การเติบโตที่ยังทำได้ไม่เต็มที่นัก เป็นผลมาจากองค์ประกอบหลายๆประการ
ทั้งในส่วนของประชาชนเองที่ยังไม่มีความมั่นใจในทางเลือกใหม่
และในส่วนของปตท.เอง ในหลายประเด็น
ที่สำคัญก็คือ ความพร้อมของสถานีบริการ
เนื่องจากว่าปัจจุบันมีสถานีบริการปตท.ที่มีก๊าซธรรมชาติจำหน่ายอยู่ทั้งสิ้น 63 สถานี เท่านั้น
โดยส่วนใหญ่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร

การมีสถานีที่ยังไม่ครอบคลุม ทำให้รถใช้ก๊าซธรรมชาติที่เติม 1 ครั้ง
จะสามารถใช้งานได้ประมาณ 300 กิโลเมตร รู้สึกว่าไม่มีความสะดวกเพียงพอ
และหากว่าต้องขับรถออกต่างจังหวัด ก็แทบจะหาสถานีเติมก๊าซไม่ได้


เชื่อมโยงเส้นทางหลัก[/color:b87f37996b">

จิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่
กลุ่มธุรกิจ สำรวจ ผลิต และ ก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
ได้ไขข้อข้องใจหลายๆข้อที่หลายคนมีต่อปตท. และมีต่อซีเอ็นจี

อย่างเช่นเรื่องของความไม่พร้อมของสถานีบริการนั้น
ปตท.ยืนยันเป็นหนักแน่นว่าภายในปีนี้จะต้องเพิ่มขึ้นให้ได้ครบ 200 แห่ง
และไม่เพียงแต่ในเขตกรุงเทพฯเท่านั้น พื้นที่ต่างจังหวัดก็จะต้องเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
แม้จะไม่ครอบคลุมทั้งหมด แต่ในเส้นทางสายหลัก จะต้องสามารถเชื่อมสัมพันธ์กันได้
เพื่อผู้ใช้รถจะสามารถเดินทางในทางหลวงสายหลัก
เช่น พหลโยธิน เพชรเกษม หรือสุขุมวิท ได้อย่างไม่สะดุด

แม้ว่าในเส้นทางสายหลักบางพื้นที่จะอยู่ไกลจากแนวท่อส่งก๊าซ
ก็จะใช้วิธีการขนส่งด้วยรถบรรทุก
ซึ่งแม้ว่าจะได้ปริมาณน้อยในแต่ละเที่ยวคือเต็มที่ประมาณ 4,000 กิโลกรัม
ขณะที่การขนส่งน้ำมันแต่ละครั้งทำได้ 3 หมื่นลิตร
ทำให้มีต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ก็จะทำ...
นั่นคือสิ่งที่ปตท.ยืนยันมา

จิตรพงษ์ยกตัวอย่างสถานีบริการที่อยู่ห่างไกลแนวท่อ
เช่น การเปิดจำหน่ายที่วังมะนาว เพชรบุรี หัวหิน หรือว่าที่ชุมพร
ซึ่งทำให้สามารถเชื่อมต่อการเดินทางสายใต้ได้ตลอดทาง
หรือเส้นทางอีสาน ก็กำลังก่อสร้างที่วังน้อย หินกอง โคราช ขอนแก่น อุดร

อย่างไรก็ตาม หากรถเอ็นจีวีเพิ่มขึ้น การจำหน่ายซีเอ็นจี เพิ่มขึ้น
สิ่งที่ปตท.จะต้องแก้ไขให้ได้ก่อนก็คือ ระเบียบของการใช้สิทธิเติมก๊าซ
ซึ่งปัจจุบัน ปตท.ใช้วิธีแจกบัตรให้กับรถที่ติดตั้งระบบเอ็นจีวี
จากร้านค้าที่ได้รับการรับรองจากปตท.ซึ่งมี 2 แบบคือบัตรทอง และบัตรเงิน
และคนที่ไม่มีบัตรจะไม่มีสิทธิเติม ทำให้หลายคนมองว่าเป็นสิ่งยุ่งยาก


บัตรเติมก๊าซที่เรากำหนดให้มีนั้นมี 2 เหตุผล [/color:8973e42581">

อย่างแรกคือเรื่องของความปลอดภัย
เราต้องการแน่ใจว่ารถที่เข้ามาใช้บริการนั้นผ่านการติดตั้งระบบของซีเอ็นจี อย่างมีมาตรฐาน
เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาตามมา เช่น กรณีถังก๊าซระเบิด
เนื่องจากไปเอาถังแอลพีจีมาใช้ แล้วพนักงานในสถานีบริการก็ไม่รู้
ดังนั้นบัตรจึงเป็นเหมือนใบรับรองอย่างหนึ่งว่า รถคันนั้นมีการติดตั้งที่ได้มาตรฐาน
และปตท.ก็ไม่ได้จำกัดผู้ประกอบการที่ติดตั้งระบบ
แต่ขอให้มีการตรวจสอบว่าได้มาตรฐาน เราก็รับรองให้ได้

จิตรพงษ์กล่าวอีกว่า อีกเหตุผลหนึ่งมาจากเรื่องความแตกต่างของราคา
โดยในช่วงแรกที่ปตท.มีแคมเปญออกค่าติดตั้งระบบให้ก่อน
แล้วไปผ่อนเก็บจากผู้ใช้รถในราคากิโลกรัมละ 3 บาท
กลุ่มนี้เจ้าของรถจะได้รับบัตรเงิน เมื่อนำรถเข้ามาเติม
พนักงานจะคิดราคาเพิ่มขึ้นจาก 8.50 บาท เป็น 11.50 บาท

ส่วนเจ้าของรถที่ออกเงินเปลี่ยนระบบเอง ปตท.ออกบัตรทองให้
เมื่อนำบัตรทองมาเติมก๊าซ ก็จะเก็บในราคาปกติคือ 8.50 บาท
แต่ผู้ที่ถือบัตรเงินมักจะอ้างว่าลืมพกบัตรหรือว่าบัตรหาย
แต่บอกว่ามีบัตรทอง จึงเกิดปัญหากับสถานีบริการ


คอมพิวเตอร์เสริมความปลอดภัย[/color:8973e42581">

ซึ่งขณะนี้ปตท.กำลังวางระบบใหม่ ด้วยการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ โดยติดตั้งเซ็นเซอร์เอาไว้ที่ถัง
เมื่อต่อหัวจ่ายเข้าไปก็จะรู้ได้ในทันทีว่า รถคันนั้นติดตั้งจากร้านที่ได้รับการรับรองหรือไม่

และร้านค้าที่จะได้รับการรับรองก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่มีอยู่ในปัจจุบันประมาณ 160 แห่ง
แต่ร้านใดที่ต้องการเข้าร่วมก็สามารถทำได้
หากว่าได้รับการตรวจสอบว่ามีมาตรฐานความปลอดภัยเพียงพอ

ทั้งนี้ปตท.คาดว่าด้วยมาตรการทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มสถานีบริการ
การหาพันธมิตร การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้สิทธิเติมก๊าซ
จะทำให้ความนิยมใช้ซีเอ็นจีเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งปตท.คาดหวังอยากจะให้มีรถประเภทนี้ในท้องถนนประมาณ 7 หมื่นคัน
และซีเอ็นจีที่ผลิตได้ในประเทศไทย
จะสามารถเข้ามาทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องนำเข้าให้ได้ 10% ในระยะ 5 ปีนับจากนี้
และเพิ่มเป็น 15% และ 20% ในลำดับต่อไป

เป้าหมายปตท.จะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของปตท.เท่านั้น
แต่สิ่งสำคัญก็คือ การขึ้นอยู่กับว่า ราคาน้ำมันที่แตะ 30 บาท (เบนซิน 95) ในวันนี้
จะเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ และถ้าเพิ่ม เพิ่มอีกเท่าไร....

ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3

ต่อไปเราจะเลิก น้ำมัน เบนซิล จิง จิง เหรอครับ