April 29, 2024   3:55:52 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ที.กรุงไทย รอนับหนึ่งใหม่..ปี 2550
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 17/06/2006 @ 20:15:51
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ที.กรุงไทย (TKT) เริ่มเผชิญภาวะยอดขายตกต่ำ หลังบริษัทกำลังเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้กว่า 60% จากลูกค้าน้อยราย...ตั้งแต่สายการผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีลูกค้าเป็นเสาหลักเพียงรายเดียว คือ ซันโย เริ่มเอาใจออกห่าง ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่อีก 2 รายในสายชิ้นส่วนยานยนต์ โตโยต้า กับ นิสสัน ก็ยังลังเลกับออเดอร์ใหม่


จุมพล เตชะไกรศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม (TKT) อธิบายถึงสถานการณ์ด้านโครงสร้างรายได้ของบริษัทที่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจากเดิมจะมีรายได้จากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับรถยนต์ในสัดส่วนที่พอๆ กัน ประมาณ 44% ต่อ 49% เมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมด

แต่ลูกค้ารายใหญ่ ซันโย ได้ขอปรับเปลี่ยน วิธีการสั่งซื้อ ชิ้นส่วนพลาสติก จากเดิมที่เขาจะให้บริษัทดูแลทั้งในส่วนของ การสั่งซื้อ และ การผลิต เหลือเพียงให้บริษัทเป็นผู้ผลิตสินค้าให้เท่านั้น

ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมไฟฟ้ายังมีแนวโน้มว่าผู้ผลิตหลายรายเตรียม ย้ายฐานการผลิต ไปประเทศจีนที่มีค่าแรงถูกกว่า จึงเป็นเหตุให้ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าหันไปสนใจกับแผนย้ายฐานการผลิตสินค้าไปที่ประเทศจีน

จุมพล ยอมรับว่าเนื่องจาก ซันโย เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าของบริษัท (ถัดมาเป็นฮิตาชิ และมิตซูบิชิ ตามลำดับ) เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนวิธีการสั่งซื้อของซันโย จึงส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทค่อนข้างมาก หรือประมาณปีละ 120-150 ล้านบาท คิดเฉลี่ยไตรมาสละ 30-35 ล้านบาท

ยิ่งกว่านั้น ด้วยสถานการณ์ราคาเม็ดพลาสติก ซึ่งถือเป็น วัตถุดิบหลัก ได้ปรับราคาสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องมาจากวิกฤติราคาน้ำมัน ส่งผลให้ภาระค่าใช้จ่ายด้านงานขายและการบริหารของบริษัท...เพิ่มสูงขึ้นอีก

จึงเป็นเหตุให้ตัวเลขการดำเนินงานในไตรมาส 1/2549 ที่ผ่านมา บริษัทเหลือ กำไรสุทธิ เพียง 5.63 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรถึง 13.07 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม รายได้ของธุรกิจผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ตกลงไป ที.กรุงไทย ก็ได้เตรียมแผนรองรับเพื่อชดเชยรายได้ในส่วนที่ขาดหายไป โดยจะมุ่งขยายสัดส่วนรายได้ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์มาแทนที่

โดยแผนงานหลักของ ที.กรุงไทย ที่จะต้องเร่งดำเนินการในปี 2549 จะแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ หนึ่ง จะต้องหายอดขาย(ชิ้นส่วนรถยนต์) เข้ามาชดเชยในส่วนรายได้ที่หายไป(กลุ่มไฟฟ้า) และ สอง ต้องเร่งหาออเดอร์เข้ามาสำหรับปี 2550 หรือแม้กระทั่งถึงปี 2551 เพื่อเป็นการ ประกันรายได้ ในอนาคต

และจะทำให้สัดส่วนโครงสร้างรายได้ของบริษัทระหว่างสายงาน ชิ้นส่วนยานยนต์ และ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 60 ต่อ 30 ของรายได้รวม...ส่วนที่เหลืออีก 10% จะมาจากธุรกิจขึ้นรูปแม่พิมพ์

สถานการณ์รายได้ของ ที.กรุงไทย จำเป็นต้องปรับลดประมาณการปี 2549 ลงมา...อีกไม่น้อยกว่า 5% เมื่อเทียบกับปี 2548 ที่มีรายได้ 940 ล้านบาท ขณะที่ ต้นทุนวัตถุดิบ ก็เริ่มจี้ตามมา

ตัวธุรกิจที่ตกลงไป...แทบทั้งหมดจะมาจากกลุ่มชิ้นส่วนไฟฟ้า แต่เรายังมีธุรกิจในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเราคาดว่าจะเป็นสายงานที่จะมีการเติบโตต่อไปอีกประมาณ 15-20% จึงทำให้สัดส่วนรายได้ของเราเปลี่ยนไปมากพอสมควร

เขาอธิบายต่อไปว่า ด้วยภาวะถดถอยของอุตสาหกรรมโดยรวม เราจึงไม่คาดหวังนักกับตัวเลขการดำเนินงานที่จะออกมาในไตรมาส 2/2549 โดยคาดว่า บริษัทน่าจะมีรายได้ใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา หรืออาจสูงกว่าเล็กน้อยเท่านั้น

ตอนนี้เรายังไม่ได้รับคำสั่งซื้อชิ้นส่วนพลาสติกรถยนต์ล็อตใหม่จากลูกค้า เนื่องจากในปีนี้ประชาชนเริ่มชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้าราคาสูง โดยเฉพาะรถยนต์ที่เราจะเห็นว่ามีรถป้ายแดงออกมาน้อยมาก

แต่ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทในส่วนของชิ้นส่วนยานยนต์อาจจะยังไม่ได้เห็น ตัวเลข ภายในไตรมาส 2-3 ของปีนี้ อย่างเร็วที่สุดคงจะเป็นไตรมาสสุดท้าย หรือต้นปี 2550 ที่เราน่าจะมียอดขายจากกลุ่มยานยนต์เข้ามา...ชดเชย ซึ่งรายได้จากตรงนี้ในช่วงแรกคงจะยังไม่สูงนัก

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด คงจะกระทบกับผลการดำเนินงานของเราในปี 2549 มากพอสมควร

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันโรงงานประกอบรถยนต์ทั่วประเทศ มีการซื้อ ชิ้นส่วนพลาสติก ประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท ส่วนอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า (ชิ้นส่วนพลาสติก) ทุกอุตสาหกรรมรวมกัน ตัวเลขโดยประมาณที่เราเคยจับก็มูลค่าใกล้ๆ เคียงกัน (ประมาณ 20,000 ล้านบาท) ...เพียงแต่จำนวนยูนิตจะมากกว่ารถยนต์ เพราะราคาต่อยูนิตน้อยกว่า

เท่ากับว่า รวมๆ กันแล้วตลาดที่ ที.กรุงไทย กำลังเดินอยู่นี้จะมีมูลค่าประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท แต่ยอมรับว่าวันนี้ผู้เล่นส่วนใหญ่จะเป็น...บริษัทลูกของค่ายอุตสาหกรรมจากญี่ปุ่น

ถ้ามองยอดขายของเราในวันนี้ที่ระดับ 1,000 ล้านบาท จากตลาดทั้งอุตสาหกรรมที่ 40,000-50,000 ล้านบาท เทียบได้ประมาณ 2% ของตลาดรวมเท่านั้น ...เราจึงยังมีช่องโอกาสที่จะสามารถเติบโตขึ้นไปได้อีกมาก

สำหรับแผนการลงทุนในปี 2549 ขณะนี้บริษัทยังไม่ได้มีแผนที่จะลงทุนในระดับมากกว่าร้อยล้านบาทขึ้นไป...เนื่องจากกำลังการผลิตของบริษัทยังคงเหลืออีกมากพอสมควร โดยตอนนี้ใช้กำลังผลิตไปเพียง 60% เท่านั้น

การลงทุนมากๆ คงยังจะไม่เกิดขึ้นในปีนี้ จะมีก็คงเพียงการปรับปรุงสายการผลิตทั่วๆ ไปประมาณ 20-30 ล้านบาท ซึ่งแผนลงทุนทั้งหมด เราต้องพิจารณาจากออเดอร์ล่วงหน้าของลูกค้าเป็นสำคัญ เชื่อว่าปีหน้า (2550) อาจจะได้เห็นภาพโครงสร้างรายได้ที่ดีของบริษัท ที่จะมียอดขายชิ้นส่วนพลาสติกยานยนต์เพิ่มเข้ามามากขึ้น

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com