May 5, 2024   2:04:08 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
 

U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
วันที่: 06/06/2006 @ 09:00:36
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

RRC ปิดตลาดยืนเหนือจอง 0.30บ.
Source - กระแสหุ้น
Tuesday, 06 June 2006


โรงกลั่นน้ำมันระยอง ฐานธุรกิจแกร่ง ไม่กระทบภาวะตลาดผันผวน ปิดตลาดยืนเหนือราคาจอง 0.30 บาท ผู้บริหารชี้นักลงทุนสนใจเพราะผลการดำเนินงานดี และราคาถูก ยอมรับกำไรสุทธิปีนี้อาจลดลงแต่ไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท เตรียมจ่ายปันผลผู้ถือหุ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวานนี้( 6 พ.ค.)ว่า บรรยากาศการเข้าซื้อขายวันแรกของ บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC ที่มีราคาจอง 18 บาทนั้น เมื่อทำการเปิดการซื้อขาย สามารถเปิดเหนือราคาจองได้ที่ 18.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.90 บาท หรือ 5% โดยระหว่างวันมีการปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 19.10 บาท และต่ำสุดที่ระดับ 18.30 บาท โดยเมื่อปิดตลาดราคาอยู่ที่ระดับ18.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 1% มูลค่าการซื้อขาย 3,201,835,370 บาท
นายชายน้อย เผื่อนโกสุม รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด(มหาชน) หรือ RRC เปิดเผยว่า จากการเข้าซื้อขายเป็นวันแรก โดยมีราคาเปิดที่ 18.90 บาท จากราคาจอง 18.00 บาทนั้น ตนค่อนข้างที่จะพอใจในราคาที่เปิด ส่วนเรื่องของการปันผลให้กับผู้ถือหุ้น ที่ทางบริษัทมีแผนจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในสัดส่วนที่ 30% ของรายได้สุทธิ ซึ่งขณะนี้ผลกำไรที่มีของบริษัท ถือว่าอยู่ในวิสัยที่น่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ ถึงแม้ว่าหุ้นของ RRC เหมาะที่นักลงทุนจะถือลงทุนในระยะยาว แต่นักลงทุนก็ให้ความสนใจพอสมควร ประกอบกับราคา IPO ที่เสนอขายนั้นถือว่าราคาต่ำ ราคาที่เปิดเหนือราคาจองได้จึงค่อนข้างน่าพอใจ เพราะตอนนี้ภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย แต่ด้วยการดำเนินงานในขณะนี้เราสามารถที่จะผลิตน้ำมันได้ประมาณ155,000 บาร์เรล/วัน ในขณะที่กำลังการผลิตของเราสามารถผลิตได้ 140,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งถือว่าเกินกำลังการผลิต ซึ่งจากปัจจัยนี้น่าจะทำให้นักลงทุนเล็งเห็นว่า บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดี และน่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้ถือหุ้นได้มากขึ้น นายชายน้อย กล่าว
ส่วนผลประกอบการในปี 2549 นั้น ทางบริษัทคาดว่าด้านกำไรสุทธิอาจมีการลดลงจากปี 2548 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 11,985 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้บริษัทไม่มีรายได้พิเศษจากการปรับโครงสร้างหนี้ 5,400 ล้านบาทเช่นเดียวกับปีก่อน แต่เชื่อว่ารายได้ปีนี้น่าจะมีผลกำไรจากการดำเนินงานประมาณ 6,000 ล้านบาท หลังจากที่ราคาน้ำมันยังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ในระยะเวลา 5 ปีต่อจากนี้ ทางโรงกลั่นจะไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ หลังจากที่ได้หยุดซ่อมบำรุงแล้วในเดือนพฤศจิกายนปี 2548 ซึ่งจุดนี้น่าจะทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มตาม แม้ว่ากำไรจะไม่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีโครงการขยายงานร่วมกับบริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ATC) ที่จะเป็นส่วนเสริมให้มีกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเสร็จในช่วงปลายปี 2551 โดยโครงการดังกล่าวจะทำให้ RRC มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 65,000 บาร์เรล/ต่อวัน หรือรวมทั้งสิ้น 210,000 บาร์เรล/ต่อวัน
ด้านนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า การที่ราคาหุ้นของ RRC ที่เปิดเหนือราคาจอง ในการเข้าซื้อขายวันแรก ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ เพราะเป็นราคาที่สะท้อนภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นขณะนี้ ที่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบหลายปัจจัย อาทิ อัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้อของตลาดต่างประเทศ รวมถึงปัจจัยภายในประเทศอย่างปัจจัยการเมืองที่ยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร
สำหรับ RRC นั้น เป็นโรงกลั่นที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาคเอเชียขณะนี้ รวมทั้งยังเป็นโรงกลั่นใหม่ที่เปิดมาเพียง 10 ปี และมีฐานะการเงิน การดำเนินงานที่เข้มแข็ง จากการที่มี ปตท.เข้าไปถือหุ้น ประกอบกับธุรกิจการกลั่นยังอยู่ในช่วงขาขึ้น จากความต้องการใช้น้ำมันยังมีสูง ในขณะที่โรงกลั่นน้ำมันมีน้อย โดยการเปิดโรงกลั่นใหม่นั้นต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3-5 ปี ตรงนี้น่าจะทำให้นักลงทุนสนใจเข้าลงทุนใน RRC ส่วนเรื่องราคานั้นก็น่าพอใจในระดับหนึ่ง ที่เปิดราคาเหนือราคาจองได้ ซึ่งมองว่าถ้าไม่มีปัจจัยลบอะไรน่าจะดีกว่านี้ได้แน่นอน

 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#1 วันที่: 06/06/2006 @ 09:01:52 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
TT&T เปิดศึกฮัลโหลทั่วประเทศ กทช.เล็งออกใบอนุญาตให้TRUE
Source - กระแสหุ้น
Tuesday, 06 June 2006


ทีทีแอนด์ที หนุนบริษัทในเครือ ทริปเปิลที เปิดศึกยึดฮัลโหลในกรุงเทพฯ รับใบอนุญาตจาก กทช.วานนี้ (5มิ.ย.) พร้อมเลขหมาย 3 แสนเลขหมาย คลุมทั้งประเทศ เจาะบ้านจัดสรรเกิดใหม่ คาดบริการได้ในปีนี้ มั่นใจธุรกิจรุ่งแน่หลังปลดแอกจากสัมปทานทีโอที ขณะที่ กทช.เล็งออกใบอนุญาตให้ทรู ภายใน ก.ค.นี้
นายประจวบ ตันตินนท์ ประธานกรรมการ บริษัท ทริปเปิลทรี บรอดแบนด์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) หรือ TT&T เปิดเผยว่า บริษัทได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมประเภทที่ 3 แบบมีโครงข่ายเป็นของตนเอง จากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) อย่างเป็นทางการแล้ว พร้อมเตรียมงบลงทุน 6,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนขยายโครงข่ายการให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์สาธารณะ และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) และอื่น ๆ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และได้รับจัดสรรเลขหมายจำนวน 300,000 เลขหมาย แบ่งเป็นกรุงเทพฯ และปริมณฑล 100,000 เลขหมาย ส่วนที่เหลือ 200,000 เลขหมายเป็นลูกค้าในต่างจังหวัด โดยมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กร กลุ่มบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียมที่เกิดขึ้นใหม่เป็นหลัก คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ประมาณปลายปีนี้
สำหรับการได้รับใบอนุญาตจาก กทช.ครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อธุรกิจของทีทีแอนด์ทีอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาทีทีแอนด์ที ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานโทรศัพท์พื้นฐานในส่วนภูมิภาคจำนวน 1.5 ล้านเลขหมาย จากบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ทำให้มีข้อจำกัดในพื้นที่การให้บริการเฉพาะในต่างจังหวัดเท่านั้น และไม่สามารถเพิ่มจำนวนเลขหมายได้ แต่หลังจากที่ได้รับใบอนุญาตจาก กทช.แล้วก็จะสามารถขยายการให้บริการได้ครอบคลุมทั่วประเทศ
ด้านนายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการ กทช. กล่าวว่า ในเดือนกรกฎาคมนี้ จะพิจารณาเรื่องการออกใบอนุญาตแบบที่ 3 ให้กับบริษัทในเครือบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ขณะเดียวกันก็จะพิจารณาออกใบอนุญาตของบริษัทอื่นๆที่ยื่นเข้ามาด้วย โดยการเร่งออกใบอนุญาตในครั้งนี้ เพื่อการให้บริการบรอดแบรนด์เข้าถึงประชาชนมากที่สุด ส่วนเรื่องการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมในเทคโนโลยี 3 จี นั้น ในวันที่ 14 มิ.ย.จะเชิญผู้ประกอบการทุกรายเข้ามาระดมความเห็นเพื่อจัดทำหลักเกณฑ์ การออกใบอนุญาต 3 จี หลังจากนั้นจะให้ กทช.พิจารณาและจัดทำประชาพิจารณ์ต่อไป คาดว่าประมาณเดือน พ.ย.นี้ จะสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้แล้วเสร็จ
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#2 วันที่: 06/06/2006 @ 09:04:33 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
หุ้นเด่น




แนะนำซื้อหุ้นแสนสิริ

บล. โกลเบล็ก วิเคราะห์หุ้น บริษัท แสนสิริ โดยระบุว่า คาดยอดขายปี 2549 เติบโต 9% ปัจจุบันบริษัทมียอดขายที่รอรับรู้สูงถึง 11,360 ล้านบาท ซึ่งราว 64% หรือคิดเป็น 7,319 ล้านบาทจะรับรู้ในปีนี้ ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 2550-51 ในขณะที่ยอดขาย presale ยังทำได้ดีในช่วงไตรมาสแรกสวนทางกับผู้ประกอบการรายอื่นที่ส่วนใหญ่มียอดขายชะลอตัว ยอดขายpresale 6,600 ล้านบาทในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2549 ซึ่งสูงกว่ายอด presale ทั้งปี 2547 ทำให้บริษัทเพิ่มเป้าหมายยอดขายจาก 11,000 ล้านบาท เป็น 14,000 ล้านบาทโดยยอดขาย presale ณ สิ้น Q1/49 ทำได้ 5,149 ล้านบาท หากนับถึงสิ้นเดือนพ.ค.2549 ทำได้แล้วกว่า 6.7 พันล้านบาทเศษ เราคาดยอดขายโครงการปี 2549 ประมาณ 10,400 ล้านบาท ซึ่งเติบโต 9%yoy ขณะที่คาดรายรับรวมทั้งปี 25 48 ประมาณ 10,984 ล้านบาท
ความสามารถในการทำกำไรมีแนวโน้มดีขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2548 อยู่ในระดับต่ำเพียง 19.8% เนื่องจากต้นทุนโครงการที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่าคาด แต่กลับมีแนวโน้มดีขึ้นในปีนี้ดังจะเห็นได้จากอัตรากำไรขั้นต้นในช่วงไตรมาสแรกอยู่ที่ 24% เพิ่มขึ้นจาก 23% ในไตรมาส 4/48 ด้วยสมมุติฐานอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 27% ในการประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี ทำให้เราคาดกำไรปกติปี25 49 ประมาณ 704 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% จากกำไรปกติปี 2548 (ไม่รวมรายการพิเศษจำนวน 443 ล้านบาท ที่เกิดขึ้นในปี25 4
แผนล้างส่วนต่ำมูลค่าหุ้นจะทำให้จ่ายเงินปันผลได้ตามปกติ เนื่องจากบริษัทยังมีส่วนต่ำมูลค่าหุ้นอยู่ 1,069 ล้านบาทบริษัทจึงมีแผนล้างส่วนต่ำดังกล่าวด้วยวิธีการลดราคาพาร์เพื่อให้จ่ายเงินปันผลได้ตามปกติ ทั้งนี้เราคาดอัตราเงินปันผลทั้งปี25 49 ราว 0.17 บาท yield 5.3%
แนะนำ ซื้อ โดยมีราคาเป้าหมาย 4.32 บาท หากกำหนดให้ราคาเหมาะสมอยู่ที่ PER ระดับเดียวกับกลุ่มที่ 9 เท่าจะได้ราคาเหมาะสม 4.32 บาท ที่ราคาปิดล่าสุด 3.16 บาท ซื้อขายที่ PER ระดับ 6.3 เท่า และมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 5.3% จากอัตราเงินปันผลที่คาดไว้ 0.17 บาทต่อหุ้น
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#3 วันที่: 06/06/2006 @ 09:11:03 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
แบงก์ทิสโก้รับปีนี้ทำกำไรยาก


นายปลิว มังกรกนก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO กล่าวว่าเดือนเมษายน ที่ผ่านมานี้ธนาคารพาณิชย์เกือบทั้งระบบจะมีสินเชื่อลดลงเนื่องมาจากสถานการณ์ปัจจัยเรื่องของดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน และการเมือง ซึ่ง TISCO เองก็ยอมรับว่าสินเชื่อขยายตัวลดลงจากเดือนก่อนเช่นกัน แต่เชื่อว่าทั้งปี TISCO จะมีสินเชื่อโต 10-15 % เนื่องจาก TISCO เป็นธนาคารเปิดใหม่จึงมีฐานสินเชื่อเล็กกว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ดังนั้นคาดว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่จะมีอัตราการขยายตัวทางด้านสินเชื่อไม่สูงมากซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากฐานสินเชื่อที่ใหญ่กว่าธนาคารพาณิชย์และธนาคารเปิดใหม่
TISCO ไม่มีปัญหา เรายังอยู่ในภาวะที่สามารถปล่อยสินเชื่อได้ แต่ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันต้องมีการใช้จ่ายให้น้อยลง เนื่องจากราคาน้ำมันแพงขึ้นนายปลิว กล่าว
อย่างไรก็ตามยอมรับปีนี้การทำกำไรมีความยากขึ้น เพราะกำไรของธุรกิจบางประเภทเป็นไปตามภาวะตลาด เช่นธุรกิจหลักทรัพย์ที่ไม่สามารถกำหนดได้ แต่ก็พยายามกระจายรายได้ไปทั้งรายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม
สำหรับอัตราดอกเบี้ยของ TISCO นั้นได้มีการปรับขึ้นมานานแล้ว ซึ่งก็ยังสามารถปล่อยสินเชื่อได้ ทั้งนี้หากในวันพุธที่ 7 มิถุนายน นี้ ทางธนาคารแห่งประเทศไทยมีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่นั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อธนาคารมากเพราะแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยต้องปรับขึ้นอยู่แล้ว
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#4 วันที่: 06/06/2006 @ 09:12:18 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
แผนซื้อหุ้นคืนAHไม่เป็นผล นักลงทุนทิ้งข่าวรายได้หด
Source - ข่าวหุ้น
Tuesday, 06 June 2006

แผนซื้อหุ้นคืน AH ดันราคาไม่ขึ้น ถูกข่าวผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้ากดราคาหุ้นรูดลงต่อเนื่อง ล่าสุดซื้อคืนถึง 1 ล้านหุ้นหรือ 0.35% ยันเดินหน้าเก็บถึง 10% ภายในพ.ย.นี้ โบรกแห่เชียร์ซื้อลงทุน แนะราคาร่วงต่ำน่าเข้าไปช้อน เชื่อผลประกอบการปีหน้ายังสดใส
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH ได้ทยอยซื้อหุ้นคืนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ต.ล.ท.) ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมาจนปัจจุบัน AH ซื้อหุ้นคืนรวม 1 ล้านหุ้นคิดเป็น 0.3542% ของทุนชำระแล้ว รวมมูลค่า 17,379,490 บาทโดยบริษัทจะเดินหน้าซื้อหุ้นคืนจนถึง 10% ตามที่คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ได้อนุมัติ เพื่อประโยชน์ในการบริหารทางการเงินของ AH
โดยก่อนหน้านี้นายเย็บ ซู ชวน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AH ระบุว่า การซื้อหุ้นคืนจะส่งผลให้ผู้ถือหุ้นของ AH ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าในการลงทุนกับหุ้นบริษัท เพราะที่ผ่านมาราคาหุ้นได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า AH จะมีความคืบหน้าเรื่องการซื้อหุ้นคืนใน ต.ล.ท. แต่ราคาหุ้น AH กลับปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. โดยราคาปิดลงแรงที่สุดเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. โดยลดลง 7.18% มาอยู่ที่ 16.80 บาท
ขณะที่ราคาปิดเมื่อวานนี้ (5 มิ.ย.)อยู่ที่ 16.20 บาทลดลง 0.60 บาท หรือ 3.57% ราคาสูงสุดที่ 16.90 บาท และต่ำสุดที่ 15.30 บาท ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดในรอบ 2 ปีนับตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค. 46 ซึ่งราคาอยู่ที่ 14.48 บาท
โดยสาเหตุหลักน่าจะมาจากการที่บริษัท ระบุว่า ผลประกอบการปีนี้คาดว่าจะโตเพียง 10% ซึ่งเป็นการปรับลดลงจากประมาณการณ์เดิมที่คาดว่าจะโต 20% เนื่องจากปัจจัยการเมืองและราคาน้ำมันส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ AH แจ้ง ต.ล.ท. ถึงการซื้อหุ้นคืนใน ต.ล.ท. ครั้งแรก ในวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยซื้อ 1 แสนหุ้น ราคาต่ำสุด 18.30 บาท ราคาสูงสุด 18.40 บาท รวมมูลค่าประมาณ 1.8 ล้านบาท แจ้ง ต.ล.ท.ถึงการซื้อครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. โดยซื้อรวม 1แสนหุ้น ราคาหุ้นละ 18.30 บาท รวมเป็นเงิน 1.83 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทซื้อหุ้นเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. รวม 8 แสนหุ้น ราคาสูงสุด 18.30 บาท ราคาต่ำสุด 16.50 บาท รวมมูลค่า 13.7 ล้านบาท ส่งผลให้ซื้อหุ้นคืนรวมทั้งหมด 1 ล้านหุ้นโดยบริษัทจะครบกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนวันที่ 29 พ.ย. 49
บริษัทหลักทรัพย์ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับคำแนะนำจาก ถือเป็น ซื้อ โดยให้ราคาพื้นฐาน 24.40 บาท เพราะราคาอ่อนตัวลงมาในจังหวะที่เหมาะสมต่อการเข้ามาลงทุนในระยะยาว
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#5 วันที่: 06/06/2006 @ 09:13:25 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
KSLได้ดีน้ำตาลแพง ดันปีนี้กำไร700ล้าน
Source - ข่าวหุ้น
Tuesday, 06 June 2006 04:08

KSL ปีนี้กำไรพุ่ง 700 ล้านบาทโตกว่า 45% หลังราคาน้ำตาลและเอทานอลปรับขึ้นไม่หยุดต่อเนื่อง โบรกฯเชียร์ซื้อลงทุนเป้าหมาย 11.40 บาท ชี้แนวโน้มเติบโตดี โดยเฉพาะการลงทุนในลาวและเขมร
ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาบริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL ได้รับข่าวดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการปรับเพิ่มราคาน้ำตาลทรายและเอทานอล ขณะที่ในอนาคตยังมีแนวโน้มปรับราคาเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ ได้ข้อสรุปว่าจะให้มีการปรับราคาจำหน่ายปลีกราคาน้ำตาลทรายบรรจุถุง 1 กิโลกรัม ขึ้นอีกกิโลกรัมละ 0.75บาท
นายจำรูญ ชินธรรมมิตร์ เจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL เปิดเผยกับ ข่าวหุ้นธุรกิจ ว่า ปีนี้ผลกำไรของบริษัทเชื่อว่ามีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดเพราะได้รับผลดีจากราคาน้ำตาลทรายและเอทานอลที่เพิ่มขึ้น โดยเบื้องต้นคาดว่ามีอัตราการเติบโตประมาณ 20% อย่างไรก็ดี หากอนาคตมีการปรับเพิ่มราคาตน้ำตาลและเอทานอล บริษัทอาจปรับประมาณการใหม่อีกครั้งเพราะขณะนี้สถานการณ์ราคาเอทานอลมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอีกจากราคาปัจจุบัน 23 บาทต่อลิตร เป็น 27 บาทต่อลิตร
จากประเด็นดังกล่าวนักวิเคราะห์ ประเมินว่า ปีนี้ KSL จะมีกำไร 700 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 45% ขณะที่ในปี 2551 จะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการผลิตน้ำตาลในลาวที่มีตลาดส่งออกค่อนข้างแน่นอน เนื่องจากได้ประโยชน์จากโควตาส่งออกไปยังอียูส่งผลให้รายได้ในช่วงปี 2549-2551 ขยายตัวเฉลี่ยอัตรา 19.2-26.3% ต่อปี ดังนั้นจากแนวโน้มอัตราการเติบโตยังแนะนำซื้อลงทุนโดยให้ราคาเป้าหมายที่ 11.40 บาทต่อหุ้น ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 10.30 บาท มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้อีก 11%
นายจำรูญ กล่าวต่อว่า แม้ว่าจะมีการปรับเพิ่มราคาน้ำตาลแต่ปัจจุบันสถานการณ์ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อต้นทุนที่ปรับตัวขึ้นตามไปด้วย ซึ่งขณะนี้ราคาขายน้ำตาลในประเทศอยู่ที่ระดับ 14 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่การส่งออกไปต่างประเทศมีราคาขายอยู่ที่ 17-18บาทต่อกิโลกรัม
สำหรับแผนการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอลเพิ่มอีก 2 แห่งนั้น ขณะนี้บริษัทได้รับคำสั่งให้เริ่มก่อสร้างได้แล้ว รอเพียงการเซ็นอนุมัติจากกระทรวงอุตสาหกรรมเท่านั้นทั้งนี้ โรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิตโรงละ 150,000 ลิตรต่อวัน รวมมูลค่าทั้ง 2 โรงงานประมาณ 700 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้กลางปี 2550
ส่วนแผนการลงทุนในต่างประเทศนั้น นอกเหนือจากลาวกับเขมรแล้ว บริษัทยังไม่สนใจลงทุนเพิ่มในประเทศอื่น เพราะจากการศึกษามองว่าไม่คุ้มและมีขั้นตอนยุ่งยาก ประกอบกับบางประเทศมีกฎหมายที่ไม่เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท ต่างจากประเทศลาวและกัมพูชาที่มีกฎระเบียบข้อบังคับไม่มากจึงเป็นโอกาสอันดีที่จะเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท อีกทั้งราคาขายน้ำตาลไม่ได้ถูกควบคุมอีกทั้งยังได้รับโควตาส่งออกไปสภาพยุโรป
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#6 วันที่: 06/06/2006 @ 09:14:38 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
กองทุนดักซื้อRRC ก่อนเข้าเซ็ต50
Source - ข่าวหุ้น
Tuesday, 06 June 2006 04:08

ภัทร เย้ยกองทุน ไม่ซื้อ RRC แล้วจะเสียใจ เชื่อวานนี้บางกลุ่มซุ่มเก็บ ทำราคาปิดเหนือจองสำเร็จ แย้มอีก 6 เดือนได้เข้าเซ็ต 50 ผู้บริหารโรงกลั่นฯยอมรับปีนี้แม้รายได้เพิ่มแต่กำไรลด
นายสุวิทย์ มาไพศาลสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ภัทร จำกัด(มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือRRC กล่าวว่าสำหรับกรณีที่หลายฝ่ายมองกันว่ากองทุนต่างๆไม่สนใจซื้อหุ้น RRC เพราะหุ้นไม่ติดอยู่ในเซ็ท 50 นั้น
โดยส่วนตัวมองว่า น่าจะมีเข้ามาซื้อบ้างแล้ว เพราะกองทุนน่าจะมีการคาดการณ์ไปล่วงหน้า แต่ถ้าหากยังไม่เข้ามาซื้อก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะเมื่อหุ้น RRC ถูกนำไปคำนวณดัชนีเซ็ท50 เมื่อไหร่ก็จะมีแรงซื้อเข้ามา ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก ทั้งนี้หากพิจารณาจากขนาดของบริษัทแล้ว RRC ถือเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 12 ของตลาด ซึ่งสามารถเข้าไปอยู่ในเซ็ท 50 ได้อยู่แล้ว
ทั้งนี้หากราคาหุ้น RRC ปรับตัวลดลงต่ำกว่าราคาจอง บริษัทอาจจะยังไม่เข้าไปช้อนซื้อหุ้นจัดสรรส่วนเกิน(กรีนชู ออปชั่น)มาคืน โดยจะพิจารณาจากความเหมาะสมของภาวะตลาดในขณะนั้น และจะให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของราคาหุ้นเป็นหลัก
การมีหุ้นกรีนชูอยู่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องซื้อคืนทันทีที่ราคาหุ้นหลุดจอง และไม่จำเป็นว่ามีแล้วต้องใช้เลย บริษัทจะให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของราคาหุ้นเป็นหลัก ดังนั้นจึงต้องพิจารณาภาวะตลาดในขณะนั้นด้วยว่ามีความเหมาะสมหรือไม่นายสุวิทย์ กล่าว
สาเหตุราคาหุ้น RRC ไม่หวือหวา เพราะภาวะลงทุนขณะนี้ไม่ปกติ ตลาดทุนทั่วโลกปั่นป่วน หากในสภาวะปกติเชื่อว่าราคาหุ้น RRC จะไปได้ไกลกว่านี้ เพราะเป็นหุ้นพื้นฐานดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้(5 มิ.ย.) หุ้น RRC เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก โดยราคาเปิดตลาดที่ 18.90 บาท เพิ่มขึ้นทันทีจากราคาจองที่ 18 บาทคิดเป็น 5%โดยในระหว่างวันราคาปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 19.10 บาท ก่อนมาปิดในระดับ 18.30 บาทซึ่งเป็นจุดต่ำสุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3,201.84 ล้านบาท
ด้านนายชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการ บริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการปีนี้มั่นใจว่า มีรายได้เพิ่มแน่นอนเนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในแง่ของกำไรสุทธิแล้วยอมรับว่าคงลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 11,985 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้บริษัทไม่มีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้เหมือนปีที่ผ่านมา
ปีนี้เราใช้กำลังการผลิตอย่างเต็มที่ 1.53 แสนบาร์เรลต่อวัน และไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ เพราะเราได้หยุดซ่อมบำรุงไปแล้วในเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้ไม่หยุดซ่อมเลย และราคาน้ำมันก็เพิ่มขึ้น รายได้ก็น่าจะเพิ่มตาม แม้ว่ากำไรจะไม่สูงเท่าปีก่อนเพราะปีนี้ไม่มีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ 5,400 ล้านบาทนายชายน้อย กล่าว
ส่วนการซื้อขายหุ้น RRC ในตลาดหลักทรัพย์วันแรก ราคาหุ้นที่เปิดตลาดมาและสามารถยืนเหนือราคาจองซื้อได้ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีในภาวะสถานการณ์การลงทุนเป็นแบบนี้ และโดยส่วนตัวก็พอใจกับระดับราคาดังกล่าว ซึ่งหุ้น RRC ถือเป็นหุ้นที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว และบริษัทเองก็มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 30%
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท.ปตท. จำกัด(มหาชน) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง กล่าวว่าราคาเปิดตลาดของหุ้น RRC ถือว่าเป็นราคาที่สะท้อนความผันผวนของตลาดหุ้น เนื่องจากมีปัจจัยภายนอกหลายเรื่องมากระทบเช่น แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและภาวะเงินเฟ้อ ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวล ซึ่งเชื่อว่าหากไม่มีปัจจัยเหล่านี้มากระทบบรรยากาศการลงทุนราคาหุ้นก็น่าจะสูงกว่าระดับปัจจุบัน
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#7 วันที่: 06/06/2006 @ 09:15:23 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
TT&Tมั่นใจทริปเปิลทีรุ่งโรจน์ ลั่นล้างขาดทุนหมดไม่เกินปี53
Source - ข่าวหุ้น
Tuesday, 06 June 2006 04:08

ทีทีแอนด์ทีประกาศล้างขาดทุนสะสม 1.6 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปียันไม่ใช้วิธีลดทุนและแตกพาร์ แต่จะใช้รายได้พิเศษและกำไรจากการดำเนินงาน คาดรายได้ปี 50 เพิ่มเป็น 8 พันล้านบาท ผลจากรับรู้รายได้ทริปเปิ้ลทีเต็มปีวาดหวังคุ้มทุนใน 3 ปี ส่งทำตลาดทั่วประเทศ
นายประสิทธิชัย กฤษณยรรยง ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัททีทีแอนด์ที จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะสามารถล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท ได้หมดภายใน 5 ปี หรือ ราวปี 53 โดยจะใช้กำไรที่ได้จากการดำเนินงานและรายได้พิเศษ ไม่ใช่การลดทุนหรือลดพาร์
การลดทุนลดพาร์ ขณะนี้ไม่ได้อยู่ในแผน เพราะความเปลี่ยนแปลงเรื่องสัมปทานเร็วกว่าที่คิดนายประสิทธิชัย กล่าว
ในปีนี้บริษัทฯจะมีรายได้ 7.3 พันล้านบาท ซึ่งในปี 50 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 8 พันล้านบาท เนื่องจากจะรับรู้รายได้จากบริษัท ทริปเปิ้ลที บรอดแบนด์ จำกัด เต็มปี หลังจากที่บริษัทดังกล่าวเริ่มดำเนินการเมื่อกลางปี 49
ทั้งนี้ ทริปเปิ้ลที จะให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานจำนวน 3 แสนเลขหมาย โดยใช้เวลาวางโครงข่าย 8 เดือนและเงินลงทุนทั้งสิ้น 6 พันล้านบาท ซึ่งภายในสัปดาห์นี้จะมีการเซ็นสัญญาซื้ออุปกรณ์ จากบริษัท หัวเหว่ย (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท อัลคาเทล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็ม จำกัด รวมมูลค่า 38 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ส่วนเงินลงทุน 6 พันล้านบาท มาจากเงินกู้ 4 พันล้านบาท อีก 2 พันล้านบาท เป็นกระแสเงินสดของบริษัทฯ ส่วนการให้บริการจะแบ่งเป็นพื้นที่กรุงเทพมหานคร 1 แสนเลขหมาย และต่างจังหวัด 2 แสนเลขหมาย
ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ามียอดลูกค้าบรอดแบนด์ในปี 50 เพิ่มขึ้นอีก 1 แสนรายซึ่งสิ้นปีนี้จะมีลูกค้า 2 แสนเลขหมาย ซึ่งกลุ่มลูกค้าที่จะเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านหรือคอนโนมีเนียมเกิดใหม่รวมทั้งลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งบริษัท ทริเปิ้ลทีฯจะมีผลการดำเนินการคุ้มทุนภายในปี 53ให้บริการครบ 3 แสนเลขหมายใน 3 ปี จากการลงทุนเนื่องจากซึ่งทำให้ในช่วงแรกยังขาดทุน
ทริปเปิ้ลทีฯได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์พื้นฐาน ประเภทที่ 3 แบบไม่มีโครงข่าย เมื่อวันที่ 23 ก.พ.49 มีอายุสัญญา 20 ปี ซึ่งบริษัทฯ จะให้บริการในจุดที่ไม่ทับซ้อนกับสัมปทานของทีทีแอนด์ที
นอกจากนี้ ทีทีแอนด์ที ยังมี บริษัท ทริปเปิ้ลที โกลบอลเน็ต จำกัด ได้ยื่นขอใบอนุญาตอินเตอร์เนชั่นแนลเกต์เวย์ ซึ่งหากได้รับใบอนุญาตก็จะทำให้ภาระต้นทุนจากการเช่าเกตเวย์จาก กสท.ลดลงปีละ 100 ล้านบาท เช่นเดียวกับที่ได้รับใบอนุญาตโทรศัพท์พื้นฐานใหม่ทำให้ต้นทุนลดเหลือเพียง 10% ของส่วนแบ่งรายได้จากเดิมต้องจ่ายสัมปทาน 43%ของส่วนแบ่งรายได้
นายประจวบ ตันตินนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีทีแอนด์ที เปิดเผยว่า การที่ทริปเปิ้ลทีฯ ได้รับใบอนุญาตโทรศัพท์พื้นฐานพร้อมเลขหมาย 3 แสนเลขหมาย ช่วยให้สามารถขยายบริการได้ทั่วประเทศมากขึ้น จากเดิมได้สัมปทานเฉพาะในภูมิภาค
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนรุกตลาดในกรุงเทพและปริมณฑล โดยเน้นการให้บริการด้านการสื่อสารข้อมูลและบรอดแบนด์ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่โดยจะให้บริการโทรศัพท์ประจำที่และการสื่อสารข้อมูลครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมีทีทีแอนด์ทีถือหุ้นในทริปเปิลที 99%
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#8 วันที่: 06/06/2006 @ 09:16:29 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
TICONขยายกองทุน2.5พันล้าน :รับเงินปันผล8% ปีนี้ปรับเป้ารายได้ใหม่
Source - ข่าวหุ้น
Tuesday, 06 June 2006 04:10

TICON เล็งขยายกองทุนอสังหาฯไทคอน 3 เพิ่มอีก 2.5 พันล้านบาท เป็นมูลค่า 6 พันล้านบาท ย้ำปลายปีเห็นความชัดเจน ผู้บริหารมั่นใจกองทุนใหม่มีปันผล 8% ระบุปรับเป้ารายได้ปี 49 เป็น 3 พันล้านบาท จาก 2.85 พันล้านบาท ไม่สนการเมืองผันผวน
นายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอนอินดัสเทรียล คอนเน็คชั่นจำกัด(มหาชน)หรือ TICON เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนขยายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทคอน 3มูลค่า 2-2.5 พันล้านบาท จากเดิมที่มีมูลค่า 4 พันล้านบาท โดยจะทำให้ขนาดกองทุนเพิ่มเป็น 6 พันล้านบาท
โดยจะนำเงินไปชำระหนี้ระยะสั้น คาดว่าในช่วงปลายเดือนมิถุนายน-ต้นเดือนกรกฎาคมนี้จะเริ่มดำเนินการเพิ่มทุนดังกล่าว และคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนในการออกขายกองทุนในช่วงปลายเดือนธันวาคม-มกราคมนี้ ล่าสุดอยู่ระหว่างดูทำเลโรงงาน
กองทุนใหม่อาจมีปันผลประมาณ 8% โดยการเพิ่มขนาดกองทุนต้องใช้เวลามากกว่าการตั้งขึ้นใหม่ เพราะต้องขออนุมัติจากผู้ถือหน่วยเดิมสัดส่วน 50% และต้องผ่านขั้นตอนของสำนักงานก.ล.ต. แต่คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปลายปีนี้นายวีรพันธ์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการในปี 49 บริษัทเชื่อว่าจะมีรายได้ประมาณ 2.9-3 พันล้านบาทเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่ามีรายได้ประมาณ 2.8-2.85 พันล้านบาท แม้ว่าภาวะการเมืองจะผันผวนจนส่งผลให้ต่างชาติกังวลกับการเข้ามาลงทุนในไทย เนื่องจากภาวะดังกล่าวกลับส่งผลให้ต่างชาติเข้ามาเช่าโรงงานมากขึ้นแทนการลงทุน โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น และสิงค์โปร์
โดยในปี 49 บริษัทจะมีรายได้จากกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทคอนประมาณ 1,982ล้านบาท รายได้จากค่าเช่าโรงงานประมาณ 650-700 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมในการจัดการประมาณ 40 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเป็นรายได้จากเงินปันผลอื่นๆ
นอกจากนั้นอาจมีอัตรากำไรขั้นต้นค่าเช่าโรงงานระดับ 80% เท่ากับปีก่อน เนื่องจากมียอดผู้เช่า และค่าเช่าโรงงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปีนี้จะเติบโต 30% ซึ่งเป็นอัตราเติบโตที่ใกล้เคียงกับปีก่อน เพราะมียอดเช่าโรงงานเพิ่มขึ้น ขณะที่บริษัทมีการสร้างโรงงานแห่งใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ย 70-80 โรงต่อปี
หลังจากนำเงินจากการออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอนมาชำระหนี้ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนของบริษัทลดลงจาก 3.33 เท่า ในไตรมาสแรกเหลือ 1.6 เท่าในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีบริษัทจะมีการขยายการลงทุนมากขึ้นทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนปรับตัวขึ้นลงต่อเนื่อง แต่ยืนยันว่าจะไม่เกิน 2.5 เท่า ตามที่เจ้าหนี้กำหนดไว้นายวีรพันธ์ กล่าว
อย่างไรก็ดีในปี 49 บริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 2.9 พันล้านบาท โดยจะนำไปลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ 72 แห่ง มูลค่าประมาณ 2 พันล้านบาท และสร้างคลังสินค้าบางนา-ตราด กม.39 จำนวน 600 ล้านบาท รวมถึงซื้อที่ดินเพิ่มเติมในคลังสินค้าแหลมฉบังประมาณ 300 ล้านบาท โดยงบลงทุนดังกล่าวจะนำมาจากรายได้กองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทคอน และการออกหุ้นกู้มูลค่า 1.5 พันล้านบาท
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#9 วันที่: 06/06/2006 @ 09:17:23 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
ดัชนีอิเลคฯโต25% Q1มูลค่า2แสนล้าน โทรศัพท์ขยายตัว
Source - ข่าวหุ้น
Tuesday, 06 June 2006 04:10

สศอ.เผยดัชนีอุตสาหกรรมอิเลคทรอนิคส์ขยายตัวกว่า 25% เหตุสินค้าได้รับความสนใจจากตลาดโลกต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีปัญหาน้ำมันแพงก็ตามแต่แนวโน้มสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ลดลงได้
นางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.)เปิดเผยถึง ภาวะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยไตรมาสแรกปี 2549 ว่า ภาพรวมของภาวะการผลิตและจำหน่ายอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี2548 มีการขยายตัวได้ดี ถึงแม้จะมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้านเข้ามากระทบ
โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไตรมาส 1 เพิ่มขึ้นถึง 25.24% สินค้าที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากคือ Other IC,Monolithic ICและHard Disk Drive เพิ่มขึ้น 42.64% ,22.92% และ 30.47% ตามลำดับเนื่องจากภาวะตลาดอิเล็กทรอนิกส์โลกขยายตัว สินค้าหลักที่ดึงให้ความต้องการอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ และคอมพิวเตอร์ขยายตัวถึง 31% และ 13% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนยังคงทรงตัวโดยดัชนีการผลิตลดลงเล็กน้อย0.85% ซึ่งเป็นการลดลงตามฤดูกาล เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งผลิตสินค้าในช่วงปลายปีเพื่อทำยอดก่อนปิดบัญชี จึงทำให้ไตรมาส 1 มีการชะลอการผลิตลงจากเดิมเล็กน้อย
ส่วนภาวะการตลาดอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไตรมาส 1 พบว่า ดัชนีการส่งสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2548 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 23.44% เป็นผลมาจากการขยายตัวของ Other IC, Monolithic IC และ HDD แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนภาวะตลาดของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ลดลง 2.86% ถือว่าเป็นภาวะปกติของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่จะลดลงช่วงต้นปี เนื่องจากไตรมาสก่อนได้ส่งสินค้าเพื่อป้อนตลาดไปแล้ว สอดคล้องกับภาวะของตลาดอิเล็กทรอนิกส์โลกด้วยเช่นกัน
นางอรรชกา กล่าวว่า สำหรับการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังขยายตัวได้ดี โดยไตรมาส 1 ปี 2549 มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 237,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.39%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2548 ซึ่งสินค้าสำคัญที่ผลักดันให้มีการขยายตัวคือคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบและวงจรรวม ไมโครแอสแซมบลี (Integraed Circuit) ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 37.59% และ 43.48% ตามลำดับ
ส่วนแนวโน้มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ไตรมาส 2 ปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2549 เนื่องจากเริ่มมีคำสั่งซื้อกลับเข้ามาหลังจากที่มีการชะลอช่วงไตรมาสที่ 1 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2548 จะมีอัตราการขยายตัวค่อนข้างมาก ตามความต้องการใช้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของโลกที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีการออกผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นแรงกระตุ้นตลาดให้มีเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ใหม่เร็วขึ้นกว่าเดิม
อย่างไรก็ตามปัจจัยที่อาจส่งผลให้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ลดลง คือปริมาณสินค้าคงคลังที่เริ่มมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าการขยายตัวของการบริโภคในตลาด รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการจึงควรติดตามภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการแข่งขันต่อไป
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#10 วันที่: 06/06/2006 @ 09:18:58 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
เทคนิคหุ้นเด่น
Source - ข่าวหุ้น
Tuesday, 06 June 2006 04:13

EGCOMP
ราคาหุ้นจากแท่งเทียนรายสัปดาห์ พบว่ามีการปรับตัวขึ้นมาจากระดับ 72.00 บาทได้อย่างชัดเจน แม้ช่วง 1-5 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นได้ปรับฐานลงมาอีกรอบ และมาทรงตัวอยู่ที่ระดับ 78.00 บาท อย่างมั่นคง ทำให้ราคาหุ้นแท่งเทียนรายวัน ปรับตัวขึ้นมาได้อีกครั้ง ตามสัญญาณ RSI และ Slow Stochastic ปรับตัวเป็นสัญญารซื้อสนับสนุนชัดเจนหากราคาหุ้นได้รับวอลุ่มเข้ามามากกว่านี้ ราหุ้นน่าจะมีเป้าหมายทดสอบแนวต้าน 80.00บาท เป็นเป้าหมายสำคัญคำแนะนำ ซื้อลงทุน
PDI
เมื่อพิจารณาสัญญาณแท่งเทียนรายสัปดาห์พบว่า โครงสร้างของราคาหุ้นเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน ส่วนราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาในช่วง 1-2 เดือน ที่ระดับ 34.00 บาท เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง และไม่สามารถผ่านแนวต้าน 42.00 บาท แต่หลังจากราคาหุ้นปรับตัวในระดับ 34.00 บาท มาร่วมกว่า 3 สัปดาห์ ราคาหุ้นไม่ทำจุดต่ำสุดไปมากกว่านี้ และยืนที่แนวรับนี้อย่างแข็งแกร่งได้ ดังนั้นดูจากสัญญาณน RSI และ Stochastic ที่ปรับตัวสนับสนุนแรงซื้ออีกรอบ น่าจะเป็นสัญญาณให้รู้ว่าราคาหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นได้อีกรอบคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร
SAMART
เมื่อมองการเคลื่อนตัวของราคาหุ้นจากแท่งเทียรายสัปดาห์จะพบว่า ราคาหุ้นยังปรับตัวเป็นขาขึ้นชัดเจน แม้ราคาหุ้นจะอ่อนตัวลงมาจากแนวต้าน 8.75 บาท เรมองว่าเป็นการอ่อนตัวใระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากสัญญารทางเทคนิคอย่าง RSI และSlow Stochaticที่ปับตัวเข้าเขตขายมากเกินไป และเริ่มจะปรับตัวขึ้นมาเป็นซื้อบ้างแล้ว หากวอลุ่มเข้ามามากกว่านี้ราคาหุ้น่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้คำแนะนำ ซื้อเล่นสั้น
CENTEL
โครงสร้างแท่งทียนรายสัปดาห์แม้ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อสังเกตราคาหุ้นระยะสั้นในรอบ 3 สัปดาห์จะพบว่า ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงมา หลังไม่ผ่านแนวต้าน 50.00บาท ขณะเดียวกันราคาหุ้นได้หลุดเส้นค่าเฉลี่ย10,25วัน ลงมาอย่างต่อเนื่อง หากเป็นเช่นนี้คาดว่าราคาหุ้นน่าจะปรับตัวลงอีก ตามสัญญาณ RSI และ Slow Stochastic ที่ยังดค้งตัวเป็นขายอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นแนวรับต่อไปที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลงมาทดสอบ น่าจะอยู่ที่ระดับ 37.50 บาทคำแนะนำ หาจังหวะขาย
BEC
โครงสร้างแท่งเทียนรายสัปดาห์แม้จะปรับขึ้นมาได้ แต่หลังจากทดสอบแนวต้าน 16.00บาท มาหลายครั้งและไม่ผ่านไปได้ ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ที่ระดับ 15.70 บาท ขณะเดียวกันสัญญาณ RSI และ Slow Stochastic เริ่มจะปรับตัวลงมา ตามวอลุ่มที่เบาบาง แสดงให้เห็นว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มจะปรับตัวลงมา ตามสัญญาณทางเทคนิคที่เริ่มโค้งตัวเป็นขายมากกว่าที่จะปรับตัวขึ้นคำแนะนำ หาจังหวะขาย
BFIT
เมื่อพิจารณาโครงสร้างแท่งเทียนรายรายสัปดาห์พบว่า ราคาหุ้นยังเป็นขาลงอย่างชัดเจน ราคาหุ้นยังทำจุดต่ำสุดอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นแม้ราคาหุ้นจะอ่อนตัวลงมาในระดับ 9.00บาท และทรงตัวในระดับนี้ได้ แต่วอลุ่มซื้อที่เบาบาง แนวดน้มการปรับตัวขึ้นมีโน้มน้อยมากขณะเดียวกันสัญญาณ Bollinger Band ก็ยังบานซึ่งมีแนวโน้มว่าราคาหุ้นยังไม่หยุดการขายซึ่งโอกาสที่หุ้นจะปรับตัวลงอีกก็เป็นไปได้สูงคำแนะนำ หาจังหวะขาย
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#11 วันที่: 06/06/2006 @ 09:20:17 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
MK-LPNแย้มQ2รายได้งาม :ลูกค้าจ่อคิวซื้อไม่สนดอกเบี้ย-น้ำมันขาขึ้น
Source - ข่าวหุ้น
Tuesday, 06 June 2006 04:11

อสังหาฯยังสวยการันตีดอกเบี้ย-น้ำมันไม่กระทบรายได้ไตรมาส 2 ผู้บริหาร MK มั่นใจตัวเลขดีกว่าควอเตอร์แรก เหตุลูกค้าตบเท้าซื้อบ้านเพียบหลังแบงก์ยืดอายุผ่อนนานถึง 30 ปีด้าน LPN ย้ำยอดขายยังดีต่อเนื่อง ยันกำลังซื้อไม่หด
หลังจากภาวะอัตราดอกเบี้ย และราคาน้ามันอยู่ในช่วงขาขึ้น ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าผลประกอบการของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ช่วงไตรมาส 2 อาจออกมาไม่ดี เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา เพราะกำลังซื้อจะปรับตัวลดลง เห็นได้จากการที่นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรกล่าวยอมรับว่ายอดขายบ้านปี 49 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียง 5% จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 10% หรือคิดเป็นจำนวนที่อยู่อาศัย 78,000 ล้านบาท
นายชวน ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยกับข่าวหุ้นธุรกิจว่า ช่วงไตรมาส 2 มั่นใจว่ายอดรับรู้รายได้จะเติบโตกว่าไตรมาส 1 แม้ว่าดอกเบี้ย และราคาน้ำมันจะสูงขึ้นก็ตาม เพราะกำลังซื้อแท้จริงไม่ได้ปรับตัวลดลงซึ่งเห็นได้จากยอดขายในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ที่ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่สถาบันการเงินหลายแห่งได้ยืดอายุการผ่อนชำระที่อยู่อาศัยให้ยาวขึ้นเป็น 25-30 ปี จาก 20 ปี รวมถึง MK ไม่ได้มีต้นทุนการก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นเพราะได้ซื้อวัสดุก่อสร้างต่างๆไว้ล่วงหน้าแล้วจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัทไม่ต้องปรับราคาบ้านใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน
นายชวน กล่าวว่า ครึ่งปีหลังนี้จะมียอดรับรู้รายได้สูงกว่าที่ก่อน เพราะรับรู้ยอดขายในช่วงปลายปี 48 ขณะที่ไตรมาส 3 เตรียมเปิดโครงการต่อเนื่อง 3 แห่ง และใหม่ 2แห่งมูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท ในย่านเพชรเกษม 81 และรามอินทรา กม.8 ส่วนไตรมาส4 จะขยายเฟส 2 ในโครงการชวนชื่น อ่อนนุชมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ล่าสุดเฟสแรกมียอดขายแล้ว 70% คาดว่าจะปิดการขายได้ภายในปีนี้
โดยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาบริษัทเปิดขายโครงการใหม่ไปแล้ว 3 แห่ง คือ ปิ่นเกล้าวงแหวน ศรีนครินทร์ เทพารักษ์ และพระราม 2 อย่างไรก็ดีในช่วงต้นปีหน้าจะเปิดโครงการใหม่ในย่านสนามบินสุวรรณภูมิ 1 แห่ง ล่าสุดอยู่ระหว่างประเมินรูปแบบโครงการและมูลค่าโครงการ
ด้านนายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า ภาวะดอกเบี้ย และราคาน้ำมันที่สูงขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 เพราะกำลังซื้อในตลาดยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องเห็นได้จากยอดขายที่เข้ามาเป็นปกติ
ผู้ประกอบการอสังหาฯทุกรายต้องพยายามจับตาดูภาวะการเมือง ราคาน้ำมัน และดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่รับรู้กันมานานแล้วก็ตาม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท นายโอภาส กล่าว
นักวเคราะห์รายหนึ่ง ประเมินว่า การที่ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาฯหลายแห่ง เปิดขายโครงการใหม่ช่วงราคาน้ำมัน ดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน เพราะเป็นเรื่องที่บริษัทต่างๆวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว และสถานการณ์ดังกล่าวก็เป็นเพียงปัจจัยลบเดิมๆที่รู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว
ปัจจุบันราคาบ้านในระดับต่ำกว่า 3 ล้านบาท และอาคารชุดราคา 1-2 ล้านบาทที่อยู่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้า ยังคงมีความต้องการมากที่สุด ดังนั้นผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาดไม่เช่นนั้นอาจส่งผลต่อยอดขายได้นักวิเคราะห์กล่าว
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#12 วันที่: 06/06/2006 @ 09:21:03 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
ย่อยข่าว
Source - ข่าวหุ้น
Tuesday, 06 June 2006 04:11

:ณรงค์ซื้อหุ้นอินเตอร์9.7%
รายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)แจ้งว่าก.ล.ต.ได้รับแบบรายงานการได้มาซึ่งหุ้นบริษัท อินเตอร์ฟาร์อีสท์ วิศวการ จำกัด(มหาชน)โดยนาย ณรงค์ เตชะไชยวงศ์ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2549 จำนวน 9.77%ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 40.05% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
:ตลท.ยังไม่ปลดเอสพี THL
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า ตามที่ตลท.ได้ขึ้นเครื่องหมายเอสพี(SP)หลักทรัพย์บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ THL ตั้งแต่การซื้อขายหลักทรัพย์รอบเช้าวันที่ 16 พฤษภาคม 2549 เป็นต้นมา เนื่องจากบริษัทมิได้นำส่งงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2549 มายังตลาดหลักทรัพย์ฯภายในเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดนั้น
:ตลาดขึ้นSPหุ้น PICNI ต่อ
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ได้สั่งการให้บริษัท ปิคนิคคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ PICNI แก้ไขงบการเงินไตรมาส 1(31 มี.ค.49) เนื่องจากผู้สอบบัญชีรายงานว่า PICNI ไม่ได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของลูกหนี้บางรายการให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีและผู้สอบบัญชีไม่ได้รับเอกสารหลักฐานที่จำเป็นครบถ้วนจากPICNI เพื่อการสอบทานงบการเงินและให้ PICNI นำส่งงบการเงินที่แก้ไขแล้วต่อก.ล.ต.ภายในวันที่ 17 ก.ค.49 นั้น
เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดำเนินงานดังกล่าว มีสาระสำคัญอย่างมากต่อการตัดสินใจลงทุนของผู้ลงทุนตลท.จึงขึ้นเครื่องหมาย SP หลักทรัพย์ PICNIสำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์ของวันที่ 5 มิถุนายน 2549 จนกว่าบริษัทจะนำส่งงบการเงินฉบับแก้ไขตามที่ก.ล.ต.กำหนดแล้ว
:ต่างชาติซื้อGLODเพิ่ม0.11%
รายงานจากสำนักงานตลาดหลักทรัพย์กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)รายงานการได้มาหุ้นบริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน)หรือGLOD โดย บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ซึ่งเป็นการได้มาเมื่อวันที่ 29 พ.ค.2549 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น 0.11% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 35.0% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้ทั้งหมด
:วัชระถือหุ้นยูไนเต็ดฯเพิ่มเป็น5.06%
สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) รายงานการได้มา หุ้นบริษัทยูไนเต็ดเปเปอร์ จำกัด(มหาชน)โดยนายวัชชระ ชินเศรษฐวงศ์ ซึ่งเป็นการได้มาเมื่อวันที่ 31 พ.ค.49 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น 0.07% ของจำนวนหลักทรัพย์ ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดจำนวนหลักทรัพย์ ภายหลังการได้มาคิดเป็น 5.06% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#13 วันที่: 06/06/2006 @ 09:22:06 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
เอกรัฐเคาะ3บาท โชว์ผู้นำหม้อแปลง เปิดจอง14มิ.ย.นี้
Source - ข่าวหุ้น
Tuesday, 06 June 2006 04:10

เอกรัฐเคาะราคา 3 บาท เปิดจองไอพีโอ 14-16 มิ.ย.นี้ พร้อมเทรด 30 มิ.ย.49ไม่หวั่นตลาดซบ มั่นใจหุ้นพื้นฐานแกร่ง โชว์ผู้นำหม้อแปลงไฟฟ้าอันดับ 1 ผู้บริหารตั้งเป้าปีนี้โต 20% ชี้มีงานประมูลอย่างต่อเนื่องอีก 4-5 โครงการมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาทล่าสุดคว้าจากกฟน.แล้ว 120 ล้านบาท
นายเกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด(มหาชน) หรือ AKR เปิดเผยกับ ข่าวหุ้นธุรกิจ ว่า บริษัทจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 182 ล้านหุ้น ราคา 3 บาทต่อหุ้น โดยเปิดจองซื้อได้ในวันที่ 14-16 มิ.ย.นี้ และคาดว่าจะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ได้วันที่ 30 มิ.ย.นี้ โดยได้บล.ฟาร์อีส เป็นแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นของบริษัท
เบื้องต้นเชื่อว่ากำหนดการเปิดจองหุ้นและเทรดไม่น่ามีปัญหาเพราะหุ้นบริษัทเป็นหุ้นพื้นฐานดีและเป็นบริษัทรายใหญ่อันดับ 1 ที่จำหน่ายหม้อแปลงดังนั้นจึงไม่กังวงกับปัญหาภาวะตลาดในปัจจุบัน อย่างไรก็ดีทุกอย่างคงต้องขึ้นอยู่กับที่ปรึกษาทางการเงินอีกครั้งเพื่อดูสถานการณ์นายเกียรติพงศ์กล่าว
โดยบริษัทคาดว่าจะได้เงินจากการระดมทุนครั้งนี้ประมาณ 546 ล้านบาท โดยจะนำไปชำระหนี้เดิม นอกจากนั้นจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและลงทุนในบริษัท เอกรัฐโซล่าร์เพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงงานและซื้อเครื่องจักรเพื่อผลิตเซลล์แสงอาทิตย์จำนวน 470ล้านบาท
สำหรับปีนี้บริษัทคาดว่าผลประกอบการจะมีอัตราการเติบโต 15-20% โดยปี 2548บริษัทมีรายได้ 1,502.12 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 175.27 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ในปี2550 เชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทจะเติบโตแบบก้าวกระโดดเพราะโรงงานผลิตเซลล์แสงอาทิตย์เริ่มดำเนินการได้ในไตรมาส 2/2550
นอกจากนั้น บริษัทยังมีการประมูลงานอย่างต่อเนื่องซึ่งล่าสุดบริษัทได้รับงานจากการไฟฟ้านครหลวงโดยเป็นการจำหน่ายหม้อแปลงมูลค่า 120 ล้านบาท ขณะเดียวกันมีงานที่บริษัทเตรียมเข้าร่วมประมูลอีก 4-5 โครงการในปีนี้ มูลค่ารวมเกิน 1,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศในแถบตะวันออกกลาง และเตรียมบุกตลาดเอเชียซึ่งได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา เป็นต้น อย่างไรก็ดีอนาคตอีก 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทมีแผนจะขยายตลาดในต่างประเทศเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ธุรกิจปัจจุบันของบริษัทคือการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายที่มีกำลังไฟฟ้าตั้งแต่ 1 kVA ถึง 20,000 kVA ทั้งชนิดแบบน้ำมันและแบบแห้ง รวมถึงส่วนประกอบหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย นอกจากนั้นยังมีงานบริการได้แก่ งานบริการบำรุงรักษาและซ่อมแซมหม้อแปลงไฟฟ้าระบบ 10 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศและงานด้านพลังงาน ได้แก่งานบริการออกแบบและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์และงานอนุรักษ์พลังงาน
โดยงานพลังงานบริษัทเพิ่งเริ่มดำเนินการสร้างโรงงานผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ เองเพื่อลดต้นทุนเพราะปัจจุบันบริษัทซื้อจากผู้ประกอบการรายอื่น และผลงานที่ผ่านมาของบริษัทได้แก่ โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จำนวน 2,800 ครัวเรือนเป็นต้น
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#14 วันที่: 06/06/2006 @ 09:22:47 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
ประชัยลั่นเปล่าปั่นหุ้นTPIPL :ศาลอาญานัดสืบพยาน ปากแรก18ต.ค.นี้
Source - ข่าวหุ้น
Tuesday, 06 June 2006 04:10

ประชัยยืนกรานปฎิเสธฐานปั่นหุ้น TPIPL หลังอัยการคดีพิเศษฟ้องกรณีเผยแพร่ข้อมูลเท็จจนราคาทีพีไอสูงเกินจริง ย้ำเชียรชัยทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และไม่ได้ชี้นำ ศาลอาญานัดส่งเอกสารกว่า 1,000 หน้า 1 ก.ย.นี้ ก่อนนัดสืบพยานปากแรก 18 ต.ค.นี้
วานนี้(5 มิ.ย.)ศาลอาญารัชดา นัดแถลงเปิดคดีที่อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 1 ฟ้องนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อุตสาหกรรมปิโตเคมีคัลไทยจำกัด (มหาชน) หรือ TPI และนายเชียรช่วง กัลยานิมิตร เจ้าของบริษัทสเติร์น สจ๊วต(ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทประเมินหลักทรัพย์ของ TPI ในความผิดฐานปั่นหุ้นบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด(มหาชน)หรือ TPIPL
ด้วยการเผยแพร่ข้อมูลประกอบการบริษัทอันเป็นเท็จ จึงส่งผลให้การซื้อขายราคาหุ้นสูงเกินจริง ซึ่งเข้าข่ายการทำความผิด ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ปี2539 มาตรา 77 และมาตรา 239 ซึ่งศาลฯได้นัดให้ฝ่ายโจทก์และจำเลยนำหลักฐานเอกสารมาให้ศาลพิจารณาก่อนวันที่ 1 ก.ย.49 เพราะเอกสารมีจำนวนกว่า 1,000 หน้าและนัดสืบพยานโจทก์ปากแรกวันที่ 18 ต.ค.49 เวลา 9.00 น.
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ กล่าวกับข่าวหุ้นธุรกิจว่า ผมไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดดังกล่าว แต่ผู้ที่ดำเนินการเผยแพร่ข้อมูลคือ นายเชียรช่วง ซึ่งกระทำไปเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ส่วนตัวมองว่าการกระทำดังกล่าว ไม่สร้างความเสียหายให้กับผู้ใดเพราะนายเชียรช่วง ไม่ได้เป็นผู้มีชื่อเสียงในแวดวงตลาดหุ้น ดังนั้นการเผยแพร่เอกสารจึงไม่ได้เป็นการชี้เป็นชี้ตายของราคาหุ้น ซึ่งเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้นอย่างไรก็ดีผมจะเตรียมเอกสารให้พร้อมและให้ความร่วมมือกับศาลฯเป็นอย่างดี
สำหรับคดีที่คณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ TPI ได้กล่าวโทษผมกับพวกในฐานะกรรมการผู้บริหารเดิมของ TPI กรณีทำสัญญาเช่าอาคารทีพีไอ ทาวเวอร์ ระยะเวลา 90 ปีกับบริษัท พรชัย วิสาหกิจ จำกัด และได้มีการจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้วนั้น ยืนยันว่าสิ่งที่ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ได้เป็นการยักยอกทรัพย์ของบริษัทแต่อย่างใด เพราะทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของผม ดังนั้นจะทำไปเพื่ออะไรนายประชัยกล่าว
ก่อนหน้านี้พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้พ.ต.อ.มานิต ธนสันติ พนักงานสอบสวนดีเอสไอ ระดับ 8 สำนักคดีการเงินและการธนาคารนำสำนวนการสอบสวนคดีที่ TPI นำโดยนายปัจจจุคมน์ เจริญรัชย์ ผู้มอบอำนาจ กล่าวหานายประชัย นายประมวล นายประทีป เลี่ยวไพรัตน์ ในฐานะอดีตกรรมการของ TPI ว่าร่วมกันกระทำการ เพื่อแสวงหาประโยชน์มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเอง หรือเพื่อผู้อื่น อันเป็นการเสียหายแก่บริษัท
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#15 วันที่: 06/06/2006 @ 09:24:42 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
GBX แรงเก็งกำไรแน่น เร่งแผนปั๊มรายได้ชดเชย
Source - กระแสหุ้น
Tuesday, 06 June 2006 04:05

โกลเบล็ก โฮลดิ้ง รุกหารายได้ชดเชยค่าคอมฯวูบ ลั่นสิ้นเดือน มิ.ย.นี้ภาพบริษัทชัดเจนขึ้น หลังการโอนย้ายของมาร์เก็ตติ้งและขายสาขาแล้วเสร็จ พร้อมเร่งปรับแผนงานใหม่ มุ่งเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ ส่วนงานวาณิชฯยังเหลือแผนดัน 2 บริษัทใหม่เข้าตลาดหุ้น ด้านนักวิเคราะห์คาด GBX กำไรปีนี้ลดวูบ ประเมินพื้นฐานเหมาะสม 2.36 บาท สัญญาณเทคนิครีบาวด์หลังหุ้นลงลึก
แหล่งข่าวระดับสูงจาก บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GBX เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทในช่วงที่เหลือของปีนี้นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป กำลังรอเรื่องของพนักงานมาร์เก็ตติ้งและเรื่องของสาขาที่ได้ขายออกไปให้กับ บล.ฟินันซ่า ทั้งนี้ทางบริษัทคาดว่า ภายในสิ้นเดือนนี้ทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง และภาพโครงสร้างใหม่ของบริษัทจะมีความชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตามแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการวางเป้าหมาย รวมทั้งทางบริษัทก็ได้ทำการเปิดรับสมัครพนักงานเจ้าหน้าที่การตลาดเพิ่มเติม เพื่อเข้ามาทดแทนพนักงานที่ย้ายออกไป
สิ้นเดือนมิ.ย.ภาพโครงสร้างใหม่ชัด
หลังจากที่เราได้ขายสาขาจำนวน 11 สาขาและอนุญาตให้มาร์เก็ตติ้งประมาณ 114 คนโอนย้ายไปทำงานที่ บล.ฟินันซ่า คาดจะโอนย้ายไปหมดภายในสิ้นเดือน มิ.ย.นี้ การโอนย้ายครั้งนี้อาจส่งผลให้มาร์เก็ตแชร์ของเราในช่วงไตรมาส 3 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน เราก็ยังเปิดรับพนักงานมาร์เก็ตติ้งเข้ามาเพิ่ม เพื่อทดแทนพนักงานเก่าที่ย้ายออกไปด้วย ส่วนเรื่องของแผนงานนั้นขณะนี้เราก็อยู่ระหว่างการจัดทำแผนอยู่ คงจะต้องรอให้เรื่องของการย้ายมาร์เก็ตติ้งและสาขาให้แล้วเสร็จก่อน
ยอมรับแชร์ค้าหุ้นวูบไม่ถึง 1.5%
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้ จะเน้นเพิ่มสัดส่วนลูกค้ารายย่อยให้มากขึ้น ส่วนลูกค้าสถาบันนั้นทางบริษัทยังคงให้ความสำคัญ และยังคงที่จะรักษาฐานลูกค้าสถาบันและให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มั่นใจว่าในปีนี้มาร์เก็ตแชร์ทางด้านค้าหลักทรัพย์จะถึง 1.5% หรือไม่ เพราะมาร์เก็ตแชร์ที่บริษัทสูญเสียไปหลังจากอนุญาตให้มาร์เก็ตติ้งประมาณ 114 คนโอนย้ายไป บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด (มหาชน) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1.2% ของมาร์เก็ตแชร์ของบริษัท
รุกหารายได้ทดแทนค่าคอมฯหด
ส่วนงานด้านวาณิชธนกิจนั้น บริษัทมีแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประมาณ 1-2 บริษัท สาเหตุที่งาน IPO มีอยู่ในมือน้อย เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นในขณะนี้ไม่เอื้ออำนวยเท่าที่ควร จากปัจจัยลบเข้ามากระทบ โดยเฉพาะปัจจัยเรื่องของการเมืองที่ยังไม่นิ่ง ส่งผลทำให้ลูกค้าหลายๆราย ได้ทำเลื่อนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ออกไปก่อน แต่อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทจะหันมารับงานด้านการเป็นปรึกษาด้านการปรับโครงสร้างหนี้ การควบรวมกิจการของบริษัทให้เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นงานที่มีความต่อเนื่อง และจะส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากงานด้านนี้เข้ามาชดเชย
ราคาหุ้นพื้นฐานอยู่ที่ 2.36 บ.
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS ประเมินว่า รายได้หลักของ GBX ยังคงอิงรายได้หลักจากบริษัทหลักทรัพย์ ทั้งนี้ปริมาณการซื้อขายของบริษัทปี 2548 อยู่ที่ 237,500.38 ล้านบาท (ส่วนแบ่งตลาด 2.92%) และไตรมาส 1/2549 อยู่ที่ 28,424.46 (2.21%) คาดว่าปริมาณการซื้อขายจะลดลงตั้งแต่ไตรมาส 2/2549 เป็นต้นไป จากเจ้าหน้าที่การตลาดและบุคลากรหลักที่สร้างรายได้ในส่วนของค่าคอมมิชชั่นในความดูแลของคุณช่วงชัย นะวงศ์ มีประมาณเกือบ 60% และคาดว่าจะย้ายตามคุณช่วงชัยไป จะส่งผลให้รายได้ค่าคอมมิชชั่นปี 2549 ลดลงประมาณ 38%
ปัจจุบันบริษัทเตรียมเงินส่วนหนึ่งไว้ลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วน 2 ใน 4 ลงทุนในหุ้นทั้งระยะสั้นและระยะยาว และ 50% ที่เหลืออาจเป็นส่วนที่ใช้ในการสนับสนุนธุรกิจหลักทรัพย์ คาดว่ารายได้จาการลงทุนจะเพิ่มสัดส่วนขึ้น จะไม่สามารถชดเชยรายได้ค่าคอมมิชชันที่ลดลงได้ ประกอบกับพอร์ตการลงทุนจะให้อัตราผลตอบแทนที่มีความเสี่ยงสูง แม้จะลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี และสภาพคล่องสูงอย่างหุ้นใน SET 50 ก็ตาม (ค่าความผันผวน SET 50 ปี 2548 อยู่ที่ 48.6%) ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทมีความผันผวนสูง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปริมาณการซื้อขายที่จุดคุ้มทุนจะลดลงจาก 600 ล้านบาทต่อวันเหลือ 300 ล้านบาทต่อวัน เนื่องจากการลาออกของอดีตผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่การตลาด แต่คาดว่ากำไรสุทธิปี 2549 จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ได้ประเมินราคาเหมาะสมปี 2549 อยู่ที่ 2.36 บาท โดยอิง PER ปัจจุบันที่ 13.58 เท่า
ประเมินแนวต้านสำคัญที่ 2.06 บ.
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIS เปิดเผยว่า การที่ระดับราคาหุ้นของ GBX ปรับตัวเพิ่มขึ้น สาเหตุมาจากนักลงทุนเข้าเก็งกำไรในระยะสั้นๆเท่านั้น ขณะเดียวกันระดับราคาหุ้นของ GBX ก็มีโอกาสที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้อีก แต่ก็คงจะไต่ขึ้นไปไม่มาก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมานั้นราคาหุ้นของ GBX ได้ปรับตัวลงลึกมาก เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวน ประกอบกับ GBX ได้มีการขายสาขาให้กับ บล.ฟินันซ่า จะส่งผลกระทบต่อยอดมาร์เก็ตแชร์ของ GBX ปรับลดลงอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงได้ประเมินราคาหุ้นทางเทคนิคของหุ้น GBX โดยมีแนวรับอยู่ที่ 1.83 บาท ส่วนแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 2.06 บาท
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#16 วันที่: 06/06/2006 @ 09:25:30 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
ต่างชาติโหมขายอีกรอบ น้ำมัน-ดอกเบี้ยพุ่งกดดัน กองทุนยังเชื่อปีนี้800จุด
Source - กระแสหุ้น
Tuesday, 06 June 2006 04:06

ต่างชาติเทขายต่อเนื่อง ตลาดหุ้นภูมิภาคและราคาน้ำมันกดดัน นักวิเคราะห์คาดดัชนีหุ้นยังขาลง บล.ทิสโก้ ฟันธงต่างชาติยังไม่หวนกลับตลาดหุ้นไทยอีก 3 เดือน ต้องรอความชัดเจนดอกเบี้ย แต่ผู้บริหารกองทุน ไอเอ็นจี ยังมั่นใจว่าปีนี้ถึงระดับ 820 จุด
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บรรยากาศการซื้อขาย วานนี้ (5 มิ.ย.)ว่า เนื่องจากได้แรงหนุนจากการเข้าซื้อขายวันแรกของหุ้นโรงกลั่นน้ำมันระยอง RRC ทำให้มีแรงเก็งกำไรเข้ามาค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามโดยภาพรวมนักลงทุนต่างชาติยังขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง ในหุ้นตัวใหญ่ๆ ส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลงแรง ปิดที่ระดับ 713.22 จุด ลดลง 9.39 จุด คิดเป็น 1.30% มูลค่าการซื้อขาย 9,589.85 ล้านบาท
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) หรือ ASL ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้น (6 พ.ค.) ว่า ดัชนีน่าจะยังคงปรับตัวลงอีกสักระยะ ประกอบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคยังปรับตัวขึ้นผันผวน โดยมองแนวรับที่ 706 จุด และแนวต้านที่ 718 จุด ตลาดภูมิภาคยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ โดยตลาดภูมิภาคยังคงติดลบ เป็นแรงกดดันสำคัญ ขอแนะนำนักลงทุนว่า ควรจะชะลอการลงทุนในหุ้นตัวใหญ่ เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงอยู่มาก แต่ควรเก็งกำไรในหุ้นตัวเล็กมากกว่า
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKHST กล่าวให้ความเห็นว่า ตลาดน่าจะอ่อนตัวลง จากแนวโน้มราคาน้ำมันแกว่งตัวสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนวิตกต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทำให้มองแนวรับที่ 707-705 จุด และแนวต้านที่ 717-719 จุด
อย่างไรก็ตาม แนะนำว่า นักลงทุนควรทยอยซื้อหุ้นกลุ่มน้ำมันในขณะที่ราคาอ่อนตัว เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 2 ของกลุ่มน้ำมันยังคงดีอยู่ และมีแนวโน้มการขยายตัว ส่วนกลุ่มอื่นๆควรชะลอการลงทุน เพื่อรอความชัดเจน
ต่างชาติยังไม่กลับช่วง 3 เดือนนี้
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ เปิดเผยในงานสัมมนาเรื่อง แกะกระแสเงินทุนต่างชาติ...ทิ้งหุ้นไทยจริงหรือ ว่า คาดว่าเงินทุนจากต่างชาติจะยังไม่ไหลกลับเข้ามายังตลาดหุ้นไทยภายใน 3 เดือนข้างหน้า จนกว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเห็นได้อย่างเร็วที่สุดในไตรมาส 4 ปีนี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่มากทั้งเรื่องการเมือง ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนต่างๆ รวมทั้งที่ผ่านมามีการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้ทันกันเฟดด้วย จึงเป็นความเสี่ยงที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่รีบนำเงินกลับเข้ามาลงทุน
หากนักลงทุนไทยต้องการจับทิศทางการลงทุนของนักลงทุนชาติให้สังเกตดูจากการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติในตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชียที่มีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยก่อน เช่น ตลาดหุ้นไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลี ซึ่งจะเป็นตลาดแรกๆ ในเอเชียที่เงินทุนจากต่างชาติไหลเข้าไป นายไพบูลย์ กล่าว
เชื่อมั่นปีนี้ดัชนีฯถึง800 จุด
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาดว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐใกล้จะสูงสุดแล้ว ซึ่งหากการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐจบลงเมื่อใด เชื่อว่าเงินทุนจากต่างชาติจะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยรอบใหญ่เหมือนที่เกิดขึ้นในเดือนมกราคมอีกครั้ง เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจพื้นฐานต่างๆ ยังเติบโตได้ดี ขณะที่ปัจจัยด้านการเมืองน่าจะมีความชัดเจนในช่วงปลายปีนี้ โดย บลจ.ไอเอ็นจี ยังประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะขึ้นไปถึง 820 จุดได้
น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์ สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด แบงก์ กล่าวว่า ถ้าเฟดไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกในการประชุมครั้งที่จะถึงนี้ จะส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ เนื่องจากคาดว่าขณะนี้เงินทุนต่างชาติที่ขายหุ้นไทยออกมายังไม่ไปไหนแต่พักอยู่ในประเทศเพื่อรอทำกำไรจากค่าเงินอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หากค่าเงินสหรัฐเสื่อมค่าลงมาก ขณะที่ค่าเงินในเอเชียแข็งค่าขึ้นมาก และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ไม่สามารถปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดครั้งใหม่ได้อีก คาดว่าจะมีเงินทุนไหลออกจากสหรัฐ เพื่อหาการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งอาจจะไหลไปอยู่ในตลาดพันธบัตรแทนก็ได้
สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทย คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์พี) 14 วัน อีกร้อยละ 0.25 สู่ระดับร้อยละ 5 ในการประชุมวันที่ 7 มิถุนายนนี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้จริงๆ และคงจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว แต่คงยังไม่เห็นการปรับลงในปีนี้ และคงจะเริ่มลดลงในปีหน้า ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด เพราะเศรษฐกิจของสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัวลงชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ต่อไปถึงปีหน้า ส่วนเศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ในระดับร้อยละ 4.1 บนสมมติฐานที่ว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#17 วันที่: 06/06/2006 @ 09:26:39 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
BBLหวั่นศก.ไม่พ้นวิกฤตการเมือง ทั้ง ดบ.,ราคาน้ำมันฉุด NPLพุ่งสูง
Source - กระแสหุ้น
Tuesday, 06 June 2006 04:13

ธนาคารกรุงเทพ หวั่นเศรษฐกิจไทยเจอพิษการเมือง อีกทั้งราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงผันผวน ส่อเค้าให้ NPL เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มน้ำตาลทรายน่าเป็นห่วงที่สุด เนื่องจากมีมากถึง 2% - 3% ของพอร์ตสินเชื่อรวม
นายสุวรรณ แทนสถิตย์ รองผู้อำนวยการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ส่งผลให้หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารส่อแววปรับตัวเพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้ ได้กล่าวยอมรับว่าธนาคารฯ จับตาผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นพิเศษ ทั้งนี้เนื่องจากหาก กนง. พิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร 14 วันขึ้นอีก ก็อาจจะส่งผลให้ลูกค้าธนาคารได้รับความเดือนร้อน โดยเฉพาะในเรื่องของการผ่อนชำระสินเชื่อต่างๆ เนื่องขณะนี้มีทั้งลูกค้ารายใหญ่และรายย่อย เริ่มเข้ามาเจรจากับธนาคารบ้างแล้ว โดยส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้ารายย่อยสำหรับสาเหตุที่ทำให้รายย่อยเริ่มไม่สามารถผ่อนชำระสินเชื่อได้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การชำระหนี้สิน โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัยเริ่มผิดนัด ส่วนลูกค้ารายใหญ่ก็ได้รับผลจากการขายสินค้ายากขึ้นรวมไปถึงการดำเนินงานของธุรกิจมีปัญหา
หากสถานการณ์ต่างๆ ทั้ง การเมือง อัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน และการส่งออก ยังคงผันผวนอยู่ก็เชื่อว่า น่าจะมีปัญหากับการเกิด NPL ได้ อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ดังกล่าวคลี่คลายลงหรือนิ่งมากว่านี้ ก็น่าจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับที่ดี นายสุวรรณ กล่าว
รองผู้จัดการใหญ่ BBL กล่าวยืนยันว่า ธนาคารยังคงเป้าหมายการลด NPL ณ สิ้นปีนี้ไว้ที่ 7% แม้ว่าไตรมาสแรกของปี NPL ของธนาคารจะทรงตัวอยู่ที่ 10.9% เนื่องจากปัญหาที่เกิดกับลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่ 1 - 2 รายนั้น เป็นปัญหาภายในคือลูกค้าเริ่มมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีปัญหาเรื่องตลาดส่งออก กลุ่มลูกค้าที่ธนาคารเป็นห่วงที่จะกลายเป็น NPL คือ กลุ่มลูกค้าน้ำตาล ทั้งนี้ แม้ว่าน้ำตาลในตลาดโลกปรับราคาเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่การปรับขึ้นนั้นไม่ได้ส่งผลให้ผู้ผลิตน้ำตาลได้ประโยชน์แต่อย่างไร ซึ่งตอนนี้ลูกค้าธนาคารที่เป็นกลุ่มน้ำตาลที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อให้มีประมาณ 2% - 3%ของพอร์ตสินเชื่อรวม ทำให้ธนาคารเริ่มมีความหนักใจกับลูกค้ากลุ่มนี้เป็นพิเศษ นอกจากนี้กลุ่มลูกค้าสิ่งทอก็น่าเป็นห่วงรองลงมา เนื่องจากการส่งออกเริ่มชะลอตัวลง นายสุวรรณ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า นายชาตรี โสภณพนิช ประธานกรรมการธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) รายงานไปยังตลท.ว่า คณะกรรมการธนาคารมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของ คณะกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2549 ให้แต่งตั้ง นายสิงห์ ตังทัตสวัสดิ์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการธนาคาร ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2549 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ นายสิงห์ ตังทัตสวัสดิ์ ปัจจุบัน อายุ 63 ปี มีประสบการณ์การทำงานในแวดวงเศรษฐกิจการเงินการคลัง และการธนาคารอย่างกว้างขวาง และการแต่งตั้งนายสิงห์ ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการครั้งนี้ ถือเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจเทียบเท่ากับนายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ เมื่อนายชาติศิริ ติดภาระกิจอื่นนายสิงห์สามารถบริหารแทนได้ อย่างไรก็ตามขณะนี้นายชาติศิริ และนายสิงห์ ยังไม่มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน แต่นายสิงห์จะเน้นในเรื่องของการบริหารงานภายใน
 กลับขึ้นบน
U
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 271
#18 วันที่: 06/06/2006 @ 09:30:07 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2119 04 มิ.ย. - 07 มิ.ย. 2549

แก๊งปั่นหุ้นกลายพันธุ์ ก.ล.ต.มึนเอาผิดลำบาก

ตลาดหุ้นจะขึ้นหรือจะลง พฤติกรรมการเก็งกำไรและสร้างราคาหุ้นหรือปั่นหุ้นก็จะมีอยู่ทุกภาวะ แตกต่างกันก็เพียงกลวิธีที่ใช้ และนับวันการปั่นหุ้นก็จะมีวิธีการที่แยบยลขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)และหนีให้ ห่างการกระทำที่ผิดพรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์พ.ศ.2535


5 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-พ.ค.)ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะหมี หรือซบเซาจาก 4 ปัจจัยที่ซัดเข้าใส่ไม่ว่าจะเป็นการเมือง ค่าเงินบาทที่ผันผวน ราคาน้ำมัน และเงินเฟ้อ ภาวะแบบนี้เล่นเอาเซียนหุ้นที่ว่าเก๋าหรือช่ำช่องกับการเล่นหุ้นมานานยังหืด จับ เพราะอย่าว่าแต่การเก็งกำไรหุ้นเลย การเล่นหุ้นพื้นฐานดีก็ยังเหนื่อย


ยังไงเสีย เซียนก็ยังเป็นเซียน ย่อมปรับตัวหรือปรับกลยุทธการเล่นหุ้นเพื่อเอาชนะตลาดหุ้นให้ได้ หรือเลวร้ายที่สุดก็ต้องเสมอตัว


จากคาถาการลงทุนข้างต้นที่เชื่อว่าเซียนหุ้นทั้งขาใหญ่ ขาเล็ก ท่องจนขึ้นใจทุกวันก่อนตลาดหุ้นเปิดซื้อขายจึงทำให้นำมาซึ่งการคิดค้นหลากกล ยุทธการลงทุน


ส่วนเซียนหุ้นที่เป็นมืออาชีพด้านการทำราคาหุ้นหรือจะเรียกว่าปั้นหุ้นหรือ ปั่นหุ้นก็จะมีกลเม็ดการทำราคาที่แยบยลหรือเนียนขึ้น ครั้นจะหลับหูหลับตาทำราคาให้วิ่งร้อนแรงสวนภาวะตลาดโดยรวมที่ซบเซา มีหวังระบบตรวจสอบหุ้นของตลท.ก็ร้องลั่นปลุกฝ่ายตรวจสอบให้มาดูเพื่อแกะรอย ความผิดปกติของราคาหุ้น


สำหรับพฤติกรรมการทำราคาหุ้นของขาใหญ่ที่ทำอยู่ปัจจุบัน จากการที่ฐานเศรษฐกิจได้สำรวจจากเจ้าหน้าที่การตลาดหรือมาร์เก็ตติ้งค้า หุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ และจากการสอบถามผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน พบว่าช่วงนี้นักลงทุนประเภทนี้จะอิงกระแสการเจรจาหาพันธมิตรและหาผู้ร่วมทุน ของบริษัทจดทะเบียนเป็นเครื่องมือในการทำราคาหุ้น


เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากบริษัทจดทะเบียนหลายรายที่ถูกนักลงทุนประเภทนี้ ติดต่อเข้ามาโดยมีวัตถุประสงค์หลักในการเข้ามาดูแลหรือทำราคาหุ้นแต่จะแฝง ตัวเข้ามาด้วยการเจรจาเข้าถือหุ้นในบริษัทที่สนใจ ซึ่งหากผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนั้นๆก็จะมีการตกลงผลประโยชน์ที่เกิดจากผล กำไรจากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้น


ส่วนรูปแบบการเข้ามาถือหุ้นอาจจะตกลงกันโดยการให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ขายหุ้น รายการบิ๊กล็อต หรืออาจจะขายหุ้นเพิ่มให้แบบเฉพาะเจาะจง ขณะเดียวกันก็จะมีการปล่อยข่าวการหาพันธมิตรหรือผู้ร่วมทุนเพื่อสร้างเรื่อง ราวหรือสตอรี่ เพื่อทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น


ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนรายหนึ่งกล่าวว่า ขณะนี้มีนักลงทุนที่เป็นแก๊งปั่นหุ้นเงินหนาหลัก 500-1,000 ล้านบาท จะใช้วิธีการเดินสายน๊อคดอร์หรือเคาะประตูบ้านบริษัทจดทะเบียนเป้าหมาย เพื่อรับจ้างทำราคาหุ้นให้โดยมาในรูปของการเจรจาขอถือหุ้น


ส่วนบริษัทจดทะเบียนกลุ่มเป้าหมายที่นักลงทุนกลุ่มดังกล่าวต้องการเข้า ไปถือหุ้นนั้น แหล่งข่าวกล่าวว่าจะเป็นธุรกิจขนาดกลางและเล็กที่มีแนวโน้มเติบโตดี แต่ราคาหุ้นกลับไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับการเติบโตของบริษัท หรือที่เรียกว่า หุ้นอืด ซ้ำร้ายบางบริษัทหุ้นยังต่ำกว่าราคาที่เสนอขายประชาชนทั่วไป(ราคาจอง)


นอกจากนี้กลยุทธการเล่นหุ้นของนักลงทุนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นวิธีที่สอดคล้อง กับสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นการอิงกระแสการหาพันธมิตรและผู้ร่วมทุนของ บริษัทจดทะเบียน


สำหรับวิธีการเจรจาตกลงของนักลงทุนกลุ่มนี้ ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนและในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ที่คร่ำหวอดกับการลงทุนใน ตลาดหุ้นมาร่วม 10 ปี ได้ยกตัวอย่างว่า เมื่อเร็วๆนี้มีแก๊งปั่นหุ้นได้ติดต่อบริษัทไพลอน จำกัด(มหาชน)(บมจ.)บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai) ซึ่งถือเป็นบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตดี แต่ปัจจุบันราคาหุ้นยังต่ำกว่าจอง


โดยแก๊งปั่นหุ้นกลุ่มนี้ได้ติดต่อไปยังบมจ.ไพลอนเพื่อเจรจาขอร่วมเป็น พันธมิตรด้วยการขอเข้าไปถือหุ้น เช่นเดียวกับที่ปีนี้บริษัทดังกล่าวก็มีนโยบายหาพันธมิตรอยู่แล้ว


อย่างไรก็ตามเนื่องจากนักลงทุนที่เข้าไปเจรจากับไพลอน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เข้ามาลงทุนเพื่อหวังปั่นหุ้นมากกว่าการเข้ามาลงทุน จริง จึงทำให้บริษัทดังกล่าวไม่ได้ตอบตกลง


ชเนศวร์ แสงอารยะกุล กรรมการผู้จัดการบมจ.ไพลอน กล่าวว่า ปัจจุบันแม้ราคาหุ้นของบริษัทยังต่ำกว่าจองก็ตาม แต่จากแนวโน้มธุรกิจที่คาดว่าใน 3 ปีข้างหน้า จะเติบโตได้ในอัตรา 30 % ต่อปี


จากปัจจัยพื้นฐานที่ดีของไพลอน ทำให้ชเนศวร์เชื่อว่าราคาหุ้นไพลอนจะปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว


ผมก็อยากให้หุ้นขึ้นมากที่สุด เพราะหุ้นปรับขึ้น 0.1 บาท ผมได้เงินเพิ่ม 5.7 ล้านบาท (ปัจจุบันถือหุ้น 5.7 ล้านหุ้น) และหากปรับขึ้น 1 บาท ผมจะได้เงิน 57 ล้านบาท


ประโยคที่ชเนศวร์ กล่าวข้างต้น ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาอยากให้หุ้นไพลอนเคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติของมันโดยไม่มีการผลักดันราคา


ทั้งนี้บมจ.ไพลอน ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานฐานราก เข้าจดทะเบียนในตลาด mai ปลายเดือนธันวาคม 2548 ขณะที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าจอง โดยวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา ปิดที่ 2.08 บาท (ราคาจอง 2.86 บาท)


มาร์เก็ตติ้งรายหนึ่ง ยกตัวอย่างให้ฟังโดยเขาอ้างผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนรายหนึ่งระบุว่า จากพบว่าพฤติกรรมยอดฮิตที่ทำกันและเหมาะกับภาวะตลาดหุ้นที่ซบเซาและผันผวนใน เวลานี้ คือ การเดินสายเจรจาบริษัทจดทะเบียนเป้าหมายเพื่อขอเข้าถือหุ้นแล้วสร้างเรื่อง ขึ้นมาให้สมเหตุสมผลเพื่อสนับสนุนการวิ่งขึ้นของราคาหุ้น หรือที่ศัพท์ชาวหุ้นเรียกว่าสร้างสตอรี่ นั่นเอง


อีกตัวอย่างของบริษัทจดทะเบียนที่ถูกมืออาชีพรับจ้างทำราคาหุ้นติดต่อเพื่อ ทำให้หุ้นร้อน คือ กรณีของบมจ.โกลบอล คอนเน็คชั่นส์ ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปลายปี 2548


เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากสมชาย คุลีเมฆิน กรรมการผู้จัดการบมจ.โกลบอลฯ เล่าว่า เขาได้รับการติดต่อจากมืออาชีพทำราคาหุ้นเพื่อทำให้ราคาหุ้นที่นอนนิ่งขี้ เกียจไม่ยอมลุกขึ้นมาวิ่งให้เจ้าของ(ผู้ถือหุ้นใหญ่)และนักลงทุนรายย่อยได้ ชื่นใจ กลับมาดี้ด๊าหรือทำให้ราคาหุ้นวิ่ง ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้หุ้นบมจ.โกลบอลฯนิ่งไม่ไหวติงนั้น


สมชายกล่าวว่า เกิดจากการที่มีหุ้นหมุนเวียนซื้อขายหรือมีสภาพคล่องต่ำเนื่องจากหุ้นประมาณ 78 % อยู่ในมือของผู้ถือหุ้นใหญ่ จึงทำให้ตกเป็นเป้าของมือปืนรับจ้างทำราคาหุ้น แต่ตนก็ได้ตอบปฏิเสธไป เนื่องจากอยากให้หุ้นเคลื่อนไหวสอดคล้องตามปัจจัยพื้นฐาน


กับกลวิธีการปั่นหุ้นที่แยบยลขึ้นนั้น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เองก็ถึงกับออกปากว่าเหนื่อย


นายประสงค์ วินัยแพทย์ รองเลขาธิการก.ล.ต. กล่าวยอมรับว่า ปัจจุบันการตรวจสอบพฤติกรรมการปั่นหุ้นทำได้ยากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการปั่นหุ้นเปลี่ยนแปลงไป


พร้อมกันนี้เขาได้เปรียบเทียบความแตกต่างในเรื่องของแหล่งเงินที่ใช้ใน การปั่นหุ้นว่า ในอดีตการปั่นหุ้นจะมีนายทุนเป็นผู้ให้เงินแก่นักลงทุนกลุ่มต่าง ๆเพื่อใช้ในการผลักดันราคาหุ้นให้ขึ้น ซึ่งทำให้ก.ล.ต.สามารถตรวจสอบและเชื่อมโยงแหล่งที่มาของเงินเพื่อสาวไปให้ ถึงตัวนายทุนได้ แต่ปัจจุบันจะใช้วิธีต่างคนต่างส่งคำสั่งซื้อขายเอง ดังนั้นเมื่อมีการร่วมมือการสร้างราคาหุ้นจะไม่สามารถตรวจสอบเส้นทางเดิน เงินได้ ซึ่งการตรวจสอบจึงต้องพิสูจน์ให้ได้ว่านายทุนแต่ละคนที่ส่งคำสั่งซื้อขาย หุ้นนั้นมีความเกี่ยวโยงกันหรือร่วมมือกันสร้างราคาหุ้นหรือไม่


เช่นเดียวกับตลาดหลักทรัพย์ฯซึ่งเป็นหน่วยงานด่านแรกที่ทำหน้าที่ดูแลความ เคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาดยอมรับเช่นกันว่าปัจจุบันการเก็งกำไร และการทำราคาหุ้นของนักลงทุนปัจจุบันได้เปลี่ยนไปจากอดีตมาก


นายสุภกิจ จิระประดิษฐ์กุล ผู้ช่วยผู้จัดการตลท.ได้สะท้อนภาพว่า การเก็งกำไรของนักลงทุนปัจจุบันส่วนใหญ่จะทำในหุ้นที่มีสตอรี่รองรับ เช่น การมีข่าวว่าบริษัทนั้น ๆจะมีการหาผู้ร่วมทุน และหาพันธมิตรทางธุรกิจ การมีข่าวว่าบริษัทนั้นๆจะประมูลโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งจะส่งผลให้ผลประกอบการเติบโต


ส่วนรูปแบบของการซื้อขายหุ้นก็เช่นกันที่นายสุภกิจ กล่าวว่า ปัจจุบันนอกจากนักลงทุนรายใหญ่บางคนเปิดบัญชีเล่นหุ้นกับหลายโบรกเกอร์แล้ว ยังเปิดบัญชีโดยใช้หลายชื่อซึ่งทำให้ตรวจสอบยาก


สำหรับนักลงทุนที่ไม่ประสีประสากับการเล่นหุ้น หรือนักลงทุนหน้าใหม่ที่ไม่อยากติดกับดักนักปั่นหุ้นหรือที่เรียกกันติดปาก ว่าแมลงเม่าบินเข้ากองไฟจะมีวิธีการสังเกตอย่างไร


คัมภีร์หลีกหนีหุ้นปั่นที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นของอดีตกรรมการผู้จัดการตลท.กิตติรัตน์ ณ ระนองที่แจกให้เป็นวิทยาทานแก่คนเล่นหุ้น( พูดคุยกับผู้สื่อข่าวเมื่อ 7 มี.ค.) โดยกิตติรัตน์


กล่าวว่า หุ้นที่ตลท.สั่งห้ามซื้อขายในลักษณะหักกลบราคา(เนตเซทเทิลเมนท์ )และห้ามซื้อด้วยสินเชื่อ(มาร์จิ้น) ในปัจจุบัน พบว่ามีเกินกว่าครึ่งเข้าข่ายพยายามสร้างราคาหรือปั่นหุ้น ซึ่งถือว่าหมิ่นเหม่ต่อการกระทำความผิดฐานปั่นหุ้น


อนึ่งหุ้นที่ถูกตลท.ห้ามเนตเซทเทิลเมนท์ และซื้อด้วยบัญชีมาร์จิ้น ประกอบด้วยบมจ.อกริเพียว โฮลดิ้ง ( APURE)ใบสำคัญแสดงสิทธิAPURE-W1,บมจ.หลักทรัพย์แอ็ดคินซัน(ASL) และASL-W4 , บมจ.บีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์(BNT ),บมจ.อีสเทิร์นไวร์( EWC) และEWC-W1 อีกทั้งมีบมจ.ไมด้า เมทดาลิส เอ็นเตอร์เทนเมนท์(MME)


นอกจากนี้มีบมจ.อินเตอร์แนชั่นเนิล เอ็นจิเนียริ่ง ( IEC) ซึ่งเป็นหุ้นที่สำนักงานก.ล.ต.อยู่ระหว่างการตรวจสอบในเชิงลึกว่าพฤติกรรม การซื้อขายของนักลงทุน 33 ราย เข้าข่ายการปั่นหุ้นตามที่ตลท.ตรวจสอบพบหรือไม่


การปรับพฤติกรรมการทำราคาหุ้นของขาใหญ่ทั้งหลายที่มีอยู่ในตลาดหุ้น ซึ่งว่ากันว่ามีทั้งก๊วนนักการเมืองนามสกุลดัง กลุ่มอดีตผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่ล้มละลาย และบริษัทเงินทุนที่ถูกปิดกิจการในยุควิกฤติปี 2540 ซึ่งกลุ่มนี้ปัจจุบันมาแรงและกำลังถูกจับตาจากก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ ฯเพราะได้ใช้วิธีการเข้ามาเทคโอเวอร์บริษัทจดทะเบียนเก่าแก่รายหนึ่งด้วยการ ซื้อหุ้นและมีการสร้างสตอรี่ขึ้นมาเพื่อดันให้ราคาหุ้นวิ่ง ซึ่งในวงการนักวิเคราะห์หลักทรัพย์กำลังจับตาว่าแผนการขยายกิจการมากมายของ บริษัทจดทะเบียนรายนั้นจะเป็นจริงหรือแค่สร้างฉากเพื่อปั่นหุ้นโกยกำไรเท่า นั้น


ในรายของนักการเมืองนามสกุลดังนั้น ตอนนี้ได้หันมาใช้นอมินีเพื่อนคู่ใจเล่นแทนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของตลท .หลังจากที่ปี 2547-2548 นักลงทุนรายนี้จะพิศมัยในการปั้นหุ้นขยะ(หุ้นกลุ่มรีแฮปโก้)ให้เป็นหุ้น เทิร์นอะราวด์ (ผลประกอบการบริษัทจะกลับมามีกำไร) ซึ่งในวงการค้าหุ้นเล่าว่าหากนักลงทุนรายนี้เข้าไปในหุ้นตัวไหนแล้วก็จะมี บรรดานักการเมืองแห่เล่นตามกันเป็นพรวน


ส่วนนักลงทุนรายใหญ่ที่เป็นเพื่อนซี้กัน 2 ราย ที่อีกคนเป็นหมอฟัน ขณะที่อีกคนมีดีกรีเป็นถึงอดีตนักวิชาการจากสภาพัฒน์ ฯ ซึ่งทั้ง 2 คน ดังเป็นพลุแตกเมื่อปลายปี 2546 ที่การเก็งกำไรท่วมตลาดหุ้น มูลค่าการซื้อขายทะลุ 6 หมื่นล้านบาท ทำลายสถิติ 28 ปี หรือตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น อีกคนมีบทบาทในตลาดหุ้นน้อยลง เนื่องจากช่วงปี 2546 ถูกเกาะติดพฤติกรรมจนกระดิกไม่ได้


ขณะที่อีกคนคือ ในรายของอดีตนักวิชาการ ก็ยังใช้เชื่อตัวเองและคนในครอบครัวเล่นหุ้น โดยนักลงทุนรายนี้ยังมีพฤติกรรมการเล่นหุ้นที่เปิดเผย จะทยอยซื้อหุ้นที่สนใจเข้าพอร์ต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดกลางที่มีแนวโน้มเติบโตดี โดยเขาจะยึดตำราการเล่นหุ้นตามสไตส์ของวอเรนท์ บัพเฟต เศรษฐีอันดับสองของโลก


เหล่านี้คือ ความเคลื่อนไหวของนักลงทุนที่มีภาพสีเทา สาเหตุที่ต้องใช้คำนี้ เนื่องจากนักลงทุนเหล่านี้ยังไม่เคยถูกกล่าวโทษในข้อหาปั่นหุ้นเลยแม้แต่คน เดียว และสักครั้งเดียว แต่อนาคตต้องลุ้นว่าก.ล.ต.จะคว้าน้ำเหลวอีกหรือไม่กับกรณีตรวจสอบปั่นหุ้นไอ อีซี !!!
 กลับขึ้นบน
จันทรา
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,898
#19 วันที่: 06/06/2006 @ 13:26:40 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
ขอบคุณค่ะ ฟฟฟฟ3 .... อ่านจุใจเลย... .0005

แต่ยังงุนงง และ สงสัย ในรายของอดีตนักวิชาการ แบบนี้ถ้า หน่วยงาน ตลท.ยังเห็นเป็นภาพสีเทาๆ อยู่อีก
แล้วพวกเราจะไปหาสีขาวได้ที่ไหนเล่าคะ.... ขำ ขำ เนอะ .0008 .0008 .0008
 กลับขึ้นบน
mr.w
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 490
#20 วันที่: 06/06/2006 @ 18:09:11 : re: ***********อ่านประกอบการตัดสินใจ***********
55555555555555 ตกลง เราเล่นอะไรดีครับ ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com