มูลค่าหุ้นทั่วโลกลดฮวบ 2 ล้านล้านดอลลาร์ใน1เดือน

การร่วงลงของตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
ส่งผลให้มูลค่าหุ้นหดหายไปอย่างน้อย 2 ล้านล้านดอลลาร์
และทำให้นักลงทุนแทบไม่มีทางเลือก
นอกจากโยกเงินเข้าลงทุนในตลาดพันธบัตรและตลาดเงิน

นักลงทุนพากันเทขายหุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์ และสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่
จากความกังวลที่ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจจะถูกกดดัน
จากการปรับตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย

นายคริสโตเฟอร์ โลว์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทเอฟทีเอ็น ไฟแนนเชียล กล่าวว่า
มีปัจจัยหนึ่งที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
โดยเริ่มต้นจากตลาดสหรัฐ ซึ่งปัจจัยนั้นก็คือความกังวลที่ว่า
การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุย้ำถึงภาระผูกพันที่จะจำกัดภาวะเงินเฟ้อ
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเฟดเต็มใจที่จะให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเผชิญกับความเสี่ยง

ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันนับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 16 ครั้งติดต่อกันในวันที่ 10 พ.ค.เป็นต้นมา
และเฟดออกแถลงการณ์ในครั้งนั้นว่า เฟดอาจจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก
เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ถึงแม้นักลงทุนคาดการณ์ก่อนหน้านั้นว่า
เฟดน่าจะส่งสัญญาณว่าเฟดใกล้จะยุติวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ตาม

ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
และนักยุทธศาสตร์การลงทุนก็มีความเห็นแตกต่างกันไปในประเด็นที่ว่า
นักลงทุนจะเทขายหุ้นอีกมากและนานเพียงใด

พันธบัตรเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์ทางตรงมากที่สุดจากการร่วงลงของตลาดหุ้น
โดยราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภท 10 ปีพุ่งขึ้นยาวนานที่สุดในปีนี้
นับตั้งแต่กลางเดือนพ.ค.เป็นต้นมา

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลงมาแล้ว 8.2 % นับตั้งแต่กลางเดือนพ.ค.
และติดลบแล้วเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีนี้
ส่วนดัชนี Nasdaq ทรุดตัวลง 12.75 % จากจุดสูงสุดของปีนี้ที่ทำไว้ในวันที่ 19 เม.ย.
ขณะที่ดัชนี S&P 500 ดิ่งลงมาแล้ว เกือบ 8 % จากจุดสูงสุดของเดือนพ.ค.

เมื่อวานนี้ ดัชนีนิกเกอิของตลาดหุ้นโตเกียวร่วงลงรุนแรงที่สุดในรอบ 2 ปี
หากนับเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยดิ่งลง 4.14 %
และส่งผลให้มูลค่าหุ้นในดัชนีนิกเกอิหายไปกว่า 16.56 ล้านล้านเยน (1.45 แสนล้านดอลลาร์)
นอกจากนี้ การรูดลงครั้งนี้ ยังเป็นการร่วงลงครั้งใหญ่ที่สุดหากนับเป็นจุด
นับตั้งแต่ช่วงหลังวันที่ 11 ก.ย.2001 เป็นต้นมา

ดัชนี FTSEurofirst 300 ของตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงราว 11 % นับตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.เป็นต้นมา
โดยดัชนีปิดที่ 1,238.5 เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.เป็นต้นมา

ดัชนี MSCI World Index ของตลาดหุ้นทั่วโลก
ขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของปีนี้ในช่วงต้นเดือนพ.ค.
แต่หลังจากนั้นมูลค่าทุนตามราคาตลาดก็ลดลง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์
หรือเกือบ 12 % ของมูลค่าทุนทั้งหมดในดัชนีนี้
ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนี้สูงกว่ามูลค่าผลผลิตทางเศรษฐกิจของอังกฤษ

อย่างไรก็ดี ดัชนีซึ่งจัดทำโดย MSCI Barra ตัวนี้ไม่ได้ครอบคลุมหุ้นทั้งหมดในโลก
ดังนั้นมูลค่าการร่วงลงของหุ้นทั่วโลกจึงอยู่สูงกว่าตัวเลขดังกล่าว

ในขณะที่ธนาคารกลางในยุโรปและสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อชะลออัตราเงินเฟ้อ
นักลงทุนก็ลดการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ลงอย่างรุนแรง

รายงานวิจัยของ EmergingPortfolio.com Funds ระบุว่า
นักลงทุนถอนเงินลงทุนราว 8.5 พันล้านดอลลาร์ออกจากหุ้นในตลาดเกิดใหม่
ในช่วงเวลา 3 สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 8 มิ.ย.
โดยดัชนี MSCI สำหรับหุ้นตลาดเกิดใหม่ร่วงลงราว 24 %
นับตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.เป็นต้นมา

นักลงทุนเทขายอย่างตื่นตระหนกในตลาดเกิดใหม่และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
และพวกเขาก็คาดการณ์ในเชิงลบอย่างมาก
ขณะที่ถือครองเงินสดเป็นจำนวนมากในเวลานี้ และไม่กล้ากลับเข้ามาลงทุนในตลาด
นายสก็อตต์ เรน นักยุทธศาสตร์การลงทุนหุ้นของบริษัทเอ จี เอ็ดเวิร์ดส์ แอนด์ ซันส์กล่าว

ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3