครบ 5 คนได้ แม้ว่า จะมีการประกาศว่า 15 ตุลาคม 2549 เป็นวันเลือกตั้งก็ตามแต่ กกต. เองก็มีปัญหาสารพัด ทั้งถูกฟ้องร้องจากการจัดการ การเลือกตั้งที่ผ่านมา และ 2 พรรคการเมืองใหญ่



ไทยรักไทยและประชาธิปัตย์ กำลังเล่นเกมการเมืองกันอย่างรุนแรง อาจจะถึงขั้น ยุบพรรคการเมือง ยิ่งทำให้การเมืองมีปัญหามากยิ่งขึ้น เมื่อเกิดความไม่แน่นอนด้านการเมืองเกิดขึ้น ว่า การเมืองจะจบได้เร็ววันหรือไม่ (เกิดสุญญากาศทางการเมือง) ยิ่งทำให้ต่างชาติ เริ่มไม่ค่อยมั่นใจในการลงทุน หรือแม้แต่นักลงทุนภายในประเทศ จึงพากัน สั่งขายหุ้นลดพอร์ต ออกไปก่อน ถือเงินสดกันหมด

ไม่ว่าจะเป็น ตัดขายขาดทุนไปเลยหรือ รอ รีบาวนด์ขึ้นมาเพื่อขายออก ยิ่งทำให้ดัชนี โดนซ้ำเติมมากยิ่งขึ้น หุ้นที่นักลงทุนต่างชาติขายลดพอร์ตส่วนใหญ่ เป็นหุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่ (Big market cap.) จึงทำให้ดัชนี ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง

แม้ว่าจะมีการคาดว่า จะมีเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศส่วนหนึ่งอาจจะเริ่มไหลกลับเข้ามาซื้อหุ้นกลุ่มแบงก์ของไทยหลังจากที่แบงก์ ออฟ ไชน่า เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง แต่การลงทุนของต่างชาติ อาจจะเป็นการเฉลี่ย เม็ดเงินลงทุนเพราะต้องลงทุนหุ้นแบงก์ ออฟ ไชน่า ด้วย จึงทำให้เม็ดเงินที่จะไหลกลับเข้ามาในไทย น่าจะลดลงไปมากทีเดียว

ช่วงนี้ยังไม่เห็นปัจจัยบวกใดๆ ไม่ว่าจะเป็น การเมืองยังไม่เรียบร้อยว่า จะมีการจัดการเลือกตั้งกันวันไหน จะยังคงเป็น 15 ตุลาคม 2549 จริงหรือเปล่า, เรื่องของเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ยังเป็นภาวะกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่, ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ยังสูงอยู่, กำลังซื้อของประชาชนทั่วไป ลดลงมากตามลำดับ เห็นได้จาก รายได้ของกรมสรรพากร ลดลงอย่างเห็นได้ชัด (เก็บ VAT ได้น้อยลง), ต่างชาติ เทขายหุ้นลดพอร์ต ในตลาดหุ้นเกิดใหม่ ทั่วโลก เฉพาะเมืองไทยเรา วันละ 5,000 - 6,000 ล้านบาท/วัน

แม้ที่ผ่านมา จะมีผ่อนๆ แรงขายลงมาบ้างก็ตาม แต่ก็เป็นการขายสุทธิอยู่ดี และอาจจะส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลออกได้ ให้ติดตาม ค่าเงินบาทให้ดี ถ้าอ่อนค่าอย่างมีนัยสำคัญ ต้องระวังตัวให้ดี

ดังนั้น กลยุทธ์ การลงทุนช่วงนี้ คือ หาทางขายหุ้นลดพอร์ต ไม่ว่า จะเป็น ขายไปเลย หรือขายตอนรีบาวนด์ ก็ได้

ส่วนคนที่ต้องการซื้อวัด เพื่อแค่ รีบาวนด์ ช่วงสั้นๆ หากดัชนีฯ มีรีบาวนด์ ขึ้นมา ให้หาจังหวะขายลดพอร์ตแล้วถือเงินสดไปเลยจะปลอดภัยกว่า

ในระยะสั้น หุ้น ขนาดใหญ่ (Big market cap.) ยังมีความเสี่ยงจากแรงเทขายของต่างชาติอยู่ คงต้องรอ ว่า แรงขายเบาบางหรือยัง ค่อยกลับมาพิจารณากันใหม่ และ แนวรับทางจิตวิทยา 700 จุด (+/- 5 จุด) จะรับอยู่หรือเปล่า (ช่วงนี้ เริ่มมีหลุดต่ำกว่า 700 จุดลงมาบ้างแล้ว)

อย่างน้อยๆ ก็ลุ้นรีบาวนด์ก่อน ถ้าไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ ท่าทางจะแย่ครับท่าน อาจจะไปดูกันอีกที 680 - 687 จุด เป็นการปรับตัวลดลง ครบ 100 จุดพอดี ค่อยลุ้นรีบาวนด์ กันใหม่ ก็ดีเหมือนกันครับ

การวิเคราะห์ ทางเทคนิค

SET ได้เกิดแรงขายอย่างต่อเนื่อง รุนแรง จากแรงขายในหุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่ (Big market cap.) เพราะต่างชาติ เทขายหุ้น ในตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั่วโลก จนทำให้หลุดแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย ก่อนหน้านั้น คือ หลุด EMA 10, 25 วันลงมา (775 และ 767 จุด ตามลำดับ) และ หลุดEMA 75 วัน ลงมา (ที่บริเวณ 749 - 750 จุด) พร้อมๆกับ หลุด EMA 200 วันลงมา (725 จุด) และ SMA 200 วัน ที่ 720 จุดก็หลุดลงมาด้วย ทำให้ตลาดหุ้น มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ปัจจุบัน เส้นค่าเฉลี่ย ได้กดหัวต่ำลง กลายเป็น Dead cross ขั้นที่ 1&2 (EMA 10 วัน ตัด 25 วันลงมา และ EMA 10 วัน ตัด 75 วันลงมา ตามลำดับ) และขั้นที่ 3& 4 (คือ EMA 25 วัน ตัด 75 วันลงมา และ EMA 10 วัน ตัด 200 วันลงมา) ทำให้เกิด ขาลง สมบูรณ์ แบบ (Super bearish) และแถม SET หลุด แนวรับ ทางเส้นแนวโน้มขาขึ้น Long-term up trend line 748 จุดลงมา กลายเป็นสัญญาณขาย ชัดเจน, Indicator ยังไม่สั่งเป็นสัญญาณซื้อขึ้นมา และก่อนหน้านั้น ดัชนีฯ ได้เกิดสัญญาณ Bearish Divergence ที่ชัดเจนคือ ดัชนีฯ สร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ แต่ Indicator (MACD, 14 RSI) ไม่สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ เกิดสัญญาณขัดแย้งกัน จนในที่สุด จึงเกิดแรงขายอย่างหนักลงมา

แม้ว่าช่วงนี้จะเกิดภาพ การขายมากเกินไป ก็ตาม (Overbought) ดังนั้น ช่วงนี้ ถ้าหากดัชนีฯ มีการรีบาวนด์ขึ้นมา น่าจะเป็นรีบาวนด์ระยะสั้นๆ เพื่อปรับตัวลดลงต่อ (การรีบาวนด์ เพื่อลงต่อ ต้องหาทางขายหุ้นลดพอร์ต เก็บเงินสด ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้)

สรุป ดัชนีฯ ที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา เป็นไปตามตลาดหุ้นทั่วโลกและภูมิภาค ทั้งในส่วนของดัชนีนิกเคอิ, หั่งเส็ง ปรับตัวลดลงทั้งหมด เพราะเกรงว่า สหรัฐจะยังคงใช้นโยบายปราบเงินเฟ้อ ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขึ้นไปอีก หลังจากที่ราคาน้ำมันยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เศรษฐกิจไทยมีความผันผวนหลายเรื่อง ทั้งราคาสินค้าในตลาดโลกผันผวน, อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น,ราคาน้ำมันแพง ต่อเนื่อง, อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน, กำลังซื้อประชาชนลดลงอย่างหนัก, การเมืองยังไม่แน่นอนในช่วงระยะเวลาอันใกล้ ทำให้เกิดสุญญากาศ ทางการเมือง ขาดหน่วยงานที่จะมาดูแลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด

เศรษฐกิจไทย มีความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อมั่นด้านการลงทุนและ ความเชื่อมั่นอุตสาหกรรม ต่ำกว่า 100 จุด เป็นสัญญาณอันตรายมาก บ่งบอกถึง โอกาสในการหางานต่ำลง, เศรษฐกิจมีโอกาส ทรุดตัวลง, คนอาจจะตกงานเพิ่มมากขึ้น จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง ทางออกที่ดี คือ ชะลอการลงทุน ถือเงินสดให้มากๆ จะดีกว่านะครับ กลยุทธ์ ยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก เพราะ ตลาดหุ้น ไม่ดีจริงๆ ถ้าจะลุ้นก็ ลุ้นแค่รีบาวนด์ สั้นๆ อาจจะไม่คุ้มความเสี่ยง ยกเว้น จะซื้อหุ้น ถือในระยะยาวมากๆ ในช่วงเกิดอาการตื่นตกใจ (Panic) อย่าลืมว่า การเมือง ลากยาวอย่างนี้ ตลาดหุ้นไม่ดีครับ

สรุปง่าย ปัจจัยการเมืองยังไม่นิ่ง, ฝรั่งยังไม่หยุดขายหุ้นลดพอร์ต ในตลาดหุ้นเกิดใหม่ ทั่วโลก, ยังหาคน มาเป็นรัฐบาลใหม่ เพื่อ เข้ามาทำงาน แก้ปัญหา ที่เป็นปัจจัยลบ ใหญ่ๆ เหล่านี้ ไม่ได้ และจะยังมีปัจจัยลบใหม่ๆ เข้ามาตลอด

ดังนั้น ตลาดหุ้น ท่าทางจะลำบากมากๆ ครับ ช่วงนี้ ดูแนวรับ 700 จุด (+/- 5 จุด) เป็นสำคัญ ถ้าไม่อยู่ ลำบากมากครับ ถ้ารับอยู่ ก็ลุ้นแค่ รีบาวนด์ สั้นๆ เท่านั้น แต่ถ้ารับไม่อยู่ ไปดู ที่ 680 - 687 จุด ปรับตัวครบ 100 จุด ลุ้นรีบาวนด์ อีกรอบ การรีบาวนด์ หากมีการรีบาวนด์ใหญ่ๆ ขึ้นมา ถ้าไม่เกิน 725, 740 - 745 จุด ให้ขายหุ้น ลดพอร์ต อย่างเดียว เพื่อถือเงินสดให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้

ส่วนคนที่พอร์ตว่าง อาจจะหาทางเลือกในการลงทุนทางอื่น, หรือ ชะลอการลงทุนไปเลย อาจจะดีกว่า ถือเงินสด ปลอดภัยที่สุด

ขอให้โชคดีและปลอดภัย ในการลงทุนทุกๆ ท่าน

 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#1 วันที่: 05/06/2006 @ 09:21:45 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
IEC สรุปร่วมทุน มิ.ย. เน้นธุรกิจพลังงานก่อน
Source - กระแสหุ้น
Monday, 05 June 2006 04:05

ผู้บริหาร ไออีซี มั่นใจสรุปแผนร่วมทุนได้ภายใน มิ.ย.นี้ เป็นไปได้ทั้งซื้อหุ้นโดยตรงและแลกหุ้น เหตุหลังได้รับความคุ้มครองจากศาลฯทำให้ผลการเจรจาธุรกิจกับพันธมิตรคืบหน้ามาก เบื้องต้นวางแผนใส่เม็ดเงินในธุรกิจพลังงานก่อน ด้านเทคนิคระยะสั้นมีลุ้นรีบาวด์ต่อ ประเมินแนวต้านสำคัญที่ 4.40-4.50 บาท
นายสุมิท แช่มประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทอินเตอร์แนชั่นเนิล เอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC เปิดเผยว่า ภายในเดือนมิถุนายนนี้บริษัทมั่นใจว่าจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการลงทุนเพิ่มเติม ภายหลังจากที่บริษัททำการตกลงขายหุ้นแบบเฉพาะจงเจาะให้กับพันธมิตรจำนวน 625 ล้านหุ้น เป็นที่เรียบร้อย อย่างไรก็ดีการขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวข้างต้นจะเป็นลักษณะการทยอยขาย ขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเลือกใช้สองแนวทางในการเพิ่มทุน ระหว่างการซื้อหุ้นจากบริษัทโดยตรงกับการแลกหุ้นกับทางพันธมิตร ทั้งนี้บริษัทจะเลือกพันธมิตรในประเทศ หากจะเลือกใช้วิธีการแลกหุ้นระหว่างกัน ส่วนการซื้อขายหุ้นก็มีทั้งในและต่างประเทศ
แผนร่วมทุนสรุปได้สิ้นเดือนนี้
แนวทางเพิ่มทุน ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ แต่บริษัทมั่นใจว่า สิ้นเดือนนี้จะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการลงทุน ส่วนแนวทางการใช้เงินระดมทุนนั้น บริษัทจะเลือกลงทุนตามขนาดของการลงทุน ต้องขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจไหนมีความพร้อมมากที่สุด เพราะปัจจุบันบริษัททำธุรกิจ 3 ประเภท ทั้ง ธุรกิจด้านการสื่อสาร ธุรกิจไอที และธุรกิจพลังงาน แต่เบื้องต้นคาดว่า จะมีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทจะเลือกลงทุนในธุรกิจด้านพลังงาน และสื่อสารก่อน นายสุมิท กล่าว
พันธมิตรกลับมาเจรจาคืบหน้า
นายสุมิท กล่าวว่า ภายหลังจากที่บริษัทได้รับการคุ้มครองจากศาลปกครอง โดยสั่งให้ตลาดหลักทรัพย์ยกเลิกคำสั่งห้ามเน็ตเซ็ทเทิลเม้นท์ และบัญชีมาร์จิ้น หุ้น IEC ส่งผลดีให้การเจรจากับพันธมิตรมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง จากที่ก่อนหน้าพันธมิตรที่บริษัทได้มีการเจรจากันไว้ ได้ขอชะลอแผนการร่วมทุนไว้
แนวโน้มทางเทคนิครีบาวด์
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด(มหาชน) หรือ IEC ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า ราคาหุ้นแกว่งตัวขึ้นลงตามแรงเก็งกำไรที่หนาแน่น โดยล่าสุด (2 มิ.ย.) ซื้อขายที่ระดับ 4.20 บาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.สินเอเชีย กล่าวว่า ระยะสั้นราคาหุ้นมีโอกาสรีบาวด์ได้ ประเมินแนวต้าน 4.40 บาท และแนวรับ 4.12 บาท แนะเก็งกำไร
หุ้นแนวต้านสำคัญ4.40-4.50บ.
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูไนเต็ด ประเมินว่า แนวโน้มการเคลื่อนตัวของราคาหุ้น IEC ยังคงอยู่ในกรอบเทคนิค ทั้งนี้มองว่าระยะสั้นอาจมีการรีบาวด์ขึ้นได้เล็กน้อย แต่ไม่น่ามีนัยสำคัญต่อการแกว่งของราคาหุ้น โดยประเมินแนวรับ 4-3.60 บาท และแนวต้าน 4.28-4.50 บ
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#2 วันที่: 05/06/2006 @ 09:24:35 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
CITYลุยขยายตลาดใน-นอกประเทศ
Source - กระแสหุ้น
Monday, 05 June 2006 04:09

บิ๊ก CITY ย้ำรายได้ปีนี้ได้ตามเป้าแน่นอน แม้ภาวะราคาน้ำมันและราคาเหล็กปรับเพิ่ม ส่วนแผนการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายจะเน้นการขยายตลาดในประเทศ โดยรุกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหลัก รวมทั้งเตรียมเจรจากับลูกค้าต่างประเทศหวังขยายตลาด เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ให้กับบริษัทในอนาคต
นายคมกริช พงศ์รัตนเดชาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซิตี้ สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ CITY เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทยังไม่ได้มีการปรับเป้ารายได้ลงแต่อย่างใด โดยยังคงเป้ารายได้ในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 550-560 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ประมาณ 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 493 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มผลประกอบการของรายได้ในไตรมาส 3 (เม.ย.-มิ.ย.) นั้น ทางบริษัทคาดว่ารายได้น่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับไตรมาส 2
ส่วนแผนการดำเนินงานในไตรมาส 4 (ก.ค-ก.ย 2549) นั้น ทางบริษัทก็ยังคงเดินหน้าตามแผนงานเดิม โดยจะรุกตลาดในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น เน้นลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 50% ของรายได้รวมของบริษัท ส่วนรายได้อีก 50% ที่เหลือนั้นบริษัทก็จะกระจายรายได้ไปยังกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มลูกค้าโมเดิร์น เทรด โลจิสติกส์ และอาหารเกษตรแปรรูป
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้บริษัทได้เริ่มทำการเจรจากับลูกค้าในต่างประเทศแล้วบางส่วน เช่น ยุโรป และเอเชีย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าอัตรากำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 15,000 ตัน จากอัตราการผลิตสูงสุดอยู่ที่ 160,000 ตัน
นายคมกริช กล่าวถึงสถานการณ์ราคาเหล็กในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นว่า ขณะนี้บริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบจากการที่ราคาเหล็กปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าบริษัทจะใช้เหล็กเป็นต้นทุนในการผลิตก็ตาม แต่ว่าบริษัทก็สามารถที่ปรับราคาสินค้าได้ตามราคาเหล็กที่ปรับเพิ่มขึ้น
การที่ราคาเหล็กจะปรับขึ้นหรือลงนั้นก็ไม่มีผล เพราะเราใช้ต้นทุนเท่าไหร่ ก็เอาต้นทุนตั้งแล้วค่อยบวกค่าการดำเนินงานเข้าไป
สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นนั้น ยังไม่ได้ส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม เพราะฉะนั้นจึงยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัท แต่หากเศรษฐกิจโดยรวมได้รับผลกระทบ ก็คงกระทบต่อบริษัทด้วย
ในขณะที่ประเด็นเรื่องของภาวะราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น บริษัทได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะว่าค่าใช้จ่ายที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้นไม่มากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายรวมของบริษัท ส่วนการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนั้น ทางบริษัทไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อต่อทุน (D/E) ที่อยู่ในระดับที่ต่ำมาก ประกอบกับบริษัทยังมีเงินสดอยู่ในมือกว่า 100 ล้านบาท ดังนั้น จากปัจจัยเรื่องของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น ส่งผลให้ได้รับอานิสงส์จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นมากกว่าที่จะได้รับผลกระทบ
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#3 วันที่: 05/06/2006 @ 09:27:06 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
LH-SPALIชิงลูกค้าสุวรรณภูมิ :กระตุ้นยอดขายQ3-PFกว้านซื้อที่ดินเพิ่ม
Source - ข่าวหุ้น
Monday, 05 June 2006 04:37

ผู้ประกอบการบ้านจัดสรร แห่ผุดโครงการย่านสนามบินสุวรรณภูมิ หวังกระตุ้นยอดขายไตรมาส 2-3 หลังรัฐเตรียมเปิดบริการสนามบินก.ย.นี้ ส่วนตัวเลขควอเตอร์แรกไม่งามเหตุโดนการเมืองทำพิษ LH-SPALI พร้อมใจขายบ้านใหม่เพียบ ขณะที่ PF-KMC เดินหน้าพัฒนาที่ดินในมือ
หลังจากรัฐบาลมีความชัดเจน กรณีการเปิดดำเนินการสนามบินสุวรรณภูมิช่วงเดือนก.ย.นี้ ขณะที่ภายใน 3 ปีข้างหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 เส้นทางจะดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้ใช้บริการ โดยหนึ่งในเส้นทางดังกล่าว จะมีส่วนที่เชื่อมต่อเข้าไปในสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้ขณะนี้ที่ดินบริเวณใกล้เคียงและรอบสนามบินมีความคึกคักเป็นอย่างมาก
โดยขณะนี้เริ่มมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่หลายราย ได้ทยอยเปิดโครงการใหม่และต่อเนื่องในย่านดังกล่าวมากขึ้น โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับกลางขึ้นไป เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงไตรมาส 2 และ 3 หลังจากผลประกอบการช่วงไตรมาสแรกออกมาไม่ดีเพราะประสบปัญหาทางการเมือง ดอกเบี้ยและน้ำมันที่มีราคาสูงขึ้นรวมถึงประสบความสำเร็จในการเปิดโครงการใหม่ เพื่อทดลองตลาดไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้เห็นได้จากช่วงต้นปีบริษัท แลนด์แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ LHเปิดขายโครงการบ้านเดี่ยวนันทวัน สุวรรณภูมิจำนวน 84 ไร่ พื้นที่ 63 ตารางวา ราคาขาย6.2ล้านบาท และโครงการสีวลี สุวรรณภูมิ เฟส 1 และ 2 ราคาขาย 3.4 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 4,000 ล้านบาท
โดยได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีส่งผลให้เร็วๆนี้ LH เตรียมเปิดโครงการใหม่และต่อเนื่องอีก 2 แห่ง ขณะที่ในช่วงเดือนก.ย.จะเปิดอีก 1 แห่งคือ โครงการชลลดาสนามบินสุวรรณภูมิจำนวน 1,175 ยูนิต มูลค่า 6,300 ล้านบาทและเดือนต.ค.เปิดอีก1 แห่ง คือ โครงการชัยพฤกษ์ สุวรรณภูมิ จำนวน 261 ยูนิต จำนวน 850 ล้านบาท
ขณะที่บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)หรือ SPALI ก็เตรียมเปิดโครงการบ้านเดี่ยวศุภาลัย วิลล์ กิ่งแก้ว-ศรีนครินทร์ ขนาด 50 ตารางวาขึ้นไปบนเนื้อที่ 41 ไร่จำนวน 220ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งถือเป็นโครงการแห่งที่ 3 ที่เปิดขายในย่านดังกล่าว หลังประสบความสำเร็จในการขายโครงการศุภาลัย แกรนด์ เลค และโครงการศุภาลัย สุวรรณภูมิ โดยในช่วงปลายปีนี้เตรียมเปิดขายโครงการใหม่อีก 1 แห่ง
นอกจากนี้ยังมีบริษัท นัมเบอร์วัน เฮ้าส์ซิ่ง ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เตรียมเปิดขายโครงการบ้านเดี่ยวบลูลากูน ถนนบางนา-ตราด กม.8 ใกล้สนามสุวรรณภูมิ ราคาตั้งแต่ 5-20 ล้านบาทจำนวน 268 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาทล่าสุดมียอดขายแล้วประมาณ 20 ยูนิต
อย่างไรก็ดีนอกจากจะมีบริษัทที่จะเปิดโครงการใหม่แล้วยังมีผู้ประกอบการอสังหาอีกหลายรายที่เตรียมพัฒนาที่ดินที่มีอยู่ในมือ เพื่อรองรับโครงการรถไฟฟ้า อาทิ บริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)หรือ PF ซึ่งมีที่ดินในมือประมาณ 2,344 ไร่ ในย่านสนามสุวรรณภูมิ รัตนาธิเบศร์ แจ้งวัฒนะ และบางใหญ่
ล่าสุดอยู่ระหว่างพิจารณาปรับเปลี่ยนรูปแบบของโครงการเป็นทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียม จากเดิมที่จะพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว นอกจากนั้นยังมีบริษัท กฤกษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ KMC ที่ปัจจุบันบริษัท โกลเด้น เทคโนโลยีอินดัส เทรียลพาร์ค จำกัดและบริษัท เคแอนด์วี เอส อาร์ เอส การ์เด็นโฮม ซึ่งเป็นบริษัทในเครือมีที่ดินใกล้สนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 4,516 ไร่ โดยมีแผนจะพัฒนาเป็นโครงการต่อไปในอนาคต
ด้านนายอธิป พีชานนท์ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ SPALI เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการอสังหาฯที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่จะมีโครงการบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิอย่างน้อย 1 โครงการ
ส่วนตัวมองว่าโครงการบ้านจัดสรรระดับกลางยังคงมีความต้องการซื้อสูง ขณะที่ตลาดบนอาจต้องรอให้สนามบินเปิดบริการเสียก่อน เพราะกำลังซื้อในกลุ่มดังกล่าวยังสามารถรอได้จึงยังไม่ตัดสินใจซื้อในช่วงนี้
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#4 วันที่: 05/06/2006 @ 09:28:15 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
EVERพ้นฟื้นฟูเดือนนี้ เจ้าหนี้ถอนคำค้าน
Source - ข่าวหุ้น
Monday, 05 June 2006 04:37

EVER เดือนนี้หลุดแผนฟื้นฟูฯ หลังเจ้าหนี้ถอนคำคัดค้าน หวั่นไม่ได้รับเงินปันผล ผู้บริหารแย้มปลายปี 49 ผุด 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 9.5 พันล้านบาท หากเศรษฐกิจตลาดอสังหาริมทรัพย์อยู่ในทิศทางดี
แหล่งข่าวจากบริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด(มหาชน)หรือ EVER เปิดเผยกับข่าวหุ้นธุรกิจว่าภายในเดือนนี้บริษัทจะสามารถออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้แน่นอน จากเดิมคาดว่าศาลล้มละลายกลาง จะพิจารณาให้ออกในช่วงเดือนพ.ค.49 เนื่องจากขณะนี้เจ้าหนี้ 1รายได้ถอนคำคัดค้านการออกจากแผนฟื้นฟูฯแล้ว หลังจากเห็นว่าหากบริษัทยังอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูฯเจ้าหนี้ที่แปลงหนี้เป็นทุนบางส่วนก็จะไม่ได้รับเงินปันผลของบริษัท
เชื่อว่าศาลฯจะพิจารณาให้ออกจากฟื้นฟูฯ เพราะปัญหาต่างๆได้รับการคลี่คลายแล้วเบื้องต้นมองว่าการที่ศาลฯไม่อนุญาตให้ออกจากฟื้นฟูฯในช่วงเดือนพ.ค.ทั้งที่ได้ดำเนินการทุกอย่างครบถ้วนแล้ว เพราะไม่ต้องการให้มีคดีติดค้างอยู่ในศาลฯอีก ซึ่งอาจจะมีปัญหาตามมาภายหลังแหล่งข่าว
อย่างไรก็ดีสาเหตุที่ราคาหุ้น EVER ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.60 บาท ปิดตลาด 4.74 บาทสูงสุด 4.86 บาท ต่ำสุด 4.04 บาท มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 45.80 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากที่ก่อนหน้านี้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมากทำให้นักลงทุนกลับเข้าซื้อ เพราะเชื่อว่าเร็วๆนี้บริษัทจะมีข่าวดี รวมถึงผลประกอบการในอนาคตอาจมีอัตราเติบโต
แหล่งข่าว กล่าวต่อว่า หากสถานการณ์ต่างๆในช่วงปลายปีนี้ อาทิ ภาวะเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์อยู่ในทิศทางที่ดี บริษัทอาจเปิดโครงการใหม่ 2 แห่ง มูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้นประมาณ 9,500 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะเปิดขายในไตรมาส 2ประกอบด้วย โครงการมายโฮม สุวินทวงศ์ เฟส 1 พื้นที่ 100 ไร่ จำนวน 150 ยูนิตมูลค่า 600 ล้านบาท โครงการมายโฮม เชียงใหม่ เฟส 1 พื้นที่ 85 ไร่ จำนวน 150ยูนิต มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะรับรู้รายได้บางส่วนในปีนี้ ส่วนที่เหลือจะรับรู้รายได้จากโครงเก่าที่เปิดขายไปเมื่อปีก่อน คือ โครงการมายโฮม ประชาชื่น ล่าสุดมียอดขายแล้ว 25 ยูนิตจากทั้งหมด 33 ยูนิต โครงการมายโฮม เทพารักษ์ มียอดขายแล้ว 40-50 ยูนิตจาก 194ยูนิต และโครงการมายวิลลาร์ บางนา มียอดขายแล้ว 189 ยูนิต จาก 209 ยูนิต คาดว่าโครงการดังกล่าวจะปิดการขายได้เกือบทั้งหมดภายในปีนี้
ปัจจุบันบริษัทมีแลนด์แบงก์ในมือประมาณ 805 ไร่ แบ่งเป็นย่านสุวินทวงศ์ 635 ไร่และเชียงใหม่ 170 ไร่ ทั้งนี้โครงการมายโฮมสุวินทวงศ์ที่จะเปิดปลายปีนี้จะสามารถรับรู้รายได้ได้ถึง 3-5 ปีข้างหน้า ส่วนโครงการมายโฮม เชียงใหม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาอย่างไรก็ดีตอนนิ EVER มีอัตราหนี้สิน (D/E) อยู่ในระดับ 2 เท่า โดยตั้งเป้าจะรักษาให้อยู่ที่ 1.5 เท่า จากเดิม 2.5 เท่าแหล่งข่าว กล่าว
นักวิเคราะห์หลายหนึ่ง ประเมินว่า สาเหตุที่ราคาหุ้น EVER ปรับตัวสูงขึ้น อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาราคาลงแรงหลังนักลงทุนขายทำกำไร รวมถึงมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถออกจากแผนฟื้นฟูฯได้ภายในเดือนนี้ ดังนั้นแนะนำขาย เพราะผู้ประกอบการอสังหาฯขนาดเล็กมีความเสี่ยงสูงในช่วงที่ราคาน้ำมัน และดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#5 วันที่: 05/06/2006 @ 09:29:56 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
วันนี้RRCวัดใจภัทร ทำกรีนชูอุ้มรายย่อย :ผู้บริหารลั่นอย่าทิ้งหุ้น โชว์โรงกลั่นใหม่ สดและซิง :มั่นใจไม่หลุดจองกลุ่มพลังงานหนุน น้ำมันแตะ72เหรียญ
Source - ข่าวหุ้น
Monday, 05 June 2006 04:35

วันนี้พิสูจน์ความจริงใจภัทรฯ กับ RRC ถ้าหุ้นร่วงจะใช้กรีนชู 170 ล้านหุ้น ช่วยรายย่อยทันทีหรือไม่ หวั่นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยโกลว์ รอจนร่วงต่ำสุดถึงเข้าไปช่วย ฟาดกำไร 180ล้านบาท นักลงทุนตายคาเวที ฝ่ายผู้บริหารแนะรายย่อยอย่าทิ้ง ชี้ราคา 18 บาทต่ำมากบริษัทโตได้อีกเทียบกับ TOP และ BCP โรงกลั่นใหม่และสด เทคโนโลยีทันสมัย ระบุค่ากลั่นอีก 3-4 ปีไม่ตกมากกว่านี้ ด้านกองทุนจองน้อย เพราะหุ้นไม่อยู่ในเซ็ต 50 มองเทรดวันแรกไม่คึก ส่วนน้ำมันโลกพุ่งแตะ 72 เหรียญ
หุ้นโรงกลั่นน้ำมันระยอง หรือ RRC หุ้นใหญ่ที่วันนี้เข้าเทรดมีมาร์เก็ตแคปราว54,000 ล้านบาทจะยืนเหนือจองราคา 18 บาทได้สำเร็จหรือไม่ หลายฝ่ายมองความจริงใจของที่ปรึกษาการเงินและลีดอันเดอร์ไรท์เตอร์ บล.ภัทรจะช่วยนักลงทุนรายย่อยหรือไม่นำเอากรีนชู 170 ล้านหุ้นออกมาใช้เลยถ้าหุ้นร่วงต่ำกว่าจอง หรือจะรอจนกว่าหุ้นร่วงลงไปต่ำสุด ถึงทำกรีนชู หรือการซื้อหุ้นในกระดานคืนผู้ถือหุ้นเดิม เพราะเคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแล้วกับ หุ้นไฟฟ้า โกลว์ที่ภัทร ปล่อยให้หลุดไอพีโอ 24 บาท และไปรอซื้อ 21.30บาท ฟันกำไรบนคราบน้ำตารายย่อย 180 ล้านบาท เพราะแมงเม่าขายทิ้งก่อน ไม่สามารถถือรอได้
สำหรับภาวะลงทุนวันนี้ตลาดหุ้นมีโอกาสแจ่มใส ได้หุ้นพลังงานเป็นตัวนำ ตามราคาน้ำมันโลกเมื่อวันศุกร์ที่ปรับขึ้น 72.05 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ จึงคาดว่าหุ้นพลังงานจะเป็นตัวนำ และเป็นข่าวดีของหุ้น RRC ส่วนตัวเลขการจ้างงานที่อเมริกา เมื่อวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาเปิดเผยจ้างงานนอกภาคการเกษตร(Non-farmpayroll) เดือนพฤษภาคมเพิ่ม 7.5 หมื่นคน ต่ำกว่าที่คาด 1.7 แสนคน
ส่วนอัตราว่างงานพ.ค.ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 4.6% จาก 4.7% ในเมษายนที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์คาดก่อนหน้านี้ว่าอัตราว่างงานพ.ค.จะย่ำฐานทรงตัว ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า ตัวเลขจ้างงานประกาศออกมาสะท้อนให้เห็นภาพรวมว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังขยายตัวขึ้นแบบยั่งยืน และเป็นไปได้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะหยุดวงจรการปรับขึ้นดอกเบี้ย
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบสหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 1.71 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 72.05 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในตลาด NYMEX
นายชายน้อย เผื่อนโกสุม รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยองจำกัด (มหาชน) หรือ RRC กล่าวว่า นักลงทุนรายย่อยอย่าขายหุ้นให้ถือไว้ และมั่นใจว่าหุ้นไม่หลุดจอง บริษัทมีพื้นฐานที่ดีราคาที่เสนอขาย 18 บาทต่อหุ้นค่อนข้างต่ำ
นอกจากนั้นหากเทียบราคา RRC กับราคาหุ้นโรงกลั่นน้ำมันอื่นๆ เช่น บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)หรือ TOP ซึ่งอยู่ที่ 61-62 บาท และหุ้นบริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ซึ่งอยู่ที่ 13 บาท จะพบว่าราคาหุ้นของบริษัทอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน โดยแม้กำลังการกลั่นของบริษัทที่ปัจจุบันอยู่ที่ 1.45 แสนบาร์เรลต่อวันจะน้อยกว่าของ TOP ซึ่งอยู่ที่ 2.2 แสนบาร์เรลต่อวัน แต่อายุการใช้งานของโรงกลั่น RRC เพิ่ง 10 ปีเท่านั้นยังใหม่มากไม่จำเป็นต้องปิดซ่อม ขณะที่เทคโนโลยีการผลิตต่างๆ ก็ทันสมัยกว่ามีโอกาสที่จะเติบโตได้อีก
ขณะเดียวกันเชื่อว่า นักลงทุนรายย่อยที่ได้หุ้นไปมีความคุ้นเคยกับการลงทุนในหุ้นโรงกลั่นน้ำมันเป็นอย่างดี ทั้งจาก TOP และ BCP ทำให้เชื่อว่านักลงทุนทราบดีอยู่แล้วว่าหุ้นประเภทนี้ เหมาะสมลงทุนระยะยาวมากว่าการเก็งกำไรสั้นๆ และคงไม่ยอมขายขาดทุนออกมาวันแรกแน่นอน อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้ว่าหลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอาจมีการขายทำกำไรออกมาบ้าง
นายชายน้อย กล่าวต่อว่า อีก 3-4 ปีข้างหน้าค่าการกลั่นจะไม่ตกต่ำหรือเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันความต้องการใช้น้ำมันมีสูงกว่ากำลังการผลิตที่มีอยู่ โดยเฉพาะประเทศจีนและอเมริกา ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมากำลังการกลั่นทั่วโลกปรับขึ้นมาอยู่ที่ 90% แล้วซึ่งถือว่าสูงมาก แต่ความต้องการใช้น้ำมันก็ยังคงมีต่อเนื่อง ขณะการสร้างโรงกลั่นใหม่ๆ ยังมีจำกัดเนื่องจากต้องใช้เงินทุนสูง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจความเห็นของผู้จัดการกองทุนหลายแห่งพบว่าการซื้อขายหุ้น RRC ในวันนี้อาจไม่ร้อนแรงและคึกคักอย่างที่คาดกันไว้ เนื่องจากกองทุนต่างๆ ไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การกำหนดราคาหุ้น RRCออกมาค่อนข้างต่ำ
ทั้งนี้สาเหตุที่กองทุนไม่ให้ความสนใจเป็นเพราะมองว่าการเข้าจดทะเบียนของ RRCอยู่ในช่วงที่ราคาน้ำมันถึงจุดสูงสุดแล้ว โอกาสที่จะสูงกว่านี้มีไม่มากทำให้ขาดข่าวที่จะช่วยหนุนให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นในระยะยาวแตกต่างจากช่วงที่ TOP และ PTT เข้าจดทะเบียน ซึ่งในขณะนั้นราคาน้ำมันอยู่ในช่วงต้นของการเริ่มปรับขึ้น ขณะที่ค่าการกลั่นก็อยู่ในช่วงขาลงอาจทำให้บริษัทได้รับผลกระทบในอนาคต
นอกจากนี้จากการสอบถามผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ยังให้ความเห็นว่า สาเหตุที่ไม่เข้าไปลงทุนในหุ้น RRC เป็นเพราะหุ้นไม่ติดอยู่ในเซ็ท 50 ซึ่งไม่เข้าเกณฑ์การจัดตั้งของกองทุนหุ้นบางแห่ง ขณะที่กองทุนหุ้นที่สามารถลงทุนได้ก็ซื้อได้น้อยเพราะมีหุ้นพลังงานตัวอื่นอยู่ในพอร์ตมากแล้ว
ด้านนายพงษ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็งกล่าวว่า ปัจจัยที่น่าจับตามองสำหรับภาวะของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ ได้แก่ การประกาศอัตราว่างงานในสหรัฐอเมริกา ซึ่งการประกาศผลดังกล่าวมีผลต่อการขึ้นลงของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมทั้งสถานการณ์ทางการเมือง และภาวะเศรษฐกิจโดยรวมภายในประเทศ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อภาวะตลาดหุ้นของไทย
ส่วนการเข้าซื้อขายของหุ้นบมจ.โรงกลั่นน้ำมันระยอง หรือ RRC ในวันนี้ (5 มิ.ย.)ส่งผลดีกับตลาดหุ้นไทยเพราะเป็นหุ้นตัวใหญ่ แต่จะไม่ทำให้ตลาดหุ้นไทยคึกคักเท่าที่ควรเพราะมาร์เก็ตแคปของหุ้น RRC ยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับหุ้นของบมจ.ไทยออยล์หรือTOP
นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยต้องจับตากันแบบวันต่อวัน เพราะไม่สามารถประมาณการณ์ล่วงหน้าได้ เนื่องจากต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนการที่RRC เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อว่าไม่น่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมามากนักเพราะมาร์เก็ตแคปไม่ใหญ่มาก และภาวะตลาดหุ้นโดยรวมยังคงผันผวน
ขณะที่นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์สินเอเซีย กล่าวว่า แนะนำซื้อหุ้น RRC ราคาเป้าหมายที่ 24.50 บาท โดยใช้วิธี P/E Ratio ที่ 9 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับหุ้นTOP และใช้ EPS จากกำไรปกติปี 2549 ที่ 2.73 บาทต่อหุ้นเทียบราคา IPO ที่หุ้นละ18 บาท ทำให้มีโอกาสปรับตัวจากราคาเป้าหมายประมาณ 37%
ทั้งนี้บริษัทได้ประเมินกำไรปกติของ RRC ปี 2549 คาดว่าอยู่ที่ 7,638 ล้านบาทภายใต้สมมติฐานค่าการกลั่นที่ 6.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยคาดว่ากำไรปกติจะเพิ่มขึ้น 20% จากกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น 11.9% จากปี 2548 ที่มีการหยุดซ่อมบำรุง และจากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง 36.5% จากการคืนเงินกู้
ส่วนบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ไซรัส ระบุว่า บริษัทประเมินราคาพื้นฐานปี2549 ของหุ้น RRC ที่ 24.25 บาท
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#6 วันที่: 05/06/2006 @ 09:31:13 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
PTTซื้อหุ้นเอ็ชเอ็มซีขยายปิโตรเคมี
Source - กระแสหุ้น
Monday, 05 June 2006 04:10

ปตท. เดินหน้ากลยุทธ์การขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ล่าสุดเข้าซื้อหุ้น เอ็ชเอ็มซีฯ ร้อยละ 40 หรือกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขยายธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลาย
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ปตท. ได้ลงนามในสัญญาการซื้อหุ้นและสัญญาผู้ถือหุ้นในบริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด สัดส่วนร้อยละ 40 คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยซื้อหุ้นเพิ่มทุนและซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท เอ็ชเอ็มซีฯ คาดว่าการดำเนินการดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคมนี้ และจะมีผลให้ ปตท. เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท เอ็ชเอ็มซีฯ และมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการบริษัท
สำหรับบริษัทดังกล่าว ประกอบกิจการโรงงานผลิตเม็ดพลาสติก Polypropylene ปัจจุบันมีกำลังการผลิตประมาณ 420,000 ตันต่อปี โดยทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทจะมุ่งเน้นการผลิต PP Specialty Grade นอกจากนี้ บริษัท เอ็ชเอ็มซีฯ ยังถือหุ้นในบริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วนร้อยละ 2.83 และบริษัท ระยองโอเลฟินส์ จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 14.27 ปัจจุบันผู้ถือหุ้นหลักของเอ็ชเอ็มซีฯ ประกอบด้วย Basell Thailand Holdings B.V. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และกลุ่ม Huakee และภายหลังการเข้าลงทุน ปตท. มีแผนให้ HMC ดำเนินโครงการ Propane Dehydrogenation and Polypropylene (PDH/PP) เพื่อผลิตเม็ดพลาสติก PP โดยกำลังการผลิตของโรงงาน PDH 310,000 ตันต่อปี และกำลังการผลิตของโรงงาน PP 300,000 ตันต่อปี เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ไตรมาสที่ 2 ปี 2552 โดยในปี 2548 เอ็ชเอ็มซี มีกำไรสุทธิ 3,018 ล้านบาท
นายประเสริฐ กล่าวว่า เพื่อสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ ปตท. ที่ต้องการขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์เกรดพิเศษเฉพาะ (Specialty Grade) และทำให้ ปตท. สามารถเข้าสู่ธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลายได้ทันที อีกทั้งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่ก๊าซโพรเพน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติของ ปตท. อีกด้วย
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#7 วันที่: 05/06/2006 @ 09:33:06 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
ปลดล็อกงบเมกะโปรเจ็ก -ใช้เงิน8หมื่นล้านกระตุ้นภาคการลงทุนปี49
Source - ข่าวหุ้น
Monday, 05 June 2006 04:36

รัฐสั่งปลดล็อกงบโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ 7 สาขา รวม 8.49 หมื่นล้านบาท ให้เบิกจ่ายได้ตามปกติ หลังโดนครม.สั่งห้ามเมื่อ 18 เม.ย. ระบุให้เจ้ากระทรวงเสนอโครงการกลับมาให้ครม.อนุมัติใหม่ภายใน 15 มิ.ย. เป็นรายโครงการเน้นด้านขนส่งโลจิสติกส์การศึกษา พัฒนาแหล่งน้ำ และสาธารณสุข เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายงบกระตุ้นลงทุนของประเทศให้ทันภายในปีนี้
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่18 เม.ย.สั่งห้ามเบิกจ่ายงบประมาณโครงการพิเศษของภาครัฐหรือ (Modernization)ที่เปิดให้ต่างประเทศมาประมูลงานไว้ก่อนมีผลให้โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ หรือเมกะโปรเจ็ก รวม 7 สาขา ที่รวมอยู่ใน Modernization วงเงินงบประมาณรวม 49รวมกว่า 84,917 ล้านบาทต้องถูกระงับการเบิกจ่ายไปด้วยส่งผลให้การลงทุนของประเทศชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
ดังนั้นที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม จึงเห็นชอบให้ทุกกระทรวงพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 เม.ย.49 ใหม่ โดยให้เจ้ากระทรวงแยกงบโครงการเมกะโปรเจ็กทั้ง 7 สาขา ที่ไม่ได้ใช้งบโครงการพิเศษออกมา ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้น49,483 ล้านบาท เพื่อเสนอให้ครม.ยกเลิกมติเดิม เพื่อให้แต่ละโครงการสามารถเบิกจ่ายได้ตามปกติ และดำเนินการต่อไปได้ ส่วนโครงการที่ใช้งบโครงการพิเศษ ซึ่งมีทั้งสิ้น8,234 ล้านบาทก็ให้เสนอกลับเข้ามาพิจารณาเช่นกันหากเห็นว่าจำเป็น
เจ้ากระทรวงต้องเป็นผู้พิจารณา ว่าโครงการใดที่มีความสำคัญต่อการแข่งขันด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ พัฒนาการศึกษา และสาธารณสุข ก็ให้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ เพื่อทบทวนมติเดิมที่สั่งให้ชะลอเบิกจ่ายออกไปก่อนให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ทันที เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคเอกชนแหล่งข่าว กล่าว
ขณะที่ผ่านมากระทรวงคมนาคม ได้เสนอโครงการรถไฟฟ้า 3 เส้นทาง อาทิ สายสีแดง เส้นทางเชื่อมต่อจากแอร์พอร์ตลิงค์-ดอนเมือง-เชียงราก สายสีน้ำเงินเส้นทางรอบเมืองจนถึงบางแค และสายสีม่วง เส้นทางบางซื่อ-บางใหญ่ โดยแยกงบออกจากจากโครงการพิเศษของภาครัฐที่มีรวมกันกว่า 10 สาย มาดำเนินการก่อน
สำหรับโครงการเมกะโปรเจ็ก(รวมงบโครงการพิเศษ) ทั้ง 7 สาขา ที่ทั้งที่ได้รับจัดสรรงบและยังไม่ได้รับจัดสรรงบปี 49 มีรวมทั้งสิ้น 84,917 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.สาขาระบบขนส่งมวลชน งบประมาณรวม 11,844 ล้านบาท 2.สาขาคมนาคม งบรวม10,920 ล้านบาท 3.สาขาที่อยู่อาศัย งบรวม 6,120 ล้านบาท 4.สาขาทรัพยากรน้ำ งบรวม 36,577 ล้านบาท 5.สาขาการศึกษา งบรวม 7,104 ล้านบาท 6.สาขาสาธารณสุขงบประมาณรวม 11,949 ล้านบาท และ6. สาขาอื่นๆอีก 400 ล้านบาท
แหล่งข่าวกล่าวว่า ในงบเมกะโปรเจ็ก(รวมงบโครงการพิเศษแล้ว) จำนวน84,917 ล้านบาท แบ่งเป็นที่ได้รับการจัดสรรงบจากสำนักงบประมาณแล้ว จำนวน57,717 ล้านบาท ซึ่งสามารถเบิกจ่ายได้ทันที ส่วนงบเมกะโปรเจ็กที่ยังไม่ได้จัดสรรซึ่งส่วนใหญ่เป็นงบกลาง อีก 27,200 ล้านบาท ต้องรอให้สำนักงบประมาณเร่งพิจารณา เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีนี้ หรืออย่างช้าต้นปีงบประมาณหน้า
โดยที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 48 ถึง เดือนพฤษภาคม 49 งบเมกะโปรเจ็กเบิกจ่ายไปเพียง 15,353 ล้านบาท เหลืองบที่ยังไม่ได้เบิกจ่ายอีก 42,364 ล้านบาท ดังนั้นรัฐบาลจึงมีแผนให้กระทรวง ไปเร่งทำแผนก่อหนี้ผูกพันให้เสร็จภายในสิ้นเดือนนี้หากไม่ทันให้แจ้งกรมบัญชีกลางภายในวันที่ 15 มิ.ย.ถึงอุปสรรคเพื่อหาทางแก้ต่อไป และรายงานต่อนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยคลัง เป็นประธานคณะกรรมการติดตามผลการเบิกจ่ายภาครัฐ
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#8 วันที่: 05/06/2006 @ 09:37:39 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
หวั่นTHLมีอินไซด์ คนในเอี่ยวขาใหญ่ ปั่นราคาถึง3.20บ.
Source - ข่าวหุ้น
Monday, 05 June 2006 04:39

THL มาแปลกขาใหญ่ปั่นราคานอกกระดาน ทั้งที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ วงในระบุล่าสุดไล่กันไปถึง 3.20 บาท สงสัยงานนี้มีอินไซด์หากไม่มีอะไรดี คงไม่ไล่ราคากันขนาดนี้ อุดมลั่นไม่รู้เรื่องแต่ยอมรับมีคนมาเจรจาขอซื้อหุ้น
หุ้นบริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด(มหาชน)หรือ THL มาแปลกนอกกระดานไล่ราคากันหนัก ล่าสุดไล่ไปถึง 3.20 บาท ทั้งที่ราคาในกระดานแค่ 1.66 บาท วงการหุ้นเชื่องานนี้ไม่ธรรมดาแน่ หวั่นมีอินไซด์ข้อมูลจากคนใน THL เอง เพราะข่าวสารเกี่ยวกับ THL ตามสื่อต่างๆ มีน้อยมาก ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะมีคนให้ราคาหุ้น THL สูงถึงขนาดนี้
ขณะเดียวกัน THL ที่ผ่านมา จัดชั้นอยู่ในพวกหุ้นปั่น โดยการเคลื่อนไหวแต่ละครั้งมักใช้ข่าวเรื่องการออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ และการบันทึกกำไรจากการลงทุนในบริษัท ทุ่งคำจำกัด ที่บริษัทถือหุ้นเกือบ 100% แต่จากนั้นยังไม่เห็นความคืบเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
ประเด็นสำคัญข่าวการรับรู้รายได้ จากบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ที่บริษัทได้ใส่เงินเพิ่มทุนมาอย่างต่อเนื่องกว่า 100-200 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงงานถลุงแร่ทองคำ มีมาตั้งแต่ปี 2547 แต่ถูกเลื่อนการรับรู้รายได้มาโดยตลอด
นอกจากนี้แผนการนำหุ้น THLเข้าทำการซื้อขายผ่าน ADR ล่าสุดยังไม่มีความชัดเจนแม้ว่าที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 28 เม.ย.มีมติเห็นชอบเรื่องนี้แล้วก็ตาม และที่สำคัญมีความเป็นได้น้อยมาก เพราะหากต้องนำเข้าซื้อขาย ผ่าน ADR หุ้น THL ในกระดานต้องมีความเคลื่อนไหวมากกว่านี้
นายอุดม จิรพนาธร กรรมการบริหาร บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือTHL เปิดเผยว่า ไม่ทราบเรื่องที่มีการซื้อขายหุ้น THL นอกตลาดหุ้นในราคาสูง แต่ก็มีคนโทรศัพท์มาถามว่ามีใครอยากขายหุ้นหรือไม่ ส่วนผู้ถือหุ้นรายอื่นจะขายหรือไม่นั้นอยู่ที่ผู้ถือหุ้นรายนั้นๆ ซึ่งจะมีการติดต่อกับทางโบรกเกอร์กันเอง
ผู้ถือหุ้นที่โทรมาถามส่วนใหญ่ จะถามความคืบหน้า แต่เรื่องซื้อขายหุ้นไม่เกี่ยวกับบริษัทซึ่งต้องคุยกับทางโบรกเกอร์ เพราะผมเป็นฝ่ายจัดการไม่ได้เป็นฝ่ายผู้ถือหุ้น ส่วนใหญ่ที่มีการซื้อขายนอกตลาด เชื่อว่าเกิดจากการติดต่อกับโบรกเกอร์กันเองนายอุดมกล่าว
ส่วนเหมืองแร่ทองคำบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ได้เริ่มเดินเครื่องการผลิตตั้งแต่วันที่ 30พ.ค.ที่ผ่านมา คาดว่ารายได้จะเข้ามาปลายเดือนมิ.ย.นี้ แต่รายได้ที่จะเข้ามาไตรมาส 2ขณะนี้ไม่สามารถระบุได้ ซึ่งต้องรอดูผลการผลิตเบื้องต้นก่อนเพราะช่วงแรกการเดินเครื่องยังไม่แน่นอน
ถึงแม้จะเดินเครื่องได้แต่ปริมาณยังคอนเฟิร์มไม่ได้ เนื่องจากเริ่มเดินเครื่องผลิตแร่ทองคำล่าช้าประมาณ 1 เดือน ดังนั้นต้องขอดูปริมาณผลผลิตที่จะออกมาก่อน แต่ไตรมาส2 รายได้เพิ่มขึ้นแน่นอนนายอุดมกล่าว
สำหรับความคืบหน้าที่จะนำหุ้น THL เข้าทำการซื้อขายผ่าน ADR ในตลาดหุ้นสหรัฐเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องนั้น ขณะนี้กำลังดำเนินการ
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#9 วันที่: 05/06/2006 @ 09:39:14 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
TRTเซ็นสัญญางานใหม่200ล้าน :ดันแบ็กล็อก1.4พันล.-งบQ2พลิกฟื้นมีกำไร
Source - ข่าวหุ้น
Monday, 05 June 2006 04:39

TRT คว้างานเพิ่มทั้งไทยและเวียดนามอีกกว่า 200 ล้านบาท คาดเซ็นสัญญากลางเดือนนี้แถมเตรียมจ่อคิวประมูลเพิ่ม 700 ล้านบาท โชว์แบ็กล็อกพุ่ง 1,400 ล้านบาทผู้บริหารระบุไตรมาส 2 ฟื้นมีกำไรหลังควอเตอร์แรกขาดทุน 0.97 ล้านบาท
นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน กรรมการผู้จัดการบริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRTเปิดเผยกับข่าวหุ้นธุรกิจว่า ขณะนี้บริษัทมีงานที่ลงนามสัญญาเพิ่มใน 2 สัปดาห์หน้าจำนวน1 โครงการ มูลค่า 125 ล้านบาท นอกจากนั้น บริษัทยังได้งานจากการไฟฟ้าเวียดนามมูลค่า 2,000,000 เหรียญ หรือประมาณ 78 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งหมดกว่า 200ล้านบาท โดยงานดังกล่าวจะรับรู้รายได้ในปีนี้ ขณะเดียวกันบริษัทกำลังเตรียมประมูลงานเพิ่มโดยมีมูลค่ารวมประมาณ 600-700 ล้านบาททั้งนี้คาดว่ามีโอกาสได้รับงานดังกล่าว20%จากมูลค่ารวม หรือประมาณ 140 ล้านบาท
นอกจากนั้น บริษัทได้ลงนามสัญญาซื้อขายหม้อแปลงกับการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าภูมิภาคจำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวม 209 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้อย่างไรก็ดี บริษัทยังไม่มีการปรับประมาณการรายได้ใหม่เพราะโครงการดังกล่าวได้รวมอยู่ในการคาดการณ์ของบริษัทแล้ว
อย่างไรก็ดี ทั้งปีคาดว่ามีรายได้ประมาณ 1.3-1.4 พันล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ(backlog) จำนวน 1,400 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้จะรับรู้รายได้จากงานดังกล่าวประมาณ 1,300 ล้านบาท อย่างไรก็ดี บริษัทมีแผนเข้าร่วมประมูลโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 นั้นคาดว่าจะพลิกกลับมามีกำไรได้เพราะจากการพิจารณาแนวโน้มรายได้ตั้งแต่เดือนเม.ย.ถึงปัจจุบันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ในไตรมาสแรกที่ผ่านมาบริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุน 0.97 ล้านบาท
นายสัมพันธ์ กล่าวว่า สำหรับราคาหุ้น TRT ในปัจจุบันที่ยังต่ำกว่าราคาไอพีโอที่ 5.75 บาทนั้น มองว่าอาจเกิดจากสภาวะตลาดหุ้นโดยรวม และหุ้น TRT เป็นหุ้นตัวแรกในปีนี้ที่เข้าตลาด mai ซึ่งอาจส่งผลต่อจิตวิทยาด้านการลงทุนแต่ถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาผู้บริหารของบริษัทได้เข้าซื้อหุ้น TRT อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่หุ้นเข้าซื้อขายเพราะมองเห็นถึงแนวโน้มอัตราการเติบโตของบริษัทในอนาคต
ผู้บริหารของบริษัทเห็นว่าราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาก สวนทางกับแนวโน้มธุรกิจของบริษัทยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่การซื้อหุ้นโดยผู้บริหารของบริษัทนั้นส่วนตัวแล้วไม่คิดจะเข้าไปซื้อ เพราะนักลงทุนอาจมองได้ทั้งดีและไม่ดี อย่างไรก็ตามข้อดีนั้น แสดงให้เห็นว่าทีมผู้บริหารซื้อหุ้นเพื่อช่วยพยุงราคานายสัมพันธ์กล่าว
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#10 วันที่: 05/06/2006 @ 09:41:03 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
TWZส่งมือถือหมีพูห์บุกตลาดไทย สบช่องโทรถูกกระตุ้นยอดขาย
Source - ข่าวหุ้น
Monday, 05 June 2006 04:39

TWZ เผยอยู่ระหว่างวางแผนธุรกิจกับไฮเออร์ ก่อนประเมินการรับรู้รายได้ พร้อมดันมือถือหมีพูห์สู่ตลาดในประเทศ หลังมองตลาดมือถือไปได้อีกไกลระบุโปรโมชั่นโทรฯราคาถูกส่งผลดีกับบริษัท ลูกค้ากระหน่ำโทรทำให้มือถืออายุสั้น พร้อมแจงเหตุที่ราคาหุ้นพุ่ง ชี้นักลงทุนเห็นผลประกอบการมีโอกาสเติบโต ระบุต่างประเทศย่องเก็บหุ้นผ่าน NVDR หลังแนวโน้มบริษัทมีแววรุ่ง
นายมานะ พงศานรากุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดบริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ TWZ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างจัดตั้งทีมบริหารงานในบริษัท ไฮเออร์ บิสซิเนส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับไฮเออร์ประเทศจีน รวมทั้งอยู่ระหว่างวางแผนธุรกิจ หลังจากนั้นจึงสามารถประเมินได้ว่าปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้จากการร่วมทุนดังกล่าวเป็นจำนวนเท่าไหร่
อย่างไรก็ดีการร่วมทุนจัดตั้งบริษัท ไฮเออร์ บิสซิเนสฯ ก็เพื่อนำเข้าสินค้าจากจีนมาจำหน่ายในไทยอาทิ โทรศัพท์มือถือ ไอที เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
สาเหตุที่ไฮเออร์ประเทศจีนร่วมมือกับบริษัท เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนทำธุรกิจในไทยเพราะเห็นศักยภาพของบริษัท เป็นตัวแทนจำหน่ายมือถือรายใหญ่และมีช่องทางการจำหน่ายกว้างขวาง ซึ่งเราคงร่วมมือกันนำสินค้าจำพวกโทรศัพท์มือถือ ไอที เครื่องใช้ไฟฟ้า มาจำหน่ายนายมานะกล่าว
ทั้งนี้บริษัทมองว่าตลาดโทรศัพท์มือถือยังมีโอกาสเติบโตอีกมากเนื่องจากมีจำนวนเลขหมายที่ยังไม่ได้ใช้งานประมาณ 30 ล้านเลขหมายและปัจจุบันมือถือกลายเป็นสินค้าจำเป็นสำหรับผู้บริโภค จึงเตรียมที่จะนำโทรศัพท์มือถือหมีพูห์ เพื่อเจาะตลาดในประเทศหลังจากที่ผ่านมาโทรศัพท์มือถือดิสนีย์ประสบความสำเร็จ สำหรับราคาเครื่องน่าจะอยู่ ในระดับปานกลาง เหมาะสำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม
ที่ผ่านมาโทรศัพท์มือถือแฟนซีโฟนรุ่นดิสนีย์ประสบความสำเร็จ เป็นอย่างดีบริษัทจึงเตรียมที่จะนำเข้าโทรศัพท์มือถือหมีพูห์มาจำหน่ายในประเทศเร็วๆ นี้ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเพราะมีฟังก์ชั่นการใช้งานมากมายนายมานะกล่าว
สำหรับโปรโมชั่นโทรฯราคาถูกส่งผลดีกับการขายมือถือของบริษัท เนื่องจากลูกค้าใช้สายในการสนทนาเป็นเวลานาน ทำให้อายุการใช้งานของมือถือสั้นลง ส่วนปัญหาเครือข่ายล้มเป็นปัญหาที่เจ้าของเครือข่ายต้องรีบแก้ไข
ส่วนกรณีบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหาร ส่งผลดีกับ TWZ เนื่องจากเอไอเอสป้อนลูกค้าองค์กรให้กับบริษัทอีกประมาณ 300 ราย ส่งผลให้ปัจจุบัน TWZ มีลูกค้าองค์กรเกือบ 400 ราย
นายมานะ กล่าวว่า ที่ผ่านมาราคาหุ้น TWZ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนเห็นว่า ผลประกอบการบริษัทมีแนวโน้มที่ดีจึงเข้ามาลงทุน นอกจากนี้ยังพบว่าที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้น TWZ ผ่าน NVDRและมีนักลงทุนต่างชาติบางกลุ่มต้องการที่จะเข้าพบผู้บริหารเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม คาดว่านักลงทุนเหล่านี้ น่าจะเห็นว่าธุรกิจของบริษัทมีแนวโน้มที่ดีในอนาคต
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#11 วันที่: 05/06/2006 @ 09:41:18 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
at mail ... urgent
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#12 วันที่: 05/06/2006 @ 09:41:44 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
แห่เก็งกำไรTWP ลุ้นได้ดีRRCเทรด ดันหุ้นในตลาดพุ่ง
Source - ข่าวหุ้น
Monday, 05 June 2006 04:39

นักลงทุนแห่งเก็งกำไรหุ้น TWP ดันราคาพุ่งกระฉูด 14% เชื่อวันนี้ RRC เข้าเทรดทำให้ภาวะตลาดหุ้นรวมปรับตัวขึ้นตาม ขณะที่จำนวนหุ้นน้อยดันราคาได้ง่าย โบรกให้ราคาเป้าหมาย 46 บาท มั่นใจมีโอกาสได้หนี้คืนจากโรงไฟฟ้าลาว
เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา ราคาหุ้นบริษัท ไทยไวร์โพรดัคท์ จำกัด (มหาชน) หรือTWP ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 14% โดยระหว่างวันมีราคาสูงสุดแตะระดับ 22.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 18.60 บาท ก่อนจะปิดตลาดที่ระดับ 21.20 บาทรวมมูลค่าการซื้อขาย 108.673ล้านบาท
สาเหตุที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นนักวิเคราะห์ประเมินว่า เกิดจากนักลงทุนเล่นเก็งกำไรระยะสั้น เนื่องจากเชื่อว่าในวันนี้ (5 มิ.ย.) การที่หุ้นบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยองจำกัด (มหาชน) หรือ RRC จะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก อาจทำให้สภาวะตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ดี TWPมีหุ้นหมุนเวียนในตลาดหุ้นเพียง 14.15 ล้านหุ้น(52.4%ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ส่วนที่เหลือถือโดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ติดไซเลนต์พีเรียด 1 ปี) ดังนั้นหุ้น TWP จึงมีโอกาสสูงที่จะถูกไล่ราคาจากนักเก็งกำไร
โดย TWP มีหุ้นชำระแล้วทั้งหมด 27 ล้านหุ้นเป็นของผู้ถือหุ้นที่มีส่วนในการบริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5% ขึ้นไป 23 ราย คิดเป็นจำนวนหุ้นรวม 12.84 ล้านหุ้น หรือ 47.6%ซึ่งผู้ถือหุ้นกลุ่มนี้ให้คำรับรองต่อตลาดหลักทรัพย์ว่าจะไม่นำหลักทรัพย์ทั้งหมดของตนออกขาย (ไซเลนต์พีเรียด) เป็นระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันที่กลับเข้ามาซื้อขาย อย่างไรก็ดี กลุ่มผู้ถือหุ้นดังกล่าวได้รับการผ่อนผันให้ทยอยขายหลักทรัพย์ได้ 25% ใน 6 เดือนแรกและอีก 25%ใน 6 เดือนถัดไป
ด้านนักวิเคราะห์ ประเมินว่า ราคาหุ้น TWP ปัจจุบันที่ 21.20 บาท ถือว่าถูกมากขณะที่แนวโน้มธุรกิจดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก 117%เพราะเชื่อว่า TWP มีโอกาสได้เงินกู้คืนจากโครงการโรงไฟฟ้าในลาว
ทั้งนี้ TWP เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายลวดเหล็กแรง ดึงสูงที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตและได้รับแรงผลักดันจากโครงการสาธารณูปโภคของภาครัฐรวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ใน 4 ปีที่ผ่านมา(2545-2548)มีความต้องการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% เป็นผลทำให้ธุรกิจ TWP สามารถกลับมามีกำไรจากการดำเนินงานจริงได้อีกครั้ง โดยในปี 2547 มีกำไร 202 ล้านบาท ขณะที่ปี 2548 มีกำไร 154 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการปี 2549 คาดว่า TWP จะมีกำไรลดลงจากปี 2548เนื่องจากไม่มีรายการโอนกลับค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเหมือนดังปี 2548
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#13 วันที่: 05/06/2006 @ 09:42:53 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
เงินบาทแข็งค่า ส่งออกเดือนพ.ค.ลด 13%
Source - ข่าวหุ้น
Monday, 05 June 2006 04:42

นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการหารือร่วมกับภาคเอกชนในสภาหอการค้าไทย พบว่าเดือนพฤษภาคม ผู้ส่งออกเกือบทุกกลุ่มส่งออกลดลง 13% เนื่องจากอัตราค่าเงินบาทที่สูงขึ้น8% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มสิ่งทอที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทมากที่สุด
อย่างไรก็ตามภาคเอกชนเสนอแนวทางแก้ไขที่จะให้รัฐบาลช่วยเหลือเรื่องค่าเงินบาทโดยให้ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีที่เกี่ยวกับการนำเข้าวัตถุดิบ เพื่อชดเชยส่วนต่างของค่าเงินบาที่สูงขึ้นให้ได้ประมาณ 8% ในการลดภาระให้กับผู้ส่งออก
ผลกระทบทั้งค่าเงินบาทที่คาดว่าทั้งปีเฉลี่ยอยู่ระดับ 38 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 65-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะทำให้การส่งออกปีนี้เติบโตได้ที่13-14% และจีดีพีประเทศขยายตัวได้ประมาณ 4.1% เท่านั้น
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ผลการหารือกับภาคเอกชนในกลุ่มสินค้าต่างๆ ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการส่งออก (สอ.) เรียกหารือกับผู้ส่งออกทุกวันที่ 15 ของเดือน เพื่อประเมินสถานการณ์ส่งออกในแต่ละกลุ่มนั้น ล่าสุดผู้ส่งออกส่วนใหญ่เริ่มไม่มั่นใจสถานการณ์ส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง 2549 ว่าจะส่งออกได้ตามเป้าหมายที่กำหนดหรือไม่ เนื่องจากการส่งออกต้องเผชิญปัญหาสำคัญหลายประการทั้ง ปัญหาราคาน้ำมันแพง การแข็งค่าของค่าเงินบาท ต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งผู้ซื้อชะลอการสั่งซื้อ เพื่อดูสถานการณ์และต่อรองราคามากขึ้น
ทั้งนี้ สินค้าสำคัญที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงและอาจไม่ได้ตามเป้าหมาย ได้แก่ วัสดุก่อสร้าง 4 เดือนแรกส่งออกขยายตัวได้แค่ 2.3% จากเป้า 20% รวมทั้งเครื่องใช้เดินทางและเครื่องหนัง เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารและในครัว สิ่งพิมพ์และกระดาษ และสิ่งทอ
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า จากปัจจัยค่าเงินบาทแข็งตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกกลุ่มสิ่งทอนั้น ขณะนี้กรมฯมีแผนผลักดันที่จะไปเจาะตลาดใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดตุรกี ซึ่งจะมีการนำผ้าผืน เส้นด้าย ไปทำตลาด ทั้งนี้ตลาดดังกล่าวมีแนวโน้มการสั่งซื้อสินค้าจากไทยที่ดี โดยครึ่งปีแรกสั่งซื้อผ้าผืนจากโรงงานไทยแล้ว 30ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าครึ่งปีหลังจะซื้อเพิ่มอีก 50 ล้านเหรียญสหรัฐ
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#14 วันที่: 05/06/2006 @ 09:44:30 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
ต่างชาติทิ้งหุ้นไทย ทำกองทุนช้ำหนัก ไอเอ็นจีทรุด15%
Source - ข่าวหุ้น
Monday, 05 June 2006 04:43

ผลการดำเนินงานกองทุนรวมเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา พบว่า กองทุนรวมหุ้นปรับตัวลงอย่างมากตามตลาดหุ้นที่ลดลงกว่า 70 จุดตามแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นการปรับพอร์ตเพื่อนำเงินไปเก็งกำไรตลาดเงินอเมริกาชั่วคราว รวมทั้งการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐที่ความเสี่ยงต่ำ หลังจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)อาจต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปเพื่อลดแรงกดดันของเงินเฟ้อ
ขณะที่กองทุนผสมและกองทุนผสมแบบยืดหยุ่นก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน ส่วนกองทุนตราสารหนี้และกองทุนรวมหน่วยลงทุนนั้นปรับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ กองทุนรวมหุ้นที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วย(เอ็นเอวีต่อหน่วย)ปรับตัวลงมากที่สุดในเดือนพ.ค. ( 30 เม.ย.-31 พ.ค.)คือ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย อีควิตี้ฟันด์ -ปันผล ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ซึ่งปรับตัวลงกว่า 15.11% จากระดับ 11.7272 บาทมาอยู่ที่ 9.9547 บาท
อันดับ 2 คือ กองทุนรวงข้าว ของบลจ.กสิกรไทย จำกัด เอ็นเอวีต่อหน่วยลดลง 13.07% จากระดับ 7.7716 บาทมาอยู่ที่ 6.7556 บาท ซึ่งกองทุนที่ขึ้นเครื่องหมาย XDเพื่อจ่ายเงินปันผลเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมาจำนวน 0.40 บาท ทำให้เอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงมาก หากคิดรวมเงินที่จ่ายปันผลกองทุนจะลดลงเพียง 7.92%เท่านั้น
กองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์เอ็คควิตี้ ของบลจ.พรีมาเวสท์ จำกัด เอ็นเอวีต่อหน่วยลดลง 12.84% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกองทุนจ่ายเงินปันผลจำนวน 0.62 บาท เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา หากรวมเงินที่จ่ายปันผลกองทุนจะลดลงเพียง 6.79 %และกองทุนเอ็มเอฟซี เซ็ท 50 เอ็นเอวีต่อหน่วยปรับลดลง 11.28% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการจ่ายปันผลจำนวน 0.50 บาทเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา หากรวมเงินที่จ่ายปันผลเอ็นเอวีต่อหน่วยจะลดลงเพียง 7.32 % เท่านั้น
กองทุนรวมผสม เป็นอีกกองทุนที่ปรับตัวลงแรง โดยกองทุนที่ปรับตัวลงมาก ได้แก่ กองทุนเปิดรวงข้ามทุนวิภาค ของบลจ.กสิกรไทย จำกัด จำนวน 11.25% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากกองทุนขึ้นเครื่องหมาย XD เพื่อจ่ายปันผลจำนวน 0.54 บาทในวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมาและจะจ่ายปันผลในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ หากหักเงินที่จ่ายปันผลออกกองทุนจะลดลงเพียง 5.15%เท่านั้น
กองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่น ที่ปรับตัวลงแรงที่สุด คือ กองทุนรวมวรรณเฟล็กซิเบิล ของบลจ.วรรณ จำกัด โดยเอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงกว่า 14.64% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกองทุนจ่ายปันผลสูงที่ 1 บาทต่อหน่วยลงทุน ซึ่งหากไม่หักอัตราเงินปันผล ออกเอ็นเอวีต่อหน่วยของกองทุนนี้จะปรับเพิ่มขึ้น 6% จากเดือนเมษายน
กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นผสมตราสารหนี้ปันผล กองทุนเปิดไทยสร้างโอกาสและกองทุนเปิดกรุงไทยธนนวรรธน์ ของบลจ.กรุงไทย จำกัดก็ปรับตัวลงแรงที่ระดับ 12.01%,11.16%และ10.62% ส่วนหนึ่งมาจากการจ่ายปันผล0.50 บาท 0.75 บาทและ0.50 บาทตามลำดับ
ส่วนกองทุนผสมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ กองทุนเปิดเอเจเอฟวิคตอรี่ ของบลจ.อยุธยาเจเอฟ จำกัด เพิ่มขึ้น 1.19% จากระดับ 10.4130 บาทมาอยู่ที่ 10.2177 บาท
กองทุนรวมตราสารหนี้ของบลจ.อยุธยาเจเอฟ จำกัด คือ กองทุนเปิดอยุธยาตราสารอุดมทรัพย์ 2 เป็นกองทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดประมาณ 5.8% จากระดับ 9.2963 บาทมาอยู่ที่ 9.8366 บาท ซึ่งสูงกว่ากองทุนตราสารหนี้กองอื่นๆ ที่ปรับขึ้นต่ำกว่า 1% และกองทุนตราสารหนี้ที่ปรับเพิ่มขึ้นอันดับต้น ๆ เป็นกองทุนที่นำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศเช่น กองทุนเอ็มเอฟซี โกลบอล ออพพอร์ทูนิตี้ บอนด์ ฟันด์ กองทุนเปิดเคแอสเซ็ท โกลบอลฟิกซ์อินคัม 1 เป็นต้น
กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ปรับเพิ่มขึ้น 5 กองทุน จากทั้งหมด 6 กองทุน โดยกองทุนที่เอ็นเอวีต่อหน่วยปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ กองทุนเปิดทีแฟมชอร์ท เทอม ฟิกซ์ อินคัม ของบลจ.กสิกรไทย จำกัด เพิ่มขึ้น 0.47% จาก 10.7042 บาทมาอยู่ที่ 10.7547 บาทอันดับ 2 คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อการเลี้ยงชีพ ของบลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด เอ็นเอวีต่อหน่วยเพิ่มขึ้น 0.39% จากระดับ 10.5793 บาทมาอยู่ที่ 10.7547บาท
กองทุนรวมตลาดเงินปรับเพิ่มขึ้นทุกกองทุน โดยกองทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ กองทุนเปิดธนชาติตลาดเงินเพื่อการเลี้ยงชีพ เพิ่มขึ้น 0.41% จากระดับ 10.4757 บาทมาอยู่ที่ 10.5190 บาท อันดับ 2 คือ โครงการจัดการกองทุนเปิด ตราสารเงินคุณค่า เพื่อการเลี้ยงชีพ เพิ่มขึ้น 0.38%
กองทุนรวมหน่วยลงทุน ปรับเพิ่มขึ้น 2 กองทุน ปรับลดลง 1 กองทุน โดยกองทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ กองทุนเปิดเอเจเอฟ โกลบอล คอนเวอร์ติเบิล บอนด์ ของบลจ.อยุธยาเจเอฟ จำกัด เอ็นเอวีต่อหน่วยปรับเพิ่มขึ้น 0.98%
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#15 วันที่: 05/06/2006 @ 09:46:41 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
already sent you mail.... you have got mail)))))))) i gotta go now
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#16 วันที่: 05/06/2006 @ 09:49:50 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
วันที่ 05 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 3798 (2998)

คอลัมน์ เกาะติดตลาดเงิน หุ้น

- ตลาดหุ้น สัปดาห์ที่ผ่านมา (29 พ.ค.-2 มิ.ย.) ต่างชาติยังขายต่อ 2,835.52 ล้านบาท ก่อนจะมาไล่เก็บซื้อคืนในท้ายสัปดาห์ 20 ล้านบาท จากข่าวการรวมตลาดหุ้นยูโรแน็คและตลาดหุ้นนิวยอร์ก ส่งผลทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับมายืนในแดนบวกอีกครั้ง

- ขณะที่ตลาดหุ้นไทยดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบที่ 709-720 จุด และหลุดแนวต้าน 700 จุด ในช่วงกลางสัปดาห์ ยังดีที่ได้กองทุนไทยเข้ามาช้อนซื้อหุ้นดันดัชนีปรับตัวขึ้นไปปิดที่ 709.43 จุดได้ แต่เมื่อรวมมูลค่าการซื้อขายทั้งสัปดาห์เฉลี่ยแล้วใจหายเหลือแค่ 8,000-9,000 ล้านบาท เป็นเพราะอิทธิพลต่างชาติล้วนๆ

- ด้าน หุ้น EMC ราคาหุ้นบวกเอาๆ 20% เพิ่มขึ้น 0.25 บาท คู่ไปกับวอร์แรนต์ ทั้งๆ ที่นายโกมล วงศ์พรเพ็ญภาพ กรรมการผู้จัดการ ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีข่าวดีอะไรให้เก็งกำไร แต่ท้ายสัปดาห์กลับมีข่าวปีหน้าจะเป็นปีทองของบริษัทแน่นอน จากงานต่างประเทศที่เตรียมจ่อคิวเพียบ ทั้งที่ยังมีความเสี่ยงจากภาระค้ำประกันหนี้บริษัทย่อย

- ไดอาน่าดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ หุ้นเก็งอีกราย ที่มีชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง นายจเรรัฐ ปิงคลาศัย เข้ามารับทำเทรดเดอร์ 3.2 ล้านหุ้น หรือ 24.62% ของทุนจดทะเบียน ที่ราคาหุ้นละ 4.08 บาท คิดเป็นเงินรวม 13 ล้านบาท งานนี้ดูจากประวัติของบีเอ็นที ที่นายจเรรัฐเคยถือหุ้นอยู่ การันตีได้ว่าเห็นราคาหุ้นหวือหวาแน่

- สัปดาห์นี้ตามติด ทุนต่างชาติ การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ ธปท. และการเข้าทำการซื้อขายวันแรกของ โรงกลั่นน้ำมันระยอง มีแนวรับที่ 730-740 จุด แนวต้าน 715 จุด

- ค่าเงินบาท สัปดาห์ที่ผ่านมาผันผวน เปิดตลาดที่ 38.28/31 บาท/ดอลลาร์ และป?ดตลาดปลายสัปดาห์ 38.16/19 แนวโน้มสัปดาห์นี้ คาดเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 38.00-38.50 จับตาการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ และการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท.
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#17 วันที่: 05/06/2006 @ 09:57:40 : Re: re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
[quote:3b0221827b=....">already sent you mail.... you have got mail)))))))) i gotta go now[/quote:3b0221827b"> .000A
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#18 วันที่: 06/06/2006 @ 17:00:14 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
เศร้า จิง จิง
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com