May 5, 2024   6:04:59 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ข่าวเด่นประเด็นร้อน...
 

??????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,898
วันที่: 07/06/2006 @ 21:51:13
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

จับตาโบรกฯปฎิบัติการฟอร์ซเซล
ทุบ!ดัชนีตลาดหลุด680จุด

วงการค้าหุ้นชี้ หลายโบรกเกอร์เริ่มปฎิบัติการฟอร์ซเซลแล้ว
งานนี้จับตาดัชนีตลาดหลุดแนวรับใหญ่ 680 จุด ท่ามกลางไร้สัญญาณบวก
ดังนั้นใครไม่มีหุ้น ควรยืนรออยู่นอกตลาดจะเป็นการดีที่สุด
แม้ราคาหุ้นบนกระดานส่วนใหญ่จะถูกแสนถูกก็ตาม
ค่ายพัฒนสินฟันธง วันนี้เลือดนักลงทุนยังคงนองพื้นห้องค้าเช่นเดิม

แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์รายหนึ่งเปิดเผยว่า
ขณะนี้สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญกับตัวแปรใหม่
นอกเหนือจากปัจจัยราคาน้ำมันในตลาดโลก
การพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)
นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นและปัญหาการเมืองไทย เป็นต้น
คือ การบังคับขายหุ้น(ForceSell) ของโบรกเกอร์
เนื่องจากนักลงทุนหรือลูกค้าได้ประสบกับภาวะขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นจำนวนมาก
จึงทำให้นักลงทุนที่เล่นบัญชีมาร์จิ้นไม่สามารถนำหลักทรัพย์มาวางเพิ่มได้
ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

ทั้งนี้หลายโบรกเกอร์ได้บังคับขายหุ้นของลูกค้าออกมาแล้ว
ส่งผลให้ดัชนีตลาดปรับตัวลงแรงต่อเนื่อง
แม้หุ้นที่ถูกบังคับขายหลายตัวจะมีปัจจัยพื้นฐานดีก็ตาม
แต่โบรกเกอร์ก็จำเป็นต้องบังคับขายหุ้นออกมา เพื่อไม่ได้เกิดความเสี่ยงแก่องค์กร
และตอนนี้เท่าที่ทราบลูกค้าบางรายเริ่มไม่ชำระค่าหลักทรัพย์ตามเวลาที่กำหนด
อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ปัญหาเช่นนี้ คงไม่รุนแรงเหมือนเช่นในอดีต

มีความเป็นไปได้ที่ ประเด็นบังคับขายหุ้น อาจทำให้ดัชนีตลาดหลุดแนวรับสำคัญ คือ 680 จุด
แหล่งข่าวกล่าวและว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดฯ นักลงทุนที่ยังมีเงินสด แต่ยังไม่มีหุ้นในพอร์ต
ควรรอให้สถานการณ์หรือปัจจัยต่างๆคลี่คลายไปก่อน
จึงค่อยพิจารณาการลงทุน แม้ราคาหุ้นส่วนใหญ่จะต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากก็ตาม

 กลับขึ้นบน
จันทรา
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,898
#1 วันที่: 07/06/2006 @ 22:30:21 : re: ข่าวเด่นประเด็นร้อน...
** KEST เชื่อลูกค้าบัญชีมาร์จิ้นโดนฟอร์ซเซลแน่

แหล่งข่าวจากผู้บริหารระดับสูงบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)จำกัด(มหาชน)หรือ KEST เปิดเผยว่า
ในช่วงที่ดัชนีตลาดปรับตัวลดลงแรงจากระดับ 760 จุดลงมาระดับ 680 จุด
เชื่อว่า ลูกค้าบัญชีมาร์จิ้นของแต่ละโบรกเกอร์จะโดนบังคับขายหุ้น(ForceSell) ออกมา
โดยหุ้นส่วนใหญ่ที่จะโดนบังคับขายได้แก่กลุ่มไฟแนนซ์, กลุ่มหลักทรัพย์และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
เพราะในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับตัวลดลงมาแรง
โดยเฉพาะกลุ่มหลักทรัพย์ซึ่งผันผวนตามภาวะตลาด
ขณะที่หุ้นเก็งกำไรส่วนใหญ่โบรกเกอร์ได้เลิกปล่อยบัญชีมาร์จิ้นแล้วหลังจากเกิดปัญหาในช่วงที่ผ่านมา

ปัจจุบันไม่มีลูกค้ารายใดของ KEST โดนบังคับขาย
เพราะลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่ขายหุ้นตั้งแต่ช่วงที่มีปัญหาเลือกตั้ง
และลูกค้าส่วนใหญ่ไม่นิยมเล่นบัญชีมาร์จิ้น เพราะหากถือหุ้นไว้ก็จะเสียดอกเบี้ย
โดยลูกค้าจะหันมาเล่นบัญชีเงินสดแทนเพราะถึงจะไม่ได้กำไรจากหุ้นก็ยังได้ดอกเบี้ยแหล่งข่าวกล่าว

อย่างไรก็ดี นักลงทุนที่เล่นหุ้นบัญชีมาร์จิ้นควรทำความเข้าใจระบบ
เมื่อราคาหุ้นลดลงจนทำให้หลักประกันขั้นต้น (Maintainance Margin) ใกล้ 35%
ก็ขายขาดทุนออกมา เพราะขายออกยังมีเงินสดเหลืออยู่ในพอร์ต

สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่ถือหุ้นอยู่และหุ้นในพอร์ตเป็นหุ้นพื้นฐานดีไม่ควรขายออก
เพราะดัชนีปรับตัวลงมาแรงมากอาจขาดทุน
แต่เมื่อสถานการณ์ต่างๆกลับสู่ภาวะปกติเชื่อว่าราคาหุ้นก็จะปรับตัวเข้าหาพื้นฐาน
ส่วนนักลงทุนที่ต้องการซื้อหุ้นควรถือเงินสดรอจนกว่าตลาดหุ้นฟื้นตัว
โดยซื้อหุ้นพื้นฐานดีเช่น PTT, BBL, TOP, KBANK


** วงการเตือนระวัง TPIPL เสี่ยงถูกบังคับขายที่สุด

แหล่งข่าวจากผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่ง เปิดเผยว่า
ในช่วงที่ภาวะตลาดฯปรับตัวลงแรง อาจทำให้นักลงทุนโดนบังคับขายออกมา
โดยคาดว่า TPIPL จะโดนบังคับขายออกมามากที่สุดเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรง
อย่างไรก็ดีนักลงทุนที่เล่นบัญชีมาร์จิ้นควรระมัดระวังและเลือกเล่นหุ้นที่มีพื้นฐานดี
นอกจากนี้ จะต้องมีเงินสดอยู่ในมือจำนวนหนึ่ง เพื่อนำมาจ่ายหากราคาหุ้นที่ถือปรับตัวลดลงแรง
และต่ำกว่าระดับเงินประกันขั้นต้นที่กำหนดไว้

สำหรับนักลงทุนทั่วไป ควรชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์
และทยอยซื้อเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรงโดยกลุ่มที่น่าสนใจยังเป็นกลุ่มแบงก์และพลังงาน
 กลับขึ้นบน
จันทรา
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,898
#2 วันที่: 07/06/2006 @ 22:39:52 : re: ข่าวเด่นประเด็นร้อน...
**เซียนเทคนิคชี้พรุ่งนี้ดัชนีฯมีโอกาสรูดต่อ

นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน
เปิดเผยถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์วันนี้ ( 7 มิ.ย.49 ) ว่าดัชนีฯ ปรับลดลงต่อเนื่องตลอดทั้งวัน
ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศ
ที่ส่วนใหญ่ปรับลดลงเช่นกัน
ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติยังไม่มีแนวโน้มที่จะหยุดขายสุทธิ
ส่วนการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร 14 วันอีก 0.25%
จาก 4.75% เป็น 5.00% ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
แต่ปัจจัยดังกล่าวส่งผลลบต่อจิตวิทยาการลงทุน
ดังนั้นจึงทำให้หุ้นในกลุ่ม แบงก์,พลังงานและสื่อสาร
โดนเทขายออกมาอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่ฉุดให้ดัชนีฯปรับลดลง

ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์วันที่ 8 มิ.ย.49 คาดว่ามีโอกาสปรับลดลง
เนื่องจากภาวะตลาดฯ ยังขาดปัจจัยบวกใหม่ที่โดดเด่นเข้ามากระตุ้น
ประกอบกับในระยะนี้ทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศ
ยังเป็นตัวแปรหลักที่นักลงทุนจะต้องติดตาม

ช่วงนี้นักลงทุนควรที่จะต้องติดตามตลาดหุ้นในต่างประเทศด้วย
เพราะหากปรับลดลงก็จะมีอิทธิพลต่อภาวะตลาดหุ้นไทยด้วย
เพราะช่วงนี้ปัจจัยตัวนี้จะมีอิทธิพลต่อภาวะตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก
และก็เป็นแบบนี้เหมือนกันเกือบทั้งภูมิภาคส่วนราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่น่าจะมีนัยสำคัญ
เพราะยังคงทรงตัวไม่ได้ปรับลดลงหรือเพิ่มขึ้นอย่างหวือหวานายชัยกล่าว

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำรอดูภาวะตลาดฯ ก่อนตัดสินใจลงทุน
ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นให้รอดูอยู่นอกภาวะตลาดฯ เนื่องจากภาวะตลาดยังมีความเสี่ยง
โดยให้แนวรับไว้ที่ 683 จุดให้แนวรับถัดไปไว้ที่ 680 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 695 จุด

ด้านนายอมเรศ สิงห์ณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่า
ในช่วงนี้ยังมีประเด็นที่น่าเป็นห่วง คือ อาจจะมีการฟอร์ซเซล (บังคับขาย) เกิดขึ้นได้
เพราะราคาหุ้นได้ปรับลดลงมามาก ซึ่งจะยิ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในสภาพไม่ดียิ่งกว่าเดิม
ดังนั้นจึงแนะนักลงทุนจับตามองอย่างใกล้ชิด
โดยในช่วงนี้ได้ให้แนวรับไว้ที่ 680 จุด และแนวรับถัดไปที่ 660 จุด


** ทีเอสอีซี เผยถ้าราคารูดลงต่ำกว่าทุนไม่มากถือรอดัชนีฯดีดกลับ

นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทีเอสอีซี กล่าวว่า
ภาวะตลาดฯ ที่ปรับตัวลดลงเป็นไปตามปัจจัยลบที่เข้ามากระทบ
ทั้งด้านราคาน้ำมันอัตราดอกเบี้ยและภาวะเศรษฐกิจ
ซึ่งอาจมีผลทำให้ผู้ที่กู้ยืมเงินมาซื้อหุ้นถูกบังคับขายออกมา หลังจากภาวะตลาดฯ ปรับตัวลดลงมาก

ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับต้นทุนในการถือหุ้นเทียบกับราคาที่เคลื่อนไหวในกระดาน
ว่าต่างกันมากน้อยแค่ไหนโดยหากไม่ต่างกันมาก ก็แนะนำถือไว้ก่อน
รอภาวะตลาดฯ อาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หากเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ
ซึ่งต้องรอดูทิศทางเศรษฐกิจโลกประกอบ แต่หากราคาห่างกันมากก็อาจทยอยขายลดความเสี่ยง

โดยในระยะสั้นประเมินว่าดัชนีฯยังเคลื่อไหวในทิศทางที่ลดลงอยู่บริเวณแนวรับ 680-660 จุด
ส่วนแนวต้าน 697 จุด โดยแนะนำให้ชะลอการลงทุนออกไปก่อน
แต่หากสนใจแนะรอจังหวะเข้าเก็บในราคาหุ้นที่พื้นฐานดี และมีราคาปรับลดลงบริเวณ 680 จุด
 กลับขึ้นบน
mr.w
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 490
#3 วันที่: 08/06/2006 @ 14:49:54 : re: ข่าวเด่นประเด็นร้อน...
เหนื่อย แฮะ โหด สุด สุด ไม่อยากเชื่อเลย

แล้วคนที่ติดข้างบนทามไงเนี้ย

.0002 .0002 .0002
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com