April 29, 2024   10:59:07 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > 37 หุ้นบิ๊กแคปอันตราย ต่างชาติจ้องขาย
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 14/06/2006 @ 21:14:28
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เวลาเดือนครี่งต่างชาติยังขายหุ้นไม่ยั้งขนเงินกลับบ้านแล้ว 5 หมื่นลบ.กดดัชนีรูด 135 จุด แนะนลท.ระวัง 37 หุ้นบิ๊กแคปอันตรายที่อยู่ใน MSCI Thailand Free Index จะเป็นเป้าหมายหลักในการขาย ด้านบล.ไซรัส ให้รอช้อนหุ้น SET 50 หากดัชนีแตะระดับ 620 จุด ชี้ราคาหุ้นร่วงต่ำกว่า 30%จากราคาพื้นฐาน งานนี้ เอกรัฐฯถอยกรูดรอตั้งหลักใหม่

ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้เข้าขั้นวิกฤตดัชนีตลาดหุ้นร่วงลงต่อเนื่องในวันเปิดทำการวันแรก(14 มิ.ย.)หลังวันหยุดยาวโดยปิดตลาดที่ระดับ 646.69 จุด ลดลง 23.73 จุด มูลค่าการซื้อขายสูงถึง 18,835.90 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยหลักมาจากแรงกดดันจากภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศที่ร่วงระนาว เพราะนักลงทุนกังวลเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะชะลอตัว และอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูง รวมทั้งความไม่ชัดเจนของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศเทขายหุ้นในตลาดหุ้นทั่วโลกเพื่อถือเงินสด หรือโยกเงินไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลดอลล่าร์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดรและมีความเสี่ยงต่ำ
อย่างไรก็ดี พบว่าตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.49 ซึ่งเป็นวันแรกที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มเทขายหุ้น จนถึงวันที่14 มิ.ย.49 ต่างประเทศขายสุทธิรวมทั้งสิ้น 52,342.39 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลง 135.81 จุดจากระดับ 782.39 จุดในวันที่ 11 พ.ค.49 ซึ่งบรรดาเซียนหุ้นต่างแนะเลี่ยงเล่นหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 และหุ้นใน MSCI เพราะเสี่ยงที่จะโดนแรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศ

**เปิดโผ 37 หุ้นบลูชิพใน MSCI เป้าหมายหลักตปท.เทกระจาด
ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.พัฒนสิน(CNS) ระบุว่าหลักทรัพย์บลูชิพขนาดใหญ่ที่อยู่ใน MSCI Thailand Free Index จะเป็นเป้าหมายหลักที่เป็นเป้าหมายการขายของนักลงทุนต่างชาติ

ตาราง รายชื่อหลักทรัพย์ที่เข้าคำนวณใน MSCI

Code Sector Fair Price
LH Property 7.78
DELTA Electronics 24.00
CP711 Commerce 6.56
KTB Banking 12.28
STEC Construction 10.50
CPN Property Development 19.65
SHIN Communication 63.10
LH/F Property 7.78
KK Banking 38.50
MAKRO Commerce 64.42
TISCO Banking 33.02
ITD Construction 11.08
TUF Agriculture 34.40
BBL/F Banking 138.83
HANA Electronics 36.00
SCB Banking 68.28
ATC Petrochemicals 29.00
KEST Financials 24.61
SSI Construction Material 1.00
BANPU Energy 188.23
PSL Transportation 32.86
BBL Banking 138.83
KBANK/F Banking 80.72
BECL Transportation 34.51
AOT Transportation 63.65
PTTEP Energy 101.62
TRUE Communication 10.00
EGCOMP Energy 85.46
KBANK Banking 80.72
GLOW Energy 28.12
ADVANC Communication 99.31
RATCH Energy 46.91
TCAP Banking 18.32
PTT Energy 282.06
SCC Construction Material 287.38
SCCC Construction Material 305.09
CPF Agriculture 6.70
PICNI Energy N/A
THAI Transportation 52.56
BEC Entertainment 13.41
SCC/F Construction Material 287.38

ที่มา : บล.พัฒนสิน

**บิ๊ก SYRUS แนะรอซื้อหุ้น SET 50 หากดัชนีแตะ 620 จุด
นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด(มหาชน) หรือ SYRUS เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า หุ้นในกลุ่ม SET 50 น่าจะเป็นหุ้นกลุ่มเป้าหมายที่นักลงต่างชาติน่าจะขายออกมา เนื่องจากหุ้นในกลุ่ม SET 50 ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่
หุ้นกลุ่มหลักที่นักลงทุนต่างประเทศจะขายออกมาน่าจะเป็นหุ้นใน SET 50 เพราะมีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ซึ่งในช่วงนี้นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากอาจเจอแรงขายนายกัณฑรากล่าว
อย่างไรก็ดี หากดัชนีปรับตัวลดลงแตะระดับ 620 จุด นักลงทุนสามารถทยอยซื้อหุ้นกลุ่ม SET 50 สะสมเข้าพอร์ตการลงทุนได้ เนื่องจากหุ้นเหล่านี้มีพื้นฐานที่ดี และราคาหุ้นต่ำกว่าราคาพื้นฐานประมาณ 30%
แรงขายเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ตอนนี้ตลาดหุ้นมีปฎิกิริยาตอบรับรุนแรงเกินไป ซึ่งแรงขายจะหยุดเมื่อไหร่อยู่ที่แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาเป็นหลักนายกัณฑรากล่าว

**บิ๊ก ตลท.ประสานเสียงหุ้นไทยเดี้ยงตามตลาดต่างประเทศ
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เปิดเผยว่า การที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงแรงไม่ได้เกิดจากปัจจัยทางการเมือง เพราะการดูแลตลาดฯในขณะนี้ให้ความสำคัญกับปัจจัยภายนอกมากกว่าสถานการณ์ทางการเมืองทั้งนี้คิดว่าปัจจัยภายนอกที่มากระทบให้ตลาดฯ ปรับตัวลดลงอยู่ในขณะนี้ปัจจัยจากอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมันที่มีความผันผวน
โดยวานนี้ (14 มิ.ย.) ผู้บริหาร ตลท.ได้มารายงานถึงแผนงานการดำเนินงานระยะสั้นให้รมว.คลังรับทราบ โดยรมว.คลังได้เน้นให้ดูแลการขยายการลงทุนในตลาดสารหนี้และตลาดตราสารทุนให้มากขึ้นซึ่งทาง ตลท.ได้มีแผนที่จะขยายฐานนักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้นเป็น 10%ของ ประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 6 ล้านคน ให้ได้ภายใน 4 ปีจากปัจจุบันที่มีฐานการลงทุนในตลาดหุ้นเพียง 1% เท่านั้น
นางภัทรียา กล่าวว่า ตลท.ได้มีแผนงานที่จะขยายฐานการลงทุนในกองทุนรวมระยะยาว(LTF) ให้เพิ่มมากขึ้น โดย ให้มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนใน LTF ให้ได้ประมาณ200,000 รายภายใน 6 เดือน ซึ่งถือเป็นการ สนับสนุนการลงทุนระยะยาวซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหลักทรัพย์ไทยเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ นางภัทรียา ยังได้กล่าวว่า รมว.คลังไม่ได้พูดถึงเรื่องหุ้นตกในวันนี้ว่าเป็นอย่างไร และไม่ได้สอบถามใดๆ กับตนเพียงแต่ กล่าวว่า เป็นไปตามภาวะตลาดฯ ซึ่งมองว่าไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใดและตลท.ก็ยังทำงานกันต่อ ไปเหมือนเดิม
ด้านนายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า การที่ดัชนีตลาดฯ ปรับตัวลดลง มองว่าเป็นไปตามภาวะตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่ประเทศไทยมีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ดังนั้นจึงอยากให้นักลงทุนระมัดระวังในการซื้อขายหุ้นในระยะนี้ไว้ก่อน

** MAI หั่นเป้าบจ.ใหม่ปีนี้เหลือ 30 บริษัท
นายวิเชฐ ตันติวานิช ประธานที่ปรึกษาตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) เปิดเผยว่า maiคาดว่าบริษัทที่ต้องการยื่นแบบไฟลิ่งขออนุมัติเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในปีนี้ จะลดลงเหลือประมาณ 30 บริษัท จากเดิมที่คาดว่าจะมีบริษัทเข้าจดทะเบียนในฯประมาณ 40 บริษัท แต่ทั้งนี้จะสามารถเข้าระดมทุนได้เท่าไรนั้นยังไม่สามารถประเมินได้
โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการชะลอการเข้าระดมทุนนั้น เนื่องจากบรรยากาศไม่เอื้อต่อการลงทุน รวมถึงรอโครงการใหม่ๆ ที่บริษัทต่างๆ คาดว่าจะได้รับผลดีหากการเมืองมีการคลี่คลายและมีเสถียรภาพมากขึ้น อีกทั้งหากเข้าจดทะเบียนในช่วงเวลานี้ จะทำให้ราคาหุ้นไม่เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
ตอนนี้ mai ก็กำลังคุยเป็นรายบริษัทว่าใครจะดีเลย์ออกไป คร่าวๆ คาดอาจจะลดลง 30% หรือลดลง 10 บริษัท แต่เป็นตัวเลขที่ยังคุยไม่ครบทุกบริษัท โดยปัจจัยในเรื่องของดอกเบี้ยหรือน้ำมันที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นปัจจัยที่เราได้คาดการณ์ไว้แล้ว แต่เรื่องที่ไม่ได้คาดไว้คือการเลือกตั้ง ซึ่งเชื่อว่าส่งผลให้บริษัทต่างๆชะลอการตัดสินใจลงนายวิเชฐ กล่าว
เขากล่าวถึงภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ปรับตัวลดลงอย่างหนักว่าเชื่อว่าเป็นการปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลดลงจากความกังวลในเรื่องของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯประกอบกับความไม่ชัดเจนทางการเมือง
อย่างไรก็ดี หุ้นที่ปรับตัวลดลงในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากมูลค่าของบริษัทที่ลดลง แต่เกิดจากปัจจัยในเรื่องความวิตกกังวล จึงถือเป็นช่วงที่ดีในการเข้าซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี
การปรับลดลงของตลาดหุ้นไทยในครั้งนี้เป็นปรากฎการณ์ที่นักลงทุนสูญเสียความมั่นใจในระดับเอเชียซึ่งส่งผลมาจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลดลงมากจากความกังวลในเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯนายวิเชฐ กล่าว

** AKR ยกธงขาวเลื่อนขายหุ้นไอพีโอ หลังดัชนีฯหลุด 650 จุด
นายเกียรติพงษ์ น้อยใจบุญ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอกรัฐวิศวกรรม (AKR) เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า หลังจากที่บริษัฯ ประชุมหารือกับทาง บล.ฟาร์อีสท์ ในฐานะตัวแทนจำหน่ายมีความเห็นร่วมกันว่าให้เลื่อนจำหน่ายหุ้น IPO จำนวน 182 ล้านหุ้น ออกไปเนื่องจากภาวะตลาดฯ ปรับตัวลดลงผิดปกติ ดังนั้นจึงไม่ต้องการขายหุ้นในช่วงนี้ เพราะเกรงว่าผู้ถือหุ้นจะเสียประโยชน์
อย่างไรก็ดี บริษัทฯจะกลับมาพิจารณาวันเสนอขายไอพีโอรวมทั้งวันเข้าเทรดใหม่ทันทีหากดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิน 650 จุด และมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ หากบริษัทฯ มีการเลื่อนขายหุ้น IPO ออกไปไม่เกิน 3 เดือน เชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุน เพราะยังคงสามารถเร่งการทำงาน เช่น ในส่วนของการก่อสร้างได้อยู่ แต่หากเกิน 3 เดือนออกไปคงกลับมาพิจารณาอีกครั้งว่าจะส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ อย่างไรบ้าง แต่ทั้งนี้เชื่อว่าภาวะตลาดหุ้นไทยจะกลับสู่ภาวะปกติในช่วงเวลาไม่นาน

**เปิดโผ SET 50 รอบใหม่ไร้เงา SHIN-ITV-UCOM
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คณะทำงานด้านดัชนีราคาหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ฯได้คัดเลือกหลักทรัพย์ชุดใหม่ สำหรับการคำนวณดัชนี SET50 และ ดัชนี SET100 ในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2549ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 โดยหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่ใช้คำนวณดัชนี SET50 ในครั้งนี้ มีหลักทรัพย์ที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาใหม่ 3 หลักทรัพย์ ในขณะที่มี 9 หลักทรัพย์ใหม่ ได้รับคัดเลือกเข้ามาใช้ในการคำนวณดัชนี SET100
สำหรับการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่ใช้ในการคำนวณดัชนี SET50 และดัชนี SET100 ดังกล่าว มีการพิจารณาจากหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเฉลี่ยต่อวันย้อนหลัง 12 เดือนสูงสุด 200 อันดับแรก โดยต้องเป็นหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯไม่น้อยกว่า 6 เดือน และมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายบนกระดานหลักเมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อหุ้นของหุ้นสามัญทั้งตลาดในเดือนเดียวกัน โดยใช้ข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์
ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2548 - 31 พฤษภาคม 2549
นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณาคุณสมบัติตามเกณฑ์อื่น ๆ ประกอบ ได้แก่ การมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free-float) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และต้องไม่เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายถูกเพิกถอนตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในเวลาอันใกล้ รวมทั้ง ไม่อยู่ในระหว่างการห้ามซื้อขายเป็นเวลานาน หรือไม่เป็น หลักทรัพย์ที่มีแนวโน้มที่จะถูกพักการซื้อขายเป็นเวลานานอีกด้วย
สำหรับหลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก 50 ลำดับแรก จะใช้ในการคำนวณดัชนี SET50 ในขณะที่หลักทรัพย์ 100 ลำดับแรก จะใช้ในการคำนวณดัชนี SET100 โดยมีหลักทรัพย์ 5 ลำดับถัดมาเป็นหลักทรัพย์สำรอง 5 หลักทรัพย์สำหรับดัชนีแต่ละชุดด้วย
ทั้งนี้ หลักทรัพย์ที่โดนถอดออกจาก SET 50 ชุดใหม่ได้แก่ SHIN, ITV และ UCOMโดยหลักทรัพย์ที่ถูกนำเข้ามาแทนที่ได้แก่ MINT, AMATA และ CCET






ที่มาefinancethai.com[/color:9db7276215">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com