สงครามบันเทิงเริ่มขึ้นอย่างโฉ่งฉ่างระหว่าง 2 ฝ่าย
แต่ จุดพลาด ของ อากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ที่ทำให้อีกฝ่ายมี ลูกฮึด ก็คือ
การ ชิพ (เคลื่อน) ตัวเองไปสู่ธุรกิจที่มี การแข่งขันสูง ลงทุนสูง และมี มาร์จิ้นต่ำ
เพื่อสนองความต้องการที่ขาดหายในฐานะ นิสิตนิเทศศาสตร์จุฬาฯ

ธุรกิจคลื่นข่าว และ หนังสือพิมพ์
ถูกจำกัดเฉพาะคนที่มี วิญญาณ ของอาชีพสื่อมวลชนจริงๆเท่านั้น
ไม่ใช่ธุรกิจที่จะเริ่มต้นด้วยการประเมินผลกำไรอย่างสวยหรู

เมื่อ อากู๋ แพ้ภัยตัวเอง เฮียฮ้อ จึงช่วงชิงจังหวะนี้เปิดตัวอย่างเอิกเกริกต่อสื่อมวลชน
โดยหวังว่าลูกกระสุดนัดเดียว..มีสิทธิยิงนกได้ทั้งฝูง
นั่นคือ การช่วงชิงความมั่งคั่งจาก ตลาดหุ้น
เฉกเช่นเกมที่ ปัญญา นิรันดร์กุล ใช้ปั้น เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์


**ช่วงที่แกรมมี่ขาลง อาร์เอสจะถือจังหวะนี้ชิงแชมป์หรือไม่!!! [/color:903f988c54">

อย่าพูดอย่างนั้นเลย...
แล้วอย่าเอา เฮีย (ตัวเอง) ไปเทียบกับ เขา (อากู๋) คือ ต่างคนต่างเดิน

วันนี้ผมไม่ได้แข่งกับเขา ผมพูดตลอดว่า อาร์เอสไม่ได้แข่งกับแกรมมี่
วันนี้อาร์เอสจะดีไม่ดีขึ้นอยู่กับเราเอง
จะอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้หรือไม่...
สิ่งที่แกรมมี่กำลังเจอ เขาไม่ได้แพ้ภัยอาร์เอส อันนี้ผมพูดแทนเขาเลย
เขาแพ้ภัยตัวเอง แพ้เทคโนโลยีมากกว่า

เฮียฮ้อ บอกว่า คำว่าเบอร์ 1 คือ นามธรรม..มันไม่มีจริง
ธุรกิจบันเทิงสมัยนี้ มาร์เก็ตแชร์ หรือ ไซส์ (ขนาด) ไม่ได้บอกอะไรเลย
อย่าลืมว่า วันนี้ ซีดี (เพลง) ยิ่งวางเยอะยิ่งตาย ของคืนทั้งนั้น...

วิธีคิดของ อาร์เอส วันนี้ เฮียฮ้อ อธิบายว่า
สิ่งที่ต้องการก็คือ กำไร มากกว่า ขนาดที่ใหญ่

ปีนี้ (2549) อาร์เอส จะมีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทุกธุรกิจจะไม่ขาดทุน
ขณะที่ รายได้ของเราจะเติบโตขึ้น 25% จากปีที่ผ่านมา
เพราะวันนี้โมเดลธุรกิจของ อาร์เอส ที่ปรับไปเมื่อ 2 ปีก่อน
ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว และปีนี้ก็ไม่มีนโยบายลงทุนขนาดใหญ่

เฮียฮ้อ เล่าย้อนกลับไปว่า เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เราคิดจะเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ
จึงเตรียมความพร้อมทุกอย่าง ดูว่าธุรกิจตัวไหนมีอนาคตก็รุก ตัวไหนไม่ดีก็ลดขนาดลง
เมื่อก่อนเคยพึ่งการจำหน่าย เทป-ซีดี (เพลง) ถึง 90%
เดี๋ยวนี้คนหันมาฟังเพลงจาก ไอพ็อด เอ็มพี 3 มากขึ้น

ทุกวันนี้ อาร์เอส เลยบอกตัวเองว่า เราเป็นบริษัทบันเทิง และมีเดีย
ไม่ใช่ค่ายเพลงเหมือนเมื่อก่อน เพราะรายได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ก้อนใหญ่
คือ คอนเทนท์ (เนื้อหา) และ มีเดีย (ทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์)
เพลงจะเป็นแค่คอนเทนท์ประเภทหนึ่ง ในหลายๆ คอนเทนท์ที่เราผลิต

คอนเซปต์ใหม่ คือเราจะมองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเป็นตัวตั้ง
และหาวิธีการเชื่อมโยงกับโปรดักท์เราว่าแต่ละตัวควรสื่อช่องทางไหน
การทำงานจะละเอียดขึ้น

อย่างเช่น โปงลางสะออน ก็อาจจะเป็นขายผ่าน ซีดี เน้นการแสดงโชว์
แต่ถ้าเป็นนักร้องวัยรุ่นอย่าง ฟิล์ม ต้องขายเรื่องการดาวน์โหลด เรื่องโมบาย ริงโทน เป็นต้น

เฮียฮ้อ บอกว่า มันหมดยุคที่จะมองทุกอย่างเป็น แมส
ปัจจุบันบางคอนเทนท์ เราไม่ได้มีการขาย ซีดี แต่ก็สร้างรายได้ 30 ล้านบาท
อย่างเช่น ดีดีซี คือตัวอย่างที่ชัดเจน
เพราะฉะนั้นภายในสิ้นปี 2549 รายได้จากช่องทางขาย ซีดี
จะลดลงต่ำกว่า 50% ของช่องทางขายเพลงทั้งหมด
ธุรกิจนิวมีเดียจะเข้ามาแทนที่ เพราะมีกำไรขั้นต้นสูง และแน่นอนกว่า

ในส่วนของการออกอัลบั้มใหม่ เฮียฮ้อ บอกว่า ปีนี้จะน้อยกว่าปีที่แล้ว
จะเอาศิลปินเก่าที่มีชื่อเสียงออกให้ครบ ถือว่าเป็น สินทรัพย์ ที่มีมูลค่าสูง
ได้รีเทิร์นเร็ว ขณะศิลปินใหม่ก็ต้องสร้างต่อไป แต่จะไม่หว่านมั่ว

ในส่วนของธุรกิจภาพยนตร์ที่ขาดทุนมาตลอด เฮียฮ้อ บอกว่า
ได้ปรับวิธีคิดใหม่จะวิจัยความต้องการของตลาดก่อนสร้าง
โดยปีที่ผ่านมา อาร์เอส ได้ตั้งหน่วยงานวิจัยขึ้นมาโดยเฉพาะ
ลงทุนไป 4-5 ล้านบาท ขณะที่การลงทุนสร้าง 1 เรื่อง จะกำหนดงบลงทุนไม่เกิน 20 ล้านบาท
เน้นความชัดเจนของแนวหนัง ทำมาร์เก็ตติ้งให้แข็งแรง
ส่วนการโปรโมทก็จะใช้สื่อที่มีอยู่ ต้นทุนไม่สูง และจะหารายได้ทุกๆทาง อย่างเช่น โค-มาร์เก็ตติ้ง

อย่างหนังรื่อง รักจัง ก็ร่วมกับ เอไอเอส เป็นมาร์เก็ตติ้งพาร์ทเนอร์
ก่อนฉายเราครอบคลุมต้นทุนไปแล้ว เชื่อว่าในโรงจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
จากนี้ไปหนังที่จะออกฉาย ผมยืนยันว่ามีกำไรทุกเรื่อง

โดยปีนี้จะมีหนังออกฉายอีก 2 เรื่อง คือ ผีคนเป็น และ ส.สนิท

ด้านธุรกิจสื่อ เฮียฮ้อ ฟันธงว่า ปีนี้จะโตอย่างมากจะมีสัดส่วนรายได้ 45% ของทั้งกลุ่ม
จากรายการทีวี 26 รายการ เป็นรายการเพลง 12 รายการ และ รายการอื่นๆ อีก 14 รายการ
เพราะปีนี้ได้เวลาออกอากาศเพิ่มหลายรายการ

ปีนี้เราจะไม่เพิ่มจำนวนรายการอีกแล้ว แต่จะเพิ่มโฆษณาข้างนอกให้มากขึ้น
จากปัจจุบันอยู่ที่ 50-60% ที่เหลือเป็นโฆษณาในเครืออาร์เอสเอง
การขายคงไม่ได้มองแค่การขายนาทีอย่างเดียว เรามีรูปแบบการขายอื่น
สร้างอีเวนท์ ขายพ่วง ทำรายการ หรือการสร้างอินโปรแกรมมาขาย

ด้านส่วนของธุรกิจวิทยุ เฮียฮ้อ บอกว่า ปีที่ผ่านมามีรายได้ 184 ล้านบาท
โตถึง 130% เชื่อว่าปีนี้จะเติบโตขึ้นไปอีก
แม้ว่าตัวโฆษณาวิทยุ(ภาพรวม)จะไม่โต แต่เราก็สามารถชิงมาร์เก็ตแชร์มาได้
และหลังจากที่ แกรมมี่ คืนคลื่นวิทยุ จะทำให้มีโอกาสชิงโฆษณามาได้อีก

ทำวิทยุต้องอยู่ที่เซ็กเมนท์ อย่าง คูล 93.0 เอฟเอ็ม
กลุ่มคนฟังกลุ่มนี้เขาต้องการบริโภคเพลงไม่ต้องการฟังอะไรที่รกหู
เราจะทำวิจัยตลอดว่าผู้ฟังต้องการอะไร
เช่นเดียวกับ สื่อสิ่งพิมพ์ ดาราเดลี่ และ นิตยสาร FRONT จะคุ้มทุนในปีนี้

เฮียฮ้อ บอกว่า ธุรกิจบันเทิงสมัยใหม่การทำงานจะต้องมองจากภายนอกมาสู่ภายใน
ไม่ใช่ทำตามใจตัวเอง และยัดเยียดให้คนฟังเหมือนเมื่อก่อน

เมื่อถามว่ามีนักวิเคราะห์หลายค่ายมองว่า ราคาหุ้น RS ปัจจุบันแพงเกินไป
แต่ เฮียฮ้อ ตอบว่า ไม่เป็นไร..การลงทุนในหุ้นมันบอกอยู่แล้วว่า มองอนาคต ไม่ใช่อดีต

ถามว่าวันนี้ หุ้นอากู๋ กับ หุ้นเฮียฮ้อ ตัวไหนน่าซื้อกว่ากัน
เฮีย ตอบแบบติดตลกปิดท้ายว่า คุณมาถามผม..ผมก็ต้องตอบว่า หุ้นผมน่ะสิ!!!

55555

คำสุดท้าย พูด ได้ ดี จิง จิง

ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3